ภาพล้อวิกฤตการณ์ รศ. 112 (หมาป่าฝรั่งเศสกับแกะน้อยสยาม)
ภาพนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Punch ของอังกฤษ ในปีค.ศ. 1893 ...
ขอบคุณ ที่มา : enamtan.exteen.com
หนังสือสัญญาดังกล่าวทำให้ไทยผ่านวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงมาได้เปลาะหนึ่ง เพราะแม้ฝรั่งเศสจะถอนกำลังและเลิกปิดปากอ่าวไทย แต่ไม่ได้ถอนกำลังไปอย่างแท้จริง หากไปยึดจันทบุรีต่อ แม้ว่าไทยจะปฏิบัติตามหนังสือสัญญาได้ครบถ้วนแล้วก็ตาม ระหว่างที่เกิดวิฤตการณ์นี้ เฉพาะหลังการตีฝ่าปากน้ำ จนถึงการลงนามในหนังสือสัญญาพระบาทสมเด็จพรจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระประชวรและทรงคาดว่าอาจจะสวรรคต ดังนั้นการที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพ น่าจะทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระปิติโสมนัส และมีพระราชหฤทัยกล้าแข็งมุ่งมั่นต่อการรักษาเอกราชของชาติต่อไป เพื่อให้ท่านผู้อ่านเห็นว่า วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ร้ายแรงเพียงใด ขอเล่าเรื่องนี้พอเป็นสังเขป การคุกคามของจักรวรรดินิยมต่อไทยรุนแรงมากตั้งแต่ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.2394-2411) ซึ่งทำให้ไทยเสียเขมรส่วนนอกหรือด้านตะวันออกแก่ฝรั่งเศส จากนั้นฝรั่งเศสยังคงคุกคามไทยต่อมา โดยอยากได้เขมรส่วนใน และลาว ซึ่งมีแม่น้ำโขงไหลผ่าน เพื่อใช้เป็นเส้นทางไปสู่ด้านในของจีนทางจีนใต้เป็นการเปิดการค้ากับจีนอีกด้านหนึ่ง การคุกคามของจักรวรรดินิยมต่อไทย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักดีจึงทรงสร้างแนวป้องกันทางทะเล โดยเฉพาะที่ปากน้ำให้ดียิ่งขึ้น ในการนี้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์หนึ่งหมื่นชั่ง (800,000 บาท) เพื่อให้เร่งรัดการสร้างป้อมที่ตำบลแหลมฟ้าผ่า (คือ ป้อมพระจุลจอมเกล้า) ให้เสร็จโดยเร็วพร้อมกับซื้ออาวุธเพิ่มเติมเพื่อรักษาเอกราชของชาติไว้ให้ได้ เพราะเอกราชมีความสำคัญต่อชีวิตของพระองค์เป็นอย่างยิ่ง ดังปรากฏในพระราชหัตถเลขาถึงเสนาบดีสภา เมื่อวันที่ 10 เมษายน ร.ศ.112 ตอนหนึ่งว่า "ถ้าความเป็นเอกราชของกรุงสยามได้สิ้นสุดไปเมื่อใด ชีวิตฉันก็คงจะสุดสิ้นไปเมื่อนั้น" และถ้าเงินหนึ่งหมื่นชั่งไม่พอ พระองค์ก็ทรงยินดีจะบริจาคให้เพิ่มเติม ยิ่งไปกว่านั้นระหว่างการติดตั้งปืนใหญ่ที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า ซึ่งไทยสั่งซื้อจากอังกฤษ (ปืนใหญ่นี้ไทยเรียกว่า ปืนเสือหมอบ) พระองค์เสด็จไปทดลองยิงด้วยพระองค์เองหลายครั้ง เพื่อให้ใช้ปืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในพระราชหัตถเลขาฉบับหนึ่งทรงกล่าวถึงการทดสอบปืนว่า เป็นความจำเป็น แม้จะทรงทราบว่า กระสุนปืนใหญ่แพง ราคานัดละ 60 บาท การเตรียมป้องกันพระนคร ไม่ได้มีเฉพาะที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า แต่รวมถึงป้อมอื่นๆด้วย โดยเฉพาะที่ป้อมผีเสื้อสุมทร ซึ่งมีการติดตั้งปืนใหญ่แบบเดียวกับปืนใหญ่ที่ป้อใพระจุลจอมเกล้า และมีการส่งทหารมาประจำที่ป้อมเพิ่มเติม แต่เมื่อฝรั่งเศสใช้กำลังเรือรบตีฝ่าปากน้ำในวันที่ 13 กรกฎาคม ร.