ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร[1]
องค์ประกอบสำคัญในการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของสังคมมนุษย์
จำเป็นต้องอาศัยสภาวะความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงเป็นพลังสำคัญ ในทัศนะของ อริสโตเติล
(Aristotle) นักปรัชญากรีกโบราณ ระบุว่า ศิลปะทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นดนตรี การแสดง
หรือ ทัศนศิลป์ ล้วนสามารถช่วยซักฟอกจิตใจให้ดีงามได้ นอกจากนี้ในทางศาสนาชาวคริสต์เชื่อว่า ดนตรีจะช่วยโน้มน้าวจิตใจให้เกิดศรัทธาต่อศาสนาและพระเจ้าได้
การศรัทธาเชื่อมั่นต่อศาสนาและพระเจ้า คือ
ความพร้อมที่จะพัฒนาการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ [2]
ราชบัณฑิตยสถานอธิบายความหมายของศิลปะให้สามารถเข้าใจได้เป็นสังเขปว่า
“ศิลปะ(น.)ฝีมือ, ฝีมือทางการช่าง, การแสดงออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์เห็น
โดยเฉพาะหมายถึง วิจิตรศิลป์ ” [3]ในที่นี้วิจิตรศิลป์ คือ
ความงามแบบหยดย้อย ดังนั้น คำว่า “ศิลปะ”
ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถานจึงหมายถึงฝีมือทางการช่างซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาจากแรงบันดาลใจภายในอย่างวิจิตรงดงามนั่นเอง
ปัจจุบัน คำว่า “ศิลปะ”
สามารถแปลความหมายได้หลากหลายตามวิวัฒนาการของรูปแบบและลัทธิทางศิลปะซึ่งเกิดขึ้นมาตามความนิยมของแต่ละยุคสมัย
ดังนั้น คำว่า “ศิลปะ” จึงมิได้หมายถึงฝีมือทางการช่างที่งดงามแต่เพียงอย่างเดียว การสร้างสรรค์ผลงานที่มีจุดมุ่งหมายบ่งบอกถึงความอัปลักษณ์ในสังคม
เสียดสีวิพากษ์วิจารณ์และสะท้อนความเป็นไปของสังคมในศิลปะลัทธิดาดา (Dadaism) เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่20(ปลายพุทธศตวรรษที่25)
ก็ถือรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของงานสร้างสรรค์ทางศิลปะด้วย
เช่นกัน
สังคมไทยเป็นสังคมที่มีวัฒนธรรมซึ่งมีการสืบทอดและเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องยาวนานนับร้อยนับพันปี
ตามแบบอย่างอารยประเทศ พระราชบัญญัติวัฒนธรรมพุทธศักราช 2485 อธิบายไว้ว่า วัฒนธรรม คือ สิ่งที่ทำให้เกิดความเจริญงอกงามแก่หมู่คณะ หมายถึง
ลักษณะที่แสดงถึงความเจริญงอกงาม
ความเป็นระเบียบเรียบร้อย
ความกลมเกลียวก้าวหน้าของชาติ และศีลธรรมอันดีของประชาชน ในความหมายทางวิชาการ วัฒนธรรม หมายถึง “พฤติกรรมและสิ่งที่คนในหมู่ผลิตสร้างขึ้นด้วยการเรียนรู้จากกันและกัน
และร่วมใช้อยู่ในหมู่พวกของตน” [4]
พระยาอนุมานราชธน หรือ เสฐียรโกเศศ นักปราชญ์ผู้มีความรอบรู้ทางด้านศิลปวัฒนธรรมและประเพณีอย่างลึกซึ้ง
กล่าวว่า “วัฒนธรรมที่ปั้นให้ปรากฏเด่นว่าเป็นไทยโดยสมบูรณ์
และทำให้เห็นว่าแตกต่างไปจากชนชาวอื่นอย่างไร เราก็อาจตอบได้ในข้อนี้ว่า วัฒนธรรมไทย
เกิดจากขนบธรรมเนียมประเพณีที่สืบๆต่อกันมาเป็นปรัมปรา อย่างที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Tradition
หรือ ประเพณีปรัมปรา
ซึ่งมีมาหลายกระแสหลายทาง
ที่เข้ามาผสมปนปรุงกันเป็นอันหนึ่งอันเดียว เกิดเป็นวิถีชีวิตแห่งความเป็นอยู่ของชนชาวไทยให้เห็นเด่นโดยเฉพาะ”
[5]
เมื่อนำคำว่าศิลปะ กับ วัฒนธรรม สมาสกันเป็นคำว่า “ศิลปวัฒนธรรม” ( Art and Culture ) ซึ่งนิยมใช้กันมากในปัจจุบัน ก็หมายถึง
วิถีการดำเนินชีวิตที่มนุษย์สร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการละเล่น การแสดง
การร้องเพลง รวมถึงบรรดาผลงานทั้งมวลของมนุษย์ที่สร้างสรรค์ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นงานด้านจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม ตลอดจนความเชื่อ ความรู้
ลักษณะที่แสดงถึงความเจริญทางภูมิปัญญา ระเบียบ แบบแผน กฎหมาย ภาษาพูดและภาษาเขียน เป็นต้น ศิลปวัฒนธรรมจึงเป็นสิ่งที่ต้องมีระเบียบแบบแผนและมีความสำคัญเชื่อมโยงสิ่งต่างๆในสังคมให้
รวมอยู่ด้วยกันตลอดเวลาเพื่อที่จะให้เกิดเป็นคุณงามความดี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันเป็นพระมหากษัตริย์อีกพระองค์หนึ่งที่ทรงเห็นความสำคัญของวัฒนธรรมในฐานะหลักแห่งความเจริญของชาติไทยที่มีมาอย่างยาวนาน
