ขอบคุณบทความจาก รศ.ดร. นครินทร์ เมฆไตรรัตน์
การศึกษาระบบ-ระบอบ-ความคิดประชาธิปไตยเท่าที่ดำเนินผ่านมา อาจกล่าวได้ว่ามีปัญหาและข้อจำกัดในหลายๆด้าน ข้อจำกัดประการหนึ่งในทัศนะของผู้เขียนคือ เห็นว่าไม่น่าจะช่วยให้เกิดความรู้ความเข้าใจสภาพการณ์ความเป็นไปที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยและในประเทศต่างๆ ในปัจจุบันอย่างเป็นองค์รวม และที่สำคัญในประการต่อมา ก็คือ เป็นการศึกษาที่นอกจากจะไม่ได้ช่วยให้เกิดความรู้ความเข้าใจในลักษณะดังกล่าวแล้ว ยังเป็นแนวการศึกษาที่ไม่ช่วยให้คิด หรือไม่อาจจะคิด หรือหากจะคิดอยู่บ้างในบางกรณี ก็เชื่อว่าไม่น่าจะก่อให้เกิดแนวทางแก้ไข หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่มีความสมานฉันท์ในระหว่างกลุ่มพลังที่มีข้อขัดแย้งและมีความแตกต่างกันอย่างรุนแรงในสังคมไทยในปัจจุบัน
ประเด็นที่เป็นปัญหาสำคัญประการหนึ่ง ที่พบเห็นได้ชัดนับตั้งแต่มีการศึกษาเรื่องประชาธิปไตยในประเทศไทยที่ผ่านๆมา ได้แก่ การศึกษาที่มักจะเน้นเรื่องราวในส่วนที่เป็น "ปัญหาและอุปสรรค" ของการพัฒนาประชาธิปไตย คือ สาเหตุปัจจัยที่ทำให้ประชาธิปไตยต้องล้มลุกคลุกคลานเสียเป็นส่วนใหญ่ แน่นอนว่าเรื่องดังกล่าวนับว่าเป็นข้อเท็จจริงและปรากฏการณ์ทางสังคมการเมืองอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องของวัฒนธรรมไพร่ฟ้า โครงสร้างทางสังคมแบบอุปถัมภ์ การที่ประเทศไทยไม่มีระบบรัฐสภาและพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง หรือบ้างเห็นว่ายังไม่มีอย่างแท้จริง และการแทรกแซงทางการเมืองของทหารด้วยการก่อการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลเป็นระยะๆ รวมทั้งระบบการเมืองไทยที่เชื่อกันตลอดมาว่าระบบข้าราชการทหารเป็นใหญ่ (Bureaucratic Polity) ฯลฯ ซึ่งก่อให้เกิดทัศนคติที่เป็นมาตรฐานเสมอมาว่า หากมีการศึกษาอบรมกันให้มากกว่าที่เป็นอยู่ รวมทั้งมีการ "กีดกัน" หรือหาทางป้องกันให้กองทัพและระบบราชการ "ถอยห่าง" ออกจากระบบการเมือง ระบบประชาธิปไตยของไทยก็คงจะมีผลดี คือ สามารถสถาปนาขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งสามารถวิวัฒนาการต่อเนื่องไปได้อย่างมีความมั่นคง อย่างไรก็ดี ประเด็นปัญหาที่เห็นได้ชัดอยู่ในเวลานี้ ก็คือ การศึกษาของประเทศไทยโดยรวมนั้นอยู่ในระดับที่ "สูง" กว่าเดิมเป็นอันมาก อีกทั้งกองทัพและระบบราชการเองก็ "ถอย" ห่างจาการเข้าไปมีบทบาทโดยตรงทางการเมืองอย่างเห็นได้ชัด แต่ระบบประชาธิปไตยของไทยในเวลานี้ หาได้มีการสถาปนาและพัฒนาตนเองขึ้นอย่างเป็นปึกแผ่นได้ และเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ขึ้น ซึ่งควรจะเป็นประเด็นปัญหาในมุมกลับที่สามารถบ่งชี้ข้อจำกัด และปัญหาของการศึกษาปัญหาประชาธิปไตยในแบบดังกล่าวข้างต้นได้ในทางหนึ่ง
การศึกษาในอีกลักษณะหนึ่ง ซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลายอย่างมากในประเทศไทย (นอกจากการเน้นที่เป็นปัญหาและอุปสรรคของประชาธิปไตยดังกล่าวแล้ว) การศึกษาในลักษณะที่แยกประชาธิปไตยออกเป็น "รูปแบบ" ประการหนึ่ง กับประชาธิปไตยที่เป็น "เนื้อหา" ในอีกประการหนึ่ง