ศ. 112 (ก่อนหน้าวันชาติฝรั่งเศสหนึ่งวัน) การป้องกันตัวของไทยทั้งที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า ป้อมผีเสื้อสุมทร และกำลังเรือรบ เรือยิงทุ่นระเบิด ทำได้ไม่ดี อย่างที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงคาดหวัง และทุ่มเทพระพละกำลัง เรือรบฝรั่งเศสจึงตีฝ่าเข้ามาจอดที่หน้าสถานทูตฝรั่งเศสได้ หลังจากเวลาค่ำของวันที่ 13 กรกฎาคม สถานการณ์ดูจะรุนแรงขึ้น ฝรั่งเศสยื่นคำขาดต่อไทย ประกาศปิดปากอ่าว เมื่อไทยต่อรอง ฝรั่งเศสก็เรียกร้องมากขึ้น ยื่นคำขาดซ้อนคำขาด พูดได้ว่าไทยจะเจรจาต่อรองไม่ได้เลย ต้องยอมรับคำขาดอย่างเดียว แม้ไทยจะแจ้งต่อรัฐบาลฝรั่งเศสในการยอมรับและปฏิบัติตามคำขาด ฝรั่งเศสยังไม่พอใจ ได้แจ้งต่อไทยว่าจะยึดเมืองจันทบุรีไว้จนกว่าไทยจะปฏิบัติตามคำขาดครบทุกประการ (แต่ฝรั่งเศสยึดเมืองจันทบุรีจนถึง พ.ศ. 2447 แล้วไปยึดเมืองตราดต่อ จนถึงปลาย พ.ศ. 2449) การเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลฝรั่งเศสได้เริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคมครั้งหนึ่ง และต่อมาในปลายเดือนกันยายน ในวันที่ 2 ตุลาคม ร.ศ. 112 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงษวโรปการ (ต่อมาคือ สมเด็จฯกรมพระยาเทวะวงษวโรปการ) ได้ถวายรายงานผลการเจรจาต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยุ่หัว ทรงเห็นว่าไม่มีทางหลีกเลี่ยงใดๆ ได้ การลงนามในหนังสือสัญญาจึงมีขึ้นในวันที่ 3 ตุลาคม ที่ตึกราชวัลลภในพระบรมมหาราชวัง ดังสาระดังนี้ ข้อ 1 คอเวอนแมนต์สยามยอมสละเสียซึ่งข้ออ้างที่ว่ามีกรรมสิทธิ์ทั้งสิ้นทั่วไปในดินแดน ณ ฝั่งซ้ายฟากตะวันออกแม่น้ำโขงแลในบรรดาเกาะทั้งหลายฝั่งแม่น้ำนั้นด้วย ข้อ 2 คอเวอนแมนต์สยามจะไม่มีเรือรบใหญ่น้อยไปไว้ ฤาใช้เดินในทะเลสาบก็ดีในแม่น้ำโขงก็ดี แลในลำน้ำแยกจากแม่น้ำโขงซึ่งอยู่ภายในที่อันได้มีกำหนดในข้อต่อไปนี้ ข้อ 3 คอเวอนแมนต์สยามจะไม่ก่อสร้าง ด่าน ค่าย คู ฤาที่อยู่ของพลทหารในแขวงเมืองพระตะบอง แลเมืองนครเสียมราฐ แลในจังหวัด 25 กิโลเมตร (625 เส้น) บนฝั่งขวาฟากตะวันตกแม่น้ำโขง ข้อ 4 ในจังหวัดซึ่งได้กล่าวไว้ในข้อ 3 นั้น บรรดาการตระเวนรักษาจะมีแต่กองตระเวนเจ้าพนักงานเมืองนั้นๆ กับคนใช้เป็นกำลังแต่เพียงที่จำเป็นแท้ แลทำการตามอย่างเช่นเคยรักษาเปนธรรมเนียมในที่นั้น จะไม่มีพลประจำพลเกณฑ์สรรพด้วยอาวุธเปนทหารอย่างใดอย่างหนึ่งตั้งอยู่ในที่นั้นด้วย ข้อ 5 คอเวอนแมนต์สยามจะรับปฤกษากับคอเวอนแมนต์ฝรั่งเศส ภายในกำหนดหกเดือน แต่ปีนี้ไปในการที่จะจัดการเป็นวิธีการค้าขาย