พระองค์ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่คณะนาฏศิลป์ไทยที่เดินทางไปเผยแพร่ในต่างประเทศ อันกอปรด้วยสาระที่เปี่ยมด้วยความหมายแก่สังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง
ดังนี้
“...คำว่า
วัฒนธรรม นี่จะแปลว่าอะไรก็แล้วแต่จะตีความ
ความจริง แปลว่า ความเจริญความก้าวหน้า แต่วัฒนธรรมในที่นี้ก็คงจะบ่งถึงว่า มีความเจริญมาช้านาน ไม่ใช่ว่ามีความเจริญก้าวหน้า แต่มีความเจริญมาเป็นเวลาช้านาน ต่อเนื่องมาและจนกระทั่งฝังอยู่ในสายเลือด แต่ถ้าเราไปแสดงตนว่ามีวัฒนธรรม ว่ามีฝีมือเท่านั้นเองก็ไม่พอ ต้องแสดงว่าวัฒนธรรมของเราอยู่ใน เลือดวัฒนธรรม...” [6]
ความสำคัญของศิลปวัฒนธรรมในสมัยรัชกาลที่
7
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าอยู่หัว
พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์จักรี
ทรงครองราชย์สมบัติระหว่างพ.ศ. 2468-2477 สืบต่อจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ผู้ทรงเป็นพระเชษฐาร่วมพระบรมราชชนกชนนี ช่วงเวลา 9 ปีแห่งรัชสมัยของพระองค์ท่านถือเป็นระยะเวลาของการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญอย่างหลากหลายทั้งทางเศรษฐกิจ
การเมือง สังคมและเทคโนโลยี ดังนั้น เมื่อจะพรรณนาถึงเรื่องราวเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมในสมัยนี้
จึงจำเป็นต้องกล่าวถึงบริบทความสืบเนื่องและเปลี่ยนแปลงทั้งในช่วงก่อนและหลังรัชสมัยอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวต้องทรงประสพปัญหาที่สำคัญที่สุด
คือ ปัญหาการขาดแคลนทางเศรษฐกิจซึ่งทำให้ต้องตัดทอนรายจ่ายลงอย่างมาก แต่พระองค์ยังทรงเป็นห่วงพระราชกรณียกิจด้านการรักษาวัฒนธรรมและประเพณีของชาติ
ฉะนั้นพระองค์ทรงใฝ่พระราชหฤทัยในด้านศิลปวัฒนธรรม
การสืบสานและวางรากฐานทางศิลปวัฒนธรรมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ปรากฏอย่างชัดเจนโดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตั้งราชบัณฑิตยสภาขึ้นในปี พ.ศ. 2469 เพื่อส่งเสริมการศึกษาด้านวิจิตรศิลป์ วรรณคดี และโบราณคดี และโปรดเกล้าฯให้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงดำรงตำแหน่งนายกสภาเป็นพระองค์แรก และให้สมเด็จฯ
เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ทรงดำรงตำแหน่งอุปนายกราชบัณฑิตยสภา เพื่อจัดการหอพระสมุดสำหรับพระนคร
และตรวจสอบพิจารณาวิชาอักษรศาสตร์เพื่อจัดการพิพิธภัณฑสถาน สงวนรักษาโบราณวัตถุสถาน และเพื่อจัดการบำรุงรักษาวิชาช่าง ผลงานของราชบัณฑิตยสภาเป็นผลดีต่อการอนุรักษ์และส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมเป็นอย่างมาก เช่น
ดำเนินการค้นคว้า สำรวจ ขุดค้น บูรณะและขึ้นทะเบียนโบราณสถาน
อันเป็นบทบาทเริ่มแรกที่พัฒนาขึ้นมาเป็นอำนาจหน้าที่ของกรมศิลปากรในปัจจุบัน การสอบค้นเอกสารโบราณ การตีพิมพ์เผยแพร่ รวมทั้งริเริ่มส่งเสริมให้มีการประกวดเรียบเรียงบทประพันธ์ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง อาทิ
การประกวดเรียงความหนังสือสอนพุทธศาสนาสำหรับเด็กเพื่อแจกในวันวิสาขบูชา เป็นต้นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อเสด็จฯเปิดพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร และเปิดหอพระสมุดวชิรญาณ วันที่ 10
พฤศจิกายน พ.ศ. 2469
สะท้อนให้เห็นถึงการตระหนักต่อความสำคัญของศิลปวัฒนธรรมของชาติไทยในขณะนั้นว่า
“ข้าพเจ้ามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มาเปิดพิพิธภัณฑสถานแลหอพระสมุดวชิรญาณที่ได้จัดขึ้นใหม่ใน วันนี้
เพราะเป็นอันว่าได้เห็นกิจการส่วนหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าได้มอบให้ราชบัณฑิตยสภาจัดการนั้น สำเร็จผลสมความประสงค์... พิพิธภัณฑ์นี้เป็นของที่มีค่าควรดูควรชม...เป็นทางบำรุงปัญญา ความรู้ของมหาชน
และจะได้เป็นสง่าแก่พระนครและเป็นสาธารณประโยชน์
ตลอดจนชนต่างชาติก็จะได้ชมศิลปวัตถุของชาติไทยเป็นหนทางประกาศเกียรติยศแลอารยธรรมของประเทศสยาม...”[7]