การศึกษาในแนวทางดังกล่าวข้างต้นเป็นที่นิยมและแพร่หลายพอสมควร รวมทั้งเป็นกรอบวิธีคิดที่หากใครจะมีการนำเสนอเรื่องราวที่เป็น "อื่นๆของประชาธิปไตย ทั้งที่เรื่องราวที่เป็นอื่นๆนั้นเป็นเหตุการณ์ประสบการณ์และปฏิบัติจริงของบางประเทศ หรือของบางเมือง และมิใช่เป็นหลักการลอยๆ อาทิ หลักคิดและประสบการณ์ของการมีรัฐบาลเสียงข้างน้อยในประเทศยุโรป (งานของ Karen Strom. Minority Government and Majority Rule , Cambridge : Cambridge University Press,1990) เป็นต้น เรื่องราวดังกล่าวก็มักจะ "ถูกจัด" ใส่ลงไปในกล่องของความคิดว่าเป็นรูปแบบหรือเป็นเนื้อหาอย่างรวดเร็ว และมักจะสรุปกันว่าเรื่องบอกเล่าที่ว่าด้วยรัฐบาลเสียงข้างน้อย (Minority Government ) เป็นเพียงประชาธิปไตยรูปแบบชนิดหนึ่งที่มีความเป็นไปได้เท่านั้น และมิใช่เป็นเนื้อหาที่แท้จริงของระบบประชาธิปไตยที่เราควรยึดถือเป็นแบบอย่าง ดังนั้นการศึกษาที่มีการแยกแยะว่าส่วนใดเป็นรูปแบบ ส่วนใดเป็นเนื้อหา จึงเป็นแนวการศึกษาที่มีปัญหาอยู่ไม่น้อย เช่น การศึกษาว่ารูปแบบที่ควรจะเป็นนั้นเป็นอย่างไร ในขณะที่การปฏิบัติจริงนั้นมีความแตกต่างและผันแปร หรือเบี่ยงเบนไปจากรูปแบบที่ควรจะเป็นนั้นเป็นไปอย่างไร เป็นต้น การศึกษาในแนวทางนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่ามีลักษระคล้ายกับการศึกษาพุทธศาสนาในประเทศไทยเป็นอันมาก เนื่องด้วยโลกของศาสนาที่มุ่งนิพพานนั้นเป็นเรื่องราวที่ผู้คนชาวไทยนิยมรับฟังแม้นว่าจะปฏิบัติไม่ได้ ทั้งนี้เนื่องมาจากผู้คนธรรมดานั้นยังไม่ได้ละทิ้งกิเลสตัณหา รวมทั้งบรรดาราคะทั้งปวง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องอดทนอยู่ในโลกของมนุษย์ที่ยังไม่หลุดพ้นนี้ต่อไป เรื่องนี้เปรียบเทียบเหมือนกับการเมืองของไทยที่ใครๆก็ทราบว่า ประชาธิปไตยนั้นมีหลักการที่ดีและสวยสดงดงาม แต่การปฏิบัติที่เป็นจริงของไทยเรานั้นยังคงวนเวียนอยู่กับอำนาจ ผลประโยชน์ และความเห็นแก่ตัวของนักการเมืองในระดับต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่คนไทยโดยเฉลี่ยทั่วไปมีความอดทนอดกลั้นและให้อภัยได้ ดังที่เราได้ให้อภัย (ทั้งในทางพฤตินัยและนิตินัย) แก่บรรดาผู้ปกครองเผด็จการ ทรราชย์ และนักการเมืองผู้โกงประเทศชาติบ้านเมืองอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด
อาจกล่าวได้ว่า การศึกษาประชาธิปไตยในแบบที่แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบอย่างเป็นขั้วตรงข้าม (Dichotomy) นับว่ามีส่วนสอดคล้องกับหลักการความเชื่อบางประการของสังคมไทย และช่วยทำให้นักคิด นักวิชาการของไทยมีฐานะสูงส่ง เนื่องด้วยสามารถอธิบายถึงหลักการการปกครองบางเรื่องบางประการที่ไม่สามารถปฏิบัติได้
ระบอบประชาธิปไตยตัวแทนของไทย จึงอยู่ในช่วงของการสถาปนา โดยมีจุดเน้นไปที่ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของระบบการเมืองเสียยิ่งกว่าจะเน้นในเรื่องของความชอบธรรมทางการเมือง ซึ่งจะเป็นปัญหาว่าเมื่อได้มีการสถาปนาขึ้นแล้ว จะสามารถทำงานได้อย่างไร ระบอบประชาธิปไตยตัวแทนจะมีดุลยภาพ กอปรด้วยความยุติธรรม ความชอบธรรม เกิดความสมานฉันท์ และเป็นประชาธิปไตยที่มีคุณภาพได้อย่างไร