แลวิธีตั้งด่านโรงภาษีในที่ตำบลซึ่งได้กล่าวไว้ในข้อ 3 นั้น แลในการที่จะแก้ไขข้อความสัญญาปีมะโรงอัฐศก จุลศักราช 1218 คริสต์ศักราช 1856 นั้นด้วย คอเวอนแมนต์สยามจะไม่เก็บภาษีสินค้าเข้าออกในจังหวัดที่ได้กล่าวไว้ในข้อ 3 แล้วนั้น จนกว่าจะได้ตกลงกัน คอเวอนแมนต์ฝรั่งเศสจะได้ทำตอบแทนให้เหมือนกันในสิ่งของที่เกิดจากจังหวัดที่กล่าวนี้สืบไป ข้อ 6 การซึ่งจะอุดหนุนการเดินเรือในแม่น้ำโขงนั้น จะมีการจำเป็นที่จะทำได้ในฝั่งขวาฟากตะวันตกแม่น้ำโขง โดยการก่อสร้างก็ดี ฤาตั้งท่าเรือจอดก็ดี ทำที่ไว้ฟืนแลถ่านก็ดี คอเวอนแมนต์สยามยอมรับว่า เมื่อคอเวอนแมนต์ฝรั่งเศสขอแล้วจะช่วยตามการจำเปนที่จะทำให้สะดวกทุกอย่างเพื่อประโยชน์นั้น ข้อ 7 คนชาวเมืองฝรั่งเศสก็ดี คนในบังคับฤาคนอยู่ในปกครองฝรั่งเศสก็ดีไปมาค้าขายได้โดยสะดวกในตำบลนั้น ฝ่ายราษฎรในจังหวัดอันได้กล่าวนี้จะได้รับผลเป็นการตอบแทนอย่างเดียวกันด้วยเหมือนกัน ข้อ 8 คอเวอนแมนต์ฝรั่งเศสจะตั้งกงศุลได้ในที่ใดๆ ซึ่งจะคิดเห็นว่าเปนการสมควรแก่ประโยชน์ของคนผู้อยู่ในความป้องกันของฝรั่งเศส แลมีที่เมืองนครราชสีมาแลเมืองน่าน เปนต้น ข้อ 9ถ้ามีความขัดข้องไม่เห็นต้องกันในความหมายของหนังสือสัญญานี้แล้ว ภาษาฝรั่งเศสเท่านั้นจะเปนหลัก ข้อ 10 สัญญานี้จะได้ตรวจแก้เปนใช้ได้ภายในเวลาสี่เดือนตั้งแต่วันลงชื่อกันนี้ นอกจากนี้ยังมีสัญญาน้อย และบันทึกวาจาต่อท้ายซึ่งเป็นรายละเอียดในการปฏิบัติตามหนังสือสัญญาระหว่างการเจรจาก่อนจะถึงการลงนามในหนังสือสัญญา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร และทรงคิดว่าอาจสวรรคต ถึงกับมีพระราชปรารภเกี่ยวกับพระบรมศพ อนาคตของพระราชโอรสแลพระราชธิดา และทรงทอดอาลัยในชีวิต ดังปรากฏในพระราชนิพนธ์โคลง ฉันท์ พระราชทานพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นดำรงราชานุภาพ (ต่อมาคือ สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ) ตอนหนึ่งว่า " เจ็บนานหนักอกผู้ บริรักษ์ ปวงเฮย คิดใคร่ลาลาญหัก ปลดเปลื้อง ความเหนื่อยแห่งสูจัก พลันสร่าง กูจักสูภพเบื้อง หน้านั้นพลันเขษม" และ " กลัวเป็นทวิราช บตริป้องอยุธยา เสียเมืองจึงนินทา บละเว้น ฤ ว่างวาย คิดใดจะเกี่ยวแก้ ก็บพบซึ่งเงื่อนสาย สบหน้ามนุษย์อาย จึงจะอุดแลเลยสูญ"
พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ มีพระนิพนธ์ตอบเพื่อให้ทรงมีมานะที่จะเผชิญวิฤตการณ์ที่ทรงเปรียบเหมือนพายุร้าย และทรงเปรียบพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าเหมือนกับกัปตันเรือที่กำลังเผชิญพายุร้าย เรือย่อมขาดกัปตันไม่ได้ แต่ถ้ากัปตันสามารถนำเรือ "แก้รอดตลอดฝั่ง จะรอดทั้งจะชื่นชม เหลือแก้ก็จำจม ให้ปรากฏว่าถึงกรรม" นั่นคือ ถ้ากัปตันสามารถนำเรือเข้าสู่ฝั่งได้ก็จะเป็นที่ชื่นชมยินดีโดยทั่วไป แต่ถ้าใช้ความพยายามเต็มที่แล้ว เรือยังจม และถ้าเป็นเช่นนี้ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ ก็มีพระนิพนธ์ต่อไปว่า "เสียทีก็มีชื่อ ได้เลื่องลือสรรเสริญ สงสารว่ากรรมเกิน กำลังดอกจึงจมสูญ" จึงเห็นได้ว่า ตั้งแต่เดือนกรกฏาคม หรือก่อนหน้า ถึงต้นเดือนตุลาคม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวทรงเผชิญวิฤตการที่ร้ายแรง รุนแรงเป็นที่สุด ทรงหาวิธีการหลายประการที่จะรักษาเอกราชของชาติไว้ให้ได้ ทางหนึ่งทรงเห็นว่ามีความสำคัญและน่าจะเป็นผลดี คือการเสด็จประพาสยุโรป เพื่อหาพันธมิตร และเจรจากับประเทศที่ปองร้ายไทย ส่วนหนังสือสัญญาที่ลงนามเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ร.ศ. 112 แม้จะมีความสำคัญต่อการคุกคามที่ลดลงไป แต่ก็ยังไม่หมดสิ้น เพราะฝรั่งเศสยังคงยึดจันทบุรี เมื่อถอนกำลังจากจันทบุรี ก็ยังไปยึดตราดต่อไป จนถึงพ.ศ. 2449 หรืออีก 13 ปีต่อมา ดังนั้น การที่สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอรรคราชเทวี มีพระประสูติกาลพระราชโอรส คือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว น่าจะทำให้ทรงคลายความตรอมตรมพระราชหฤทัยลงได้บ้าง และทำให้ทรงมีความมุ่งมั่นต่อการรักษาเอกราชของชาติต่อไป ซึ่งก็ทรงทำได้สำเร็จ และเป็นเพียงไม่กี่ชาติในทวีปเอเชียที่ทำได้เช่นพระองค์ สำหรับรัชกาลที่ 7เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ในพ.ศ. 2468 แล้วได้ทรงพระราชนิพนธ์รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวใน "การเปลี่ยนแปลงแก้ไขการปกครองแผ่นดิน" ไว้ ความตอนหนึ่งว่า "พวกเราผู้เป็นพระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท ผู้มีความจงรักภักดีและรู้สึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งพระพุทธเจ้าหลวงอยู่ทุกขณะจิตต ควรตั้งใจดำเนินตามรอยพระยุคลบาทตามแต่จะทำได้ ควรพยายามแลดูการล่วงหน้า แต่ก็ควรเหลียวหลังดูประเพณีและหลักการที่ล่วงไปแล้วด้วยเหมือนกัน ใน 2 อย่างนี้ก็พอจะทำได้ มียากอยู่เพียงจะเลือกเวลาให้เหมาะอย่าให้ช้าเกินไป อย่าให้เร็วเกินไป ข้อนี้แหละยากยิ่งนัก นอกจากมีสติปัญญาแล้วยังต้องมีโชคดีประกอบด้วย แต่ถ้าเราทำการใดๆ ไปโดยมีความสุจริตในใจและโดยเต็มความสามารถแล้วก็ต้องนับว่าได้พยายามทำการงานตามหน้าที่จนสุดกำลังแล้ว" พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักแต่แรกเริ่มรัชกาลของพระองค์แล้วว่า พระราชภารกิจที่จะต้องทรงสานต่อการเปลี่ยนแปลงวิธีการปกครองในสยามนั้น จะยากยิ่งที่จะหาจังหวะเวลาที่เหมาะสม แต่ก็ได้ทรงตั้งพระราชหฤทัยมั่นที่จะทรงประกอบพระราชภารกิจนั้นโดยซื่อตรงสุจริตพระทัย สุดพระกำลังความสามารถ แม้ว่าอาจไม่บังเกิดผลดังที่ทรงคาดหวัง นับว่าเป็นพระราชอุปนิสัยที่ทรงคุณค่ายิ่ง ควรแก่การจารึกไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ดำรงตนตามรอยเบื้องพระยุคลบาท
|
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น