ความเคลื่อนไหวที่สำคัญทางด้านศิลปวัฒนธรรมในสมัยรัชกาลที่
7
คือ การตรา
“พระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พุทธศักราช 2474 ” อันเป็นกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์ในวรรณกรรมและศิลปกรรมฉบับแรกที่มีขอบเขตกว้างขวางและสมบูรณ์ การที่รัฐบาลในสมัยนั้นพิจารณาสมัครเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรมระหว่างประเทศ คือ อนุสัญญากรุงเบอร์นในอีก 1 เดือนต่อมานั้น นอกจากเพื่อให้คนไทยได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ผลงานด้านวรรณกรรมและศิลปกรรมจากประเทศที่เป็นภาคีอนุสัญญาฯ
ดังกล่าวด้วยกันแล้วยังน่าจะเป็นการแสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยมีวัฒนธรรมทางจิตใจสูง และมีความเจริญก้าวหน้าสมสมัย
เช่นเดียวกับนานาอารยประเทศ
ศิลปวัฒนธรรมมีความหมายประสานสอดคล้องกับคำว่าขนบธรรมเนียมประเพณีซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการร้อยรัดความหลากหลายทางสังคมให้มีความเป็นเอกภาพ
(unity) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงปัจจัยดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองประมาณ 4 เดือนเศษ พระองค์จึงทรงพระราชทานพระบรมราโชวาทในงานประจำปีของโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน
พ.ศ. 2475 มีใจความตอนหนึ่งที่สะท้อนความสำคัญของความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆในสังคมไทยจากการเปรียบเทียบกับปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษดังนี้
“การที่อังกฤษรักขนบธรรมเนียมหรือ
Tradition ไม่ได้ทำให้ประเทศอังกฤษล้าหลังประเทศอื่นในความเจริญเลย สิ่งใดที่ควรเปลี่ยนแปลงก็เปลี่ยนแปลงไป แต่สิ่งใดที่ยังดีอยู่ไม่เสียหาย เขาก็คงรักษาไว้ เพื่อนึกถึงความเจริญของประเทศที่มีมาแล้วในปางก่อน ถึงแม้ว่าเขาจะคิดทำงานใดๆ เพื่อมุ่งหาความเจริญในอนาคตก็จริง แต่เขาก็ไม่ยอมหันหลังให้อดีตเสียเลย
ข้อนี้เองทำให้อังกฤษเปลี่ยนแปลงแบบแผนการปกครองได้อย่างเรียบร้อยราบคาบไม่ต้องมีการจลาจลมากมายนัก
นั่นเป็นผลของการรักษาขนบธรรมเนียมอย่างหนึ่ง...”
[8]
หลักฐานในพระราชนิพนธ์คำนำหนังสือเรื่องการเปลี่ยนแปลงแก้ไขการปกครองแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซึ่งรัชกาลที่ 7
โปรดให้พิมพ์ขึ้นเมื่อได้เสวยราชสมบัติแล้ว เมื่อพ.ศ. 2470 ได้เตือนให้ชาวไทยตระหนักว่า
สิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นควรมีการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปและสร้างสรรค์เพื่อมิให้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเมือง ดังนี้
“...ควรพยายามแลดูการล่วงหน้า แต่ก็ควรเหลียวหลังดูประเพณี และหลักการที่ล่วงไปแล้วด้วยเหมือนกัน ใน 2 อย่างนี้ก็พอจะทำได้
มียากอยู่เพียงจะเลือกเวลาให้เหมาะ อย่าให้ช้าเกินไป อย่าให้เร็วเกินไป ข้อนี้แหละยากยิ่งนัก
นอกจากมีสติปัญญาแล้วยังต้องมีโชคดีประกอบด้วย
แต่ถ้าเราทำการใดๆไปโดยมีความสุจริตในใจและโดยเต็มความสามารถแล้ว
ก็ต้องนับว่าได้พยายามทำการงานตามหน้าที่จนสุดกำลังแล้ว...” [9]
อย่างไรก็ดี ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมามีการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมในสมัยรัชกาลที่
7
โดยสังเขป ดังนี้
เอกสารประกอบการประชุมทางวิชาการ เนื่องในวโรกาส 100 ปี
พระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
เรื่อง “สังคมไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดโดยสถาบันไทยศึกษา และฝ่ายวิจัย
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 7-9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2537 ณ ห้องประชุมสารนิเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีบทความวิชาการเรื่องสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
โดย รองศาสตราจารย์แน่งน้อย ศักดิ์ศรี กล่าวถึง
สิ่งที่แสดงออกถึงศิลปวัฒนธรรมประจำชาติในแต่ละยุคแต่ละสมัย อาจจะแสดงออกได้ในรูปของจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม นาฏยกรรม