รศ.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ยังมีความเห็นอีกว่า การลงประชามติ การเสนอร่างกฎหมาย และการถอดถอนโดยประชาชน รวมทั้งการปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยในการลงประชามติ และทำให้ประชาธิปไตยตัวแทนในระดับต่างๆมีความเข้มแข็ง ( Strong Democracy ) และเป็นจริงได้ นับว่าเป็นทางเลือกที่มีความสำคัญมาก การเน้นลักษณะทางการเมืองแบบใช้เสียงส่วนใหญ่ปกครองคนส่วนน้อย ( Majoritarianism หรือ Majoritarian Democracy ) ผ่านระบบการเลือกตั้ง และผ่านระบบพรรคการเมืองเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ การพิจารณาแนวคิดประชาธิปไตยในลักษณะอื่นๆข้อสำคัญคือควรเป็นแนวความคิดที่ระบบคุณค่า ไม่มีความขัดแย้ง หรือหักล้างระบอบประชาธิปไตยตัวแทน อาทิ แนวคิดประชาธิปไตยแบบสมานฉันท์ (Consensual Democracy หรือ Consociational Democracy ) เป็นทางเลือกที่น่าสนใจทางหนึ่ง ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้ระบอบประชาธิปไตยตัวแทนสามารถวิวัฒนาการในขั้นต่อๆไปได้ ทั้งนี้มิควรจะเน้นแต่แนวความคิดแบบประชานิยม (Populism) ให้มีความสำคัญหรือมีคุณค่าที่เกินเลยมากนัก ซึ่งแนวความคิดประชานิยมดังกล่าว จะมีผลทางตรงหรือทางอ้อมในการลดทอนความสำคัญของระบอบประชาธิปไตยตัวแทนลงไปในหลายๆเรื่องทั้งที่เห็นได้ในเวลานี้ และอนาคตอันใกล้นี้
(***หมายเหตุ บทความข้างต้นนี้เก็บความตัดตอนมาจากบางส่วนของเอกสารประกอบการบรรยายพิเศษ ของ รศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 ณ อาคารพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว)
ระบอบประชาธิปไตยตัวแทนของไทย จึงอยู่ในช่วงของการสถาปนา โดยมีจุดเน้นไปที่ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของระบบการเมืองเสียยิ่งกว่าจะเน้นในเรื่องของความชอบธรรมทางการเมือง ซึ่งจะเป็นปัญหาว่าเมื่อได้มีการสถาปนาขึ้นแล้ว จะสามารถทำงานได้อย่างไร ระบอบประชาธิปไตยตัวแทนจะมีดุลยภาพ กอปรด้วยความยุติธรรม ความชอบธรรม เกิดความสมานฉันท์ และเป็นประชาธิปไตยที่มีคุณภาพได้อย่างไร
รศ.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ยังมีความเห็นอีกว่า การลงประชามติ การเสนอร่างกฎหมาย และการถอดถอนโดยประชาชน รวมทั้งการปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยในการลงประชามติ และทำให้ประชาธิปไตยตัวแทนในระดับต่างๆมีความเข้มแข็ง ( Strong Democracy ) และเป็นจริงได้ นับว่าเป็นทางเลือกที่มีความสำคัญมาก การเน้นลักษณะทางการเมืองแบบใช้เสียงส่วนใหญ่ปกครองคนส่วนน้อย ( Majoritarianism หรือ Majoritarian Democracy ) ผ่านระบบการเลือกตั้ง และผ่านระบบพรรคการเมืองเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ การพิจารณาแนวคิดประชาธิปไตยในลักษณะอื่นๆข้อสำคัญคือควรเป็นแนวความคิดที่ระบบคุณค่า ไม่มีความขัดแย้ง หรือหักล้างระบอบประชาธิปไตยตัวแทน อาทิ แนวคิดประชาธิปไตยแบบสมานฉันท์ (Consensual Democracy หรือ Consociational Democracy ) เป็นทางเลือกที่น่าสนใจทางหนึ่ง ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้ระบอบประชาธิปไตยตัวแทนสามารถวิวัฒนาการในขั้นต่อๆไปได้ ทั้งนี้มิควรจะเน้นแต่แนวความคิดแบบประชานิยม (Populism) ให้มีความสำคัญหรือมีคุณค่าที่เกินเลยมากนัก ซึ่งแนวความคิดประชานิยมดังกล่าว จะมีผลทางตรงหรือทางอ้อมในการลดทอนความสำคัญของระบอบประชาธิปไตยตัวแทนลงไปในหลายๆเรื่องทั้งที่เห็นได้ในเวลานี้ และอนาคตอันใกล้นี้
(***หมายเหตุ บทความข้างต้นนี้เก็บความตัดตอนมาจากบางส่วนของเอกสารประกอบการบรรยายพิเศษ ของ รศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 ณ อาคารพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น