ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

“นิตยสารสตรี”สมัยรัชกาลที่ 7

สังคมและวัฒนธรรมของไทยในอดีตนั้น ประเด็นเกี่ยวกับเรื่องความคิดทางการเมืองการปกครองมิได้เปิดโอกาสให้สตรีเข้ามามีบทบาทได้เท่าเทียมบุรุษ ดังนั้นสตรีไทยส่วนใหญ่จึงไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองและบทบาทโดยตรง หากแต่สตรีนั้นมีบทบาทหน้าที่เป็นแม่บ้านการเรือน จนหยั่งรากลึกกลายเป็นวัฒนธรรมที่พึงปฏิบัติของกุลสตรีไทย สถานภาพและบทบาทของสตรีไทยเริ่มเปลี่ยนแปลงไป หลังจากการเข้ามาของชาติตะวันตก กล่าวคือ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้บรรดาหมอสอนศาสนาชาวตะวันตกเข้าไปสอนหนังสือให้แก่พระราชโอรสและพระราชธิดาในพระบรมมหาราชวัง ในขณะเดียวกันพระองค์ทรงอนุญาตให้พวกเขาเปิดโรงเรียนสอนสตรีสามัญทั้งในพระนครและนอกพระนครได้ อีกทั้งพระองค์ยังทรงปฏิรูปกฎหมาย ทำให้มีการตีพิมพ์นิตยสารสตรีมากถึง 18 ฉบับ ในสมัยรัชกาลที่ 7 “สตรีไทย” นิตยสารสตรีฉบับหนึ่งที่ดำเนินงานตามหลักการเริ่มแรกได้อย่างต่อเนื่องช่วงต้นสมัยรัชกาลที่ 7 สามารถทำให้ผู้อ่านเข้าใจภาพรวมของกฎหมายการสมรสเวลานั้น แม้ว่าข้อมูลกฎ...

ประวัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากประเทศเชคโกสโลวาเกียและความหมาย“The Order of the White Lion”

>1. ประวัติความเป็นมา เครื่องราชอิสริยาภรณ์ “Order of the White Lion” ได้รับการสถาปนาเมื่อปีพ.ศ. 2465 มีทั้งหมด 5 ชั้น (classes) และแบ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับพลเรือน (Civil Division) และทหาร (Millitary Division)การมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ในแต่ละครั้งจะมีการบันทึกหมายเลข (Inventory) เอาไว้ ซึ่งของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวคือ ลำดับที่ B 41634021 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2477 เดิมการสถาปนาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2465 มีกฎหมายกำหนดให้ส่งคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ White Lion ให้รัฐบาลเช็กเมื่อผู้รับเสียชีวิต แต่ก็ไม่ได้รับการปฏิบัติตาม ต่อมาเมื่อได้มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายอีกหลายครั้ง ในปัจจุบันกำหนดให้มีการส่งคืนเมื่อผู้รับชาวเช็กเสียชีวิต ขณะที่ผู้รับต่างชาติต้องส่งคืนเมื่อไม่มีผู้สืบทอดในครอบครัวแล้ว สำหรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ “White Lion” ที่มีการมอบระหว่างปี พ.ศ. 2473-2533 ไม่จำเป็นต้องส่งคืนประธานาธิบดีเชคโกสโลวาเกียจะมอบ Order of the White Lion ให้กับชาวเช็กและชาวต่างชาติที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศเชคโกสโลวาเกีย 2. ลั...

เครื่องราชอิสริยาภรณ์จากราชอาณาจักรฮังการี ของรัชกาลที่ 7

เครื่องราชอิสริยาภรณ์จากราชอาณาจักรฮังการี ประกอบด้วยดวงตรา จี้ พร้อมสายสะพายสีเขียวเดินทองสีขาวและสีแดง ได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พุทธศักราช 2477 ขณะเสด็จเยือนประเทศในทวีปยุโรป ประวัติ รูปลักษณะ และนัยสำคัญ 1. ประวัติความเป็นมา เครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูล เดอะ ฮังกาเรียน ครอส ออฟ เมริต “The Cross of Merit Order of the Kingdom of Hungary” เครื่องราชอิสริยาภรณ์ “ครอส ออฟ เมริต” ในภาษาอังกฤษ หรือในภาษาฝรั่งเศส “ครัว เดอ เมริต” (Le Croix de Merite) ชั้นสูงสุด สายสะพายพื้นสีเขียวเดินทองสีขาวและสีแดง ได้รับการสถาปนาขึ้นโดยฯพณฯนายพลเรือโทมิคลอส ฮอร์ธีย์ (Miklos Horthy) (Vice Admiral ) “ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน” หรืออาจใช้ว่า “ผู้รักษาพระนคร” ( The Honthy Era ค.ศ.1920-1944) เครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลนี้ถูกสถาปนาขึ้น เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 1922 (พ.ศ. 2465) ซึ่งขณะนั้นประเทศฮังการีถือว่าเป็นราชอาณาจักร (Kingdom) แม้ว่าจะยังไม่ได้ตกลงว่าจะเชิญเจ้านายพระองค์ใดเป็นพระมหากษัตริย์จากนั้นฮอร์ธีย์ มิคลอส ก็ได้ออกคำสั่งให้สถาปนาเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลเดอะ...

“สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น” พระนิพนธ์ของหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล

หนังสือสิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น พระนิพนธ์ของหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ในที่นี้ผู้เขียนขอศึกษา 3 ประเด็นคือ 1. การใช้ข้อมูลเรียบเรียง 2. เนื้อหาเชิงวิเคราะห์และ 3. บทวิเคราะห์ภาพรวม การใช้ข้อมูลประกอบการเรียบเรียง “สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น” เป็นการนำเนื้อหาจากต้นฉบับพิมพ์ดีด ภาคสอง ส่วนที่ 1 หน้า 1 – 349 จัดแบ่งเป็น 2 บทคือ บทที่ 1 วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 และ บทที่ 2 ออกจากกรุงเทพฯ หนังสือฉบับพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพของหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ปรากฏลายหัตถ์พระนามและปีศักราชที่เชื่อว่าทรงเขียนตอนนี้เสร็จคือปี พ.ศ. 2498 นั้น เมื่อพิจารณาเนื้อหาทั้ง 2 บท ค่อนข้างแน่ชัดว่าข้อมูลหลักที่ทรงใช้เขียนคือบันทึกประจำวันซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2478 เป็นบันทึกของพระองค์เองกับบันทึกของพระภคินีหม่อมเจ้าหญิงพัฒนายุคุณาวรรณ ดิศกุล ทรงเรียก “หญิงเหลือ” มีความระบุว่า “ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะเล่าตามไดอารีบางวัน” ซึ่งหมายถึงบันทึกส่วนพระองค์ และยังทรง “ขอให้หญิงเหลือทำบันทึกเรื่องราว ตั้งแต่ 24 มิถุนายน จนถึงวันที่ 27 มิถุนายน เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม” ซึ่งเป็...

กำเนิดภาพยนตร์ : สื่อบันเทิงและบันทึกสยามสมัยรัชกาลที่ 7

ภาพยนตร์เป็นสื่อวัฒนธรรมที่ให้ความบันเทิงในช่วงเวลาพักผ่อนหย่อนใจของผู้คนทุกสังคม ภาพยนตร์เป็นประดิษฐ์กรรมในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 หลังจาก Edison และ Lumiere สามารถฉายภาพเคลื่อนไหวปรากฎแก่สาธารณชน ภาพยนตร์จึงกลายเป็นสื่อบันเทิงสำคัญในสังคมสหรัฐอเมริกาและยุโรปไม่นานนัก หลังจากนั้นภาพยนตร์ก็แพร่กระจายทั่วโลกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เวียดนาม ลาว กัมพูชา พม่า มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ รวมถึงไทย ต่างรับเอาวัฒนธรรมความบันเทิงในการชมภาพยนตร์จากการนำเข้าของประเทศเจ้าอาณานิคม อย่าง อังกฤษ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา สำหรับประเทศไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีชาวตะวันตกที่นำภาพยนตร์เข้ามาฉายครั้งแรกในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2440 นายเอสจี มาร์คอฟสกี้ (S.G. Marchovsky) น่าจะเป็นชาวรัสเซีย ลงประกาศในหนังสือพิมพ์บางกอกไตมส์ แจ้งกำหนดการแสดงที่เรียกว่า “การละเล่น ซีนีมาโตแครฟของชาวปารีส” ณ โรงละครหม่อมเจ้าอลังการ (มาลากุล) ข้างประตูสามยอดเป็นเวลา 3 วัน “ซีนีมาโตแครฟ” น่าจะเป็นเพียงภาพเคลื่อนไหวเหตุการณ์ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส หลังจากน...

แรกมีโรงเรียนสตรีในสยาม

สังคมไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 ก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่แล้ว แต่ด้วยค่านิยม ขนบประเพณีในสังคมที่เป็นลักษณะปิตาธิปไตย บุตรธิดาต้องอยู่ภายใต้การบังคับดูแลของบิดา มารดา และสามี ที่คาดหวังให้สตรีมีความประพฤติและจริยธรรมที่มีเป้าหมายการครองเรือนและดูแลกิจการภายในครอบครัว สตรีจึงถูกกำหนดให้ต้องเรียนรู้การวางตัวและการปรนนิบัติพ่อแม่และสามี ความรู้ของสตรีจึงมีเพียงการฝึกหัดงานบ้านและวิชาชีพจากประสบการณ์ในครอบครัวหรือไปถวายตัวในราชสำนัก จนกระทั่งการศึกษาแบบตะวันตกถูกนำเข้ามาในสยามโดยคณะมิชชันนารีอเมริกันเพรสไบทีเรียน (Presbyterianism) เผยแพร่ศาสนาไปพร้อมกับก่อตั้งโรงเรียนสตรีที่มีหลักสูตรและระบบสมัยใหม่ การเข้ามาของวัฒนธรรมตะวันตกโดยเฉพาะบทบาทและอิทธิพลของหมอสอนศาสนานิกายโปรแตสแตนท์ ที่ให้ความสำคัญแก่การศึกษาสตรีทั้งในด้านศีลธรรมจรรยา และการรู้อักขรวิธีเพื่อให้มีความรู้ด้านวิทยาการใหม่ๆจากตะวันตก เมื่อพ.ศ. 2417 มีการจัดตั้งโรงเรียนแหม่มโคล์ หรือโรงเรียนวังหลัง(Harriet M. House School for Girls) หรือวัฒนาวิทยาลัย จึงเป็นตัวแบบให้กับการศึกษาของสตรีชนชั้นสูงไทยต่อมา อย่างไรก็ต...