และวรรณคดี เป็นต้น แต่กระบวนการผลิตงานศิลปวัฒนธรรมเหล่านี้ สถาปัตยกรรมดูจะเป็นงานที่เป็นรูปธรรมมากที่สุด เพราะมีลักษณะที่คงทนถาวร มีประโยชน์ใช้สอย จับต้องได้ สัมผัสด้วยตาและด้วยใจ[10]
คำบรรยาย เรื่อง ลักษณะสถาปัตยกรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ในเอกสารการสอนชุดวิชาไทยศึกษา
สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช หน่วยที่10 กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า จิตรกรผู้เขียนภาพภาพพระราชกรณียกิจสมเด็จพระนเรศวรที่วัดสุรรณดาราราม
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คือ พระยาอนุศาสตร์จิตรกร ( จันทร์ จิตรกร)[11] และบุคคลสำคัญที่มีบทบาทในการกำหนดเรื่องราวในภาพจิตรกรรมข้างต้น
คือ สมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ผู้ทรงเป็นนายกสภาแห่งราชบัณฑิตยสภา[12]
ผลงานวิจัยระดับดีมากของ ชาตรี
ประกิตนนทการ ชื่อ “การเมืองและสังคมในศิลปะสถาปัตยกรรม สยามสมัย ไทยประยุกต์ ชาตินิยม”
ตีพิมพ์ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ (2547) ได้นำเสนอความหมายของสถาปัตยกรรมในแง่ที่เป็นสัญลักษณ์ทางสังคมและการเมืองที่สัมพันธ์กับความคิดของผู้คนและสังคมที่เปลี่ยนไปในแต่ละสมัย
นอกเหนือจากประโยชน์การใช้สอยในด้านการกิน การอยู่ การนอน และการทำงานแล้ว
ยังสะท้อนเรื่องราว ความคิด
ความเชื่อตลอดจนอุดมคติของผู้คนและสังคมทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจด้วย งานวิจัยนี้เป็นความพยายามที่จะอธิบายเหตุผลที่มาของการสร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรมโดยอาศัยกรอบความคิดและทฤษฎีทางประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมร่วมกับศาสตร์ในสาขาวิชาอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็น สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความคิดริเริ่มในการศึกษาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมโดยอาศัยเครื่องมือทางวิชาการหลายๆ
อย่างมาร่วมกันในการวิเคราะห์งานสถาปัตยกรรม
ผลที่เกิดขึ้นจึงทำให้ได้มาซึ่งคำอธิบายทางประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมที่กว้างขวางและลึกซึ้งมากขึ้น
มองเห็นปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและการเมืองในช่วงเวลาต่างๆ กับตัวงานสถาปัตยกรรมที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงยุคสมัย
เป็นการศึกษาที่พยายามจะวิเคราะห์งานสถาปัตยกรรมโดยผ่านหลักฐานและเอกสารประเภทอื่นนอกเหนือไปจากหลักฐานที่มาจากตัวงานสถาปัตยกรรมเพียงอย่างเดียว
ที่สำคัญที่สุดคืองานวิจัยชิ้นนี้ได้แสดงให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมว่า ตัวงานสถาปัตยกรรมสามารถที่จะใช้เป็น “เครื่องมือทางประวัติศาสตร์”
อย่างหนึ่งในการย้อนกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์สังคมหรือประวัติศาสตร์ด้านอื่นๆ
ได้เป็นอย่างดี ซึ่งที่ผ่านมางานสถาปัตยกรรมยังมิได้ถูกนำไปใช้ ในกระบวนการศึกษาดังกล่าวมากเท่าที่ควร[13]
โดยเฉพาะในบทที่3ว่าด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมเมื่อยามสนธยาของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์(พ.ศ.2453-2475) หัวข้อย่อยที่ 3.3 กล่าวถึงสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ 7 ในฐานะที่เป็นฉากสุดท้ายของสถาปัตยกรรมในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ระยะหลังๆ ชาตรี ประกิตนนทการ เสนอความเห็นเชิงอัตวิสัยบนพื้นฐานของทฤษฎีความขัดแย้ง
โดยวิจารณ์ว่า
ผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดออกแบบอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ มุ่งนำเสนอเน้นให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ของอาคาร
โดยไม่มีสิ่งใดที่แสดงให้เห็นถึงพลังของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ความเห็นดังกล่าวมองข้ามโจทย์ที่คณะกรรมการจัดประกวดการออกแบบอาคารตั้งไว้รวมถึงการชาตรีมองข้ามความจริงลึกเร้นที่ว่า
แท้จริงแล้วกลไกที่ผลักดันพลังการเคลื่อนไหวของมวลชนแทบทุกกลุ่ม ล้วนมาจากการประจุพลังอย่างลับๆของกลุ่มทุนทางเศรษฐกิจและกลุ่มทุนทางการเมืองค่ายต่างๆ ตามจังหวะการกระตุ้นของผลประโยชน์ทางการเมือง ขณะที่พลังมวลชนบริสุทธิ์ที่แสดงออกให้เห็นอย่างยิ่งใหญ่
เป็นพลังศรัทธาต่อความเสียสละของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีความสืบเนื่องในฐานะศูนย์รวมจิตใจของประชาชน เหตุนี้ สัญลักษณ์ที่แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์
สุข สงบ ร่มเย็นและสันติจึงถูกเลือกสรรให้สื่อความหมายอยู่ในสถาปัตยกรรมดังกล่าวอย่างเหมาะสม
ส่วนการสื่อความหมายที่แสดงออกถึงความยิ่งใหญ่ เร่าร้อน เปี่ยมล้นด้วยพลังของมวลชนต่างก็มีพื้นที่ของอนุสาวรีย์สาธารณะหรืออนุสาวรีย์วีรชน
อยู่ในที่อันสมควรอยู่แล้ว เช่น
อนุสาวรีย์ชาวบ้านบางระจัน
อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อนุสาวรีย์วีรชน14ตุลา
2516 ฯลฯ รวมทั้งยังอาจมีการสร้างอนุสาวรีย์ของมวลชนอีกมากมายต่อไปในอนาคตตามความเหมาะสมด้วยเช่นกัน
ฉัตรบงกช
ศรีวัฒนสาร ในงานวิจัย เรื่อง ภาพล้อและการ์ตูนการเมืองในสังคมไทย พ.ศ. 2465-2475
เสนอสถาบันพระปกเกล้า ปีงบประมาณ 2555 [14] ชี้ว่าในช่วง 10 ปีก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พ.ศ. 2475 ภาพล้อและการ์ตูนการเมืองถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์อย่างหลากหลายและต่อเนื่อง ในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์แทนการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของสื่อมวลชน
แบบยกประเด็นและจุดประกายการถกเถียงทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมผ่านภาพลายเส้นการ์ตูน
เพื่อวิพากษ์วิจารณ์ผู้บริหารประเทศ รวมถึงเปิดโปงการทุจริตของขุนนาง
ข้าราชการ และเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างชัดเจน จนเป็นที่มาของการตราพระราชบัญญัติควบคุมหนังสือพิมพ์พ.ศ.
2465 และการประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยสมุด
เอกสารและหนังสือพิมพ์ พ.ศ. 2470 เพื่อกำหนดคุณสมบัติของผู้เป็นบรรณาธิการให้มีความรับผิดชอบต่อการนำเสนอให้มากขึ้น
แสดงถึงความอดกลั้นที่มีต่อการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างทางการเมืองของผู้นำประเทศ
และสะท้อนบรรยากาศที่เกื้อหนุนต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองสยาม
พ.ศ. 2475 เป็นต้น ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไปข้างหน้า
การบูรณะปฏิสังขรณ์พระอาราม : การอนุรักษ์และสืบทอดศิลปวัฒนธรรม
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่ ไม่มีการสร้างพระอารามหลวงขึ้นมาใหม่
เนื่องจากทรงมีพระราชดำริว่าในรัชกาลก่อนหน้านั้นได้สร้างวัดวาอารามไว้แล้วจำนวนมาก
อย่างไรก็ดี ในการเตรียมงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ 150 ปี ก่อนพ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้มีการทำนุบำรุงและสืบทอดศิลปวัฒนธรรมของชาติด้วยการบูรณปฏิสังขรณ์วัดต่างๆ
อาทิ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยรัฐบาลได้ใช้งบประมาณ จำนวน 600,000 บาท ในการดำเนินการ แบ่งเป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ที่ทรงอุทิศจำนวน
200,000 บาท เงินงบประมาณแผ่นดิน 200,000 บาท ส่วนที่ยังขาดนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้มีคณะกรรมการดำเนินการเรี่ยไรจากพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร และประชาชนเพื่อให้มีโอกาสบำเพ็ญกุศลร่วมกัน
[15]
ในรัชสมัยของพระองค์ แม้ว่าจะมิได้ทรงสร้างวัดประจำรัชกาล แต่ก็ถือว่า วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามก็มีฐานะเปรียบเสมือนวัดประจำรัชกาล
เนื่องจากทรงรับพระราชภาระปฏิสังขรณ์วัดนี้มาเกือบโดยตลอด ในรัชกาลที่ 7 มีหลักฐานปรากฏว่าพระอุโบสถบนลานพระปฐมเจดีย์ชำรุดทรุดโทรมมากยากที่จะบูรณะปฏิสังขรณ์ได้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างขึ้นใหม่ นอกจากนี้ยังทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ปฏิสังขรณ์วัดสุวรรณดาราราม
จังหวัดพระนครศรีอยุธยาซึ่งสร้างมาตั้งแต่ปลายสมัยอยุธยา โดยพระยาวรวงศาธิราช (คุณทอง)
พระอัยกาของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
พระมหากษัตริย์ในพระราชวงศ์จักรีทรงถือว่าวัดสุวรรณดารารามเสมือนวัดของพระบรมจักรีวงศ์
ด้วยเหตุนี้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯให้พระยาอนุศาสน์
จิตรกร (จันทร์ จิตรกร) เขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่อง
พงศาวดารสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไว้ที่พระวิหารหลวง[16] นับเป็นภาพเล่าเรื่องที่มีคุณค่าปรากฏมาจนทุกวันนี้
วิหารหลวงวัดสุวรรณดารารามภายในมีจิตรกรรมฝาผนังพระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
จิตรกรรมฝาผนังวัดสุวรรณดารารามมีลักษณะเป็นภาพเขียนเรื่องราวพระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรตั้งแต่พระเยาว์จนสวรรคต
โดยมีภาพยุทธหัตถีที่เป็นภาพเด่นอยู่เหนือประตูด้านหน้า
ใช้เทคนิคการวาดแบบตะวันตกมาประยุกต์ใช้กับจิตรกรรมฝาผนัง เป็นภาพสีน้ำมันเสมือนจริงทั้งหน้าตา
ร่างกาย กล้ามเนื้อ สัดส่วน และเครื่องแต่งกาย นับเป็นจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามและแปลกใหม่สำหรับยุคนั้น
แม้ว่าเนื้อหากล่าวถึงพระราชกรณียกิจในสงครามเป็นหลัก
แต่วิธีการเล่าเรื่องน่าสนใจยิ่งเพราะเป็นการเลียนแบบการจัดวางภาพจากเรื่องพุทธประวัติ
เริ่มจากการอัญเชิญพระองค์จุติลงมาอุบัติบนโลกมนุษย์[17]
จิตรกรรมภาพพระสยามเทวาธิราชทูลเชิญพระอิศวรให้แบ่งภาคลงมาอุบัติบนโลกมนุษย์
เป็นสมเด็จพระนเรศวรเป็นตอนแรกของภาพเล่าเรื่อง
ภาพสมเด็จพระนเรศวรทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาผนังด้านตะวันออก
ในพระวิหารหลวงวัดสุวรรณดาราราม
จิตรกรรมขบวนอัญเชิญพระบรมศพสมเด็จพระนเรศวรมหาราชอยู่ในห้องภาพสุดท้าย
ในพระวิหารหลวงวัดสุวรรณดาราราม
พระปฐมบรมราชานุสรณ์:สถาปัตยกรรมและประติมากรรมประเภทอนุสาวรีย์สาธารณะ
(Public
Monument) แห่งแรกของสยาม
พระปฐมบรมราชานุสรณ์และสะพานพระพุทธยอดฟ้า
เอกสารประกาศสร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้า จากหนังสือประชุมกฎหมายประจำศก รัชกาลที่ 7 ทรงมีพระราชปรารภว่า
“... เมื่อถึงพุทธศักราช 2475 อายุของพระนครจะครบ 150 ปี
เป็นอภิลักขิตมงคลสมควรจะมีการสมโภชพระนคร
และสร้างสิ่งที่เป็นถาวรวัตถุเพื่อเตือนใจชาวสยามในภายหน้า จึงทรงปรึกษาแก่อภิรัฐมนตรีและเสนาบดีทั้งปวง
ก็เห็นชอบในการสร้าง 2 สิ่ง ประกอบกัน คือ
การสร้างพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก องค์ปฐมบรมกษัตริย์แห่งพระราชจักรีวงศ์
และการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำทำทางถนนเชื่อมฝั่งพระนครให้ติดต่อกับทางฝั่งธนบุรี เพื่อให้เป็นสาธารณประโยชน์ ในการสร้างครั้งนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
อุปนายกราชบัณฑิตยสภา ผู้ทรงอำนวยการออกแบบทั้งพระบรมรูป และสะพาน พระราชทานพระนามว่า สะพานพระพุทธยอดฟ้า จำนวนเงินในการก่อสร้าง 4 ล้านบาทซึ่งพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7
ทรงบริจาคจำนวนประมาณ 2 ล้านบาท รัฐบาลจ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินส่วนหนึ่ง
และส่วนที่เหลือทรงพระราชดำริให้บอกบุญเรี่ยไรจากชาวสยามทุกชาติทุกชั้นทุกบรรดาศักดิ์ตามกำลัง....
” [18]
ดังนั้นในปีพ.ศ. 2475
ก่อนเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองไม่กี่เดือน
รัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้จัดการเฉลิมฉลองวาระสำคัญของประเทศ ประกอบไปด้วย
งานฉลองพระนคร งานเฉลิมสิริราชสมบัติและงานพระราชกุศลทักษิณานุประทาน
อีกทั้งจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
และสร้างสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์เชื่อมฝั่งพระนครและธนบุรีเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงสถาปนากรุงเทพมหานคร
ลักษณะโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมของสะพานเป็นสะพานเหล็กกล้า มีผังเป็นรูปลูกศร ซึ่งเป็นพระราชลัญจกรของรัชกาลที่ 7
ตัวสะพานเป็นก้านธนูพาดผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาในแนวเหนือใต้ จากฝั่งพระนครสู่ฝั่งธนบุรี รัชกาลที่ 7 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ต่อมาคือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม ทรงเป็นผู้อำนวยการสร้าง โดยมีบริษัทดอร์แมนลอง ประเทศอังกฤษ
ออกแบบและก่อสร้าง
พระบรมราชานุสาวรีย์พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ลักษณะของพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปั้นโดยประติมากร ชาวอิตาเลียน นายคอร์ราโด
เฟโรจี ต่อมาคือ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี
ผู้ก่อกำเนิดมหาวิทยาลัยศิลปากร
ส่วนสถาปนิกผู้ออกแบบแท่นฐานและฉากหลังของอนุสาวรีย์ คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ พระองค์ทรงอำนวยการแผนกศิลปกรรมคิดแบบอย่างเป็นพระบรมรูปทรงเครื่องขัตติยาภรณ์เสด็จประทับเหนือพระราชบัลลังก์และหล่อด้วยทองสำริด
ไกลกังวล
:
วังแห่งเดียวที่ถูกสร้างในสมัยรัชกาลที่ 7
จากหลักฐานพบว่าตลอดรัชสมัย
มีการก่อสร้างวังเพียงแห่งเดียว คือ วังไกลกังวลที่ หัวหิน ผู้ออกแบบคือ ม.จ. อิทธิเทพสรรค์ กฤดากร
สถาปนิกรุ่นแรกที่ไปศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศส วังไกลกังวลเริ่มก่อสร้างตั้งแต่
พ.ศ. 2469 และมีการขึ้นตำหนักเปี่ยมสุขเมื่อพ.ศ. 2472 รูปแบบงานสถาปัตยกรรมมีลักษณะเรียบง่าย
แผนผังไม่ซับซ้อน มีลักษณะคล้ายบ้านพักตากอากาศหลังใหญ่เท่านั้น[19] ซึ่งแตกต่างจากสมัยรัชกาลก่อน
แสดงออกให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในสมัยรัชกาลที่ 7
ที่มีลักษณะเรียบง่ายที่สุดเพราะตระหนักถึงสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจ
พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล
หม่อมราชวงศ์แน่งน้อย ศักดิ์ศรี
กล่าวถึงวังไกลกังวลไว้ว่า
ลักษณะทั่วไปทางสถาปัตยกรรมพระราชนิเวศน์แห่งนี้ “คล้ายไปทางสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศสตอนใต้” เช่นมีการใช้หลังคารูปโค้ง การทำลานโล่ง (Court yard) ด้านหลังของพระตำหนักเปี่ยมสุขและด้านทิศเหนือของพระตำหนักน้อย การทำนอกชานกว้างและมีซุ้มต้นไม้ (Pergola) ที่พระตำหนักเปี่ยมสุข
การทำพระทวารและพระบัญชรเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลมตามพระตำหนักต่างๆ
เป็นต้น [20]
บัณฑิต จุลาสัย
กล่าวถึงวังไกลกังวลว่า
รูปแบบอาคารเป็นแบบบ้านพักอาศัยแบบฝรั่งตามยุคสมัย มีหลังคามุมชัน
มุมด้วยกระเบื้องดินเผาเคลือบสีน้ำตาลเข้ม
ส่วนฐานผนังทั่วไปประดับด้วยหินก้อนใหญ่สีน้ำตาลคล้ายแบบบ้านพักตากอากาศในยุโรปครั้งนั้น หรือที่เรียกว่า “Picturesque” เป็นรูปแบบที่เห็นธรรมชาติเลียนแบบปราสาทหรือบ้านในชนบทของฝรั่ง[21]
พระราชนิยมด้านศิลปะการถ่ายภาพนิ่งและการถ่ายทำภาพยนตร์
การถ่ายภาพนิ่งเป็นเทคโนโลยีทันสมัยที่เกิดขึ้นหลังจากการริเริ่มประดิษฐ์กล้องถ่ายภาพของดาแกร์(Louis
Jacques Mandé Daguerre, 1789-1851) ซึ่งเรียกว่า “Daguerreotype”[22] ส่งผลให้ศิลปะการถ่ายภาพนิ่งถูกเผยแพร่ออกไปทั่วโลก
ในประเทศสยามศิลปะการถ่ายภาพนิ่งเฟื่องฟูมากในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การถ่ายภาพนิ่งเป็ นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์ผลงานทางด้านศิลปะ
เนื่องจากศิลปินต้องเรียนรู้ทั้งในเรื่องของส่วนผสมทางเคมีในการล้างอัดขยายภาพ และการจัดองค์ประกอบทางศิลปะ
ได้แก่ แสง เงา พื้นผิว และท่าทางของเจ้าของภาพ ทิวทัศน์ สถานที่ เช่นเดียวกับการสร้างสรรค์งานจิตรกรรม
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่ขณะทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ พระชนมายุได้ 12 พรรษา พระองค์ได้แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถในการถ่ายภาพ จากการที่ทรงได้รับพระราชทานรางวัลเหรียญทองแดง
จากการทรงส่งภาพถ่าย ชื่อ ภาพ “ ตื่น” เข้าร่วมงานประกวดภาพถ่ายในงานประจำปีวัดเบญจมบพิตรเมื่อปี
พ.ศ. 2448[23]
และเมื่อเป็นพระมหากษัตริย์แล้วก็ยังโปรดการถ่ายภาพและภาพยนตร์อย่างต่อเนื่อง ถือเป็น “งาน” ของเชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูงที่มีการศึกษาของคนในสมัยนั้น
ในด้านการถ่ายภาพยนตร์นั้น นับแต่นายเฮนรี่ อเล็กซานเดอร์
แม็กเรย์ แห่งฮอลลีวู้ด
ได้เข้ามาทำภาพยนตร์เรื่อง นางสาวสุวรรณ
เมื่อปี พ.ศ. 2466 และนำออกฉายในสยามเรื่องแรก
ก็มีเสียงเรียกร้องจากผู้ชมภาพยนตร์ จนกระทั่งในปีพ.ศ. 2470 คณะศรีกรุงเป็นบริษัทภาพยนตร์ผู้สร้าง “
โชคสองชั้น” ซึ่งถือเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่สร้างโดยคนไทย[24]
ระหว่างปีพ.ศ. 2469-2470 อันเป็นช่วงแรกของการครองราชย์ในรัชกาลที่7
ทรงแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำตามวิธีการของ เซอร์เอ็ดวาร์ด คุก
ที่ปรึกษากระทรวงพระคลัง
คือการตัดทอนรายจ่ายของแผ่นดิน บรรดาข้าราชการที่ถูกดุลจำนวนนับพัน
ส่วนหนึ่งก็จำต้องยอมรับชะตากรรมด้วยการดิ้นรนหางานอาชีพอย่างใหม่ทำกัน เช่นเป็นลูกจ้างตามห้างร้านเอกชน ประกอบธุรกิจค้าขาย หรือหาอาชีพใหม่ๆ บริษัทสร้างภาพยนตร์ไทยรายแรกที่เกิดขึ้น
ก็เกิดจากปัจจัยแวดล้อมและกระแสผลักดันในการดิ้นรนแสวงหาการทำมาหากินของข้าราชการหรือขุนนางที่ถูกนโนยาบายดุลยภาพในคราวนั้นเอง
เช่น ต้นปี พ.ศ. 2469
หลวงสุนทรอัศวราช (อดีตข้าราชการกรมอัศวราช) ในฐานะผู้จัดการบริษัท
ได้ทำหนังสือส่งรายนาม 8
ท่านรวมทั้งท่านเอง ได้แก่ พันโทหลวงสารานุประพันธ์ (ขาว ปาจิณพยัคฆ์)
อดีตบรรณาธิการวารสาร เสนาศึกษาและแผ่วิทยาศาสตร์(อดีต ข้าราชการกระทรวงกลาโหม
) พระยาบำรุงราชบริพาร พระอมรฤดี
พระอภิรักษ์ราชฤทธิ์ พระดรุณรักษา และหมื่นบันเทิงชวนหัว (5
รายนี้เป็นอดีตข้าราชการกรมมหาดเล็ก) ขุนพิเศษวรวุฒิ
(อดีตข้าราชการกระทรวงธรรมการ)
ขออนุญาตเป็นผู้แสดงให้กับบริษัทถ่ายภาพยนตร์ไทย และตามพระราชกระแสของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ
พระราชทานลงมาว่า “หากข้าราชการใช้นามแฝงในการแสดงภาพยนตร์
ก็อาจได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต[25]
ในระยะแรก ภาพยนตร์มีฐานะเป็นเทคโนโลยีบันทึกภาพเคลื่อนไหวพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว อย่างไรก็ดี เมื่อทรงว่างจากพระราชกิจ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดปรานทั้งการถ่ายภาพนิ่งและการถ่ายทำภาพยนตร์ด้วยฝีพระหัตถ์พระองค์เอง
นอกจากนี้ยังทรงสนับสนุนกิจการภาพยนตร์ด้วยความสนพระราชหฤทัย โดยจัดตั้ง “สมาคมภาพยนตร์สมัครเล่นแห่งประเทศสยาม”
ในพระบรมราชูปถัมภ์ พ.ศ. 2473 เพื่อส่งเสริมกิจการภาพยนตร์สมัครเล่นให้ก้าวหน้า
แลกเปลี่ยนความรู้และประสานสามัคคีในกลุ่มผู้สนใจภาพยนตร์สมัครเล่น สำนักงานตั้งอยู่ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ทั้งรัชกาลที่ 7 และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินีทรงดำรงตำแหน่งสมาชิกกิตติมศักดิ์ กิจกรรมสำคัญของสมาคม ได้แก่
การจัดฉายภาพยนตร์ให้แก่สมาชิกชมทุกเดือน รวมถึงการจัดบริการต่างๆ ได้แก่
การรับล้างฟิล์ม การพิมพ์สำเนาฟิล์ม
การเผยแพร่ข่าวสารและความรู้เกี่ยวกับภาพยนตร์สมัครเล่นผ่านทาง “วารสารข่าว
สภส.” เป็นต้น
ภาพยนตร์ที่ทรงถ่ายมีทั้งเนื้อหาที่เป็นสารคดี
อาทิ ภาพยนตร์เกี่ยวกับการเสด็จฯ ประพาสโบราณสถานในมณฑลพายัพของสยาม อินโดจีนฝรั่งเศสและเกาะชวา ปัจจุบันภาพยนตร์ดังกล่าวกลายเป็นมรดกความทรงจำอันล้ำค่าของอาเซียน เพราะได้บันทึกวัฒนธรรมประเพณี
และสถานที่ท่องเที่ยว จำนวนมากของประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอาไว้อย่างละเอียด แม้แต่เจ้าของประเทศ อาทิ
เวียดนามยังไม่เคยเห็นภาพยนตร์ดังกล่าว ส่วนภาพยนตร์ที่ให้ความบันเทิงหนึ่งในจำนวนนั้น
คือ ภาพยนตร์เรื่อง “แหวนวิเศษ” ซึ่งได้ทรงเป็นองค์ผู้อำนวยการสร้างและกำกับการแสดงด้วยพระองค์เองจากการพระราชนิพนธ์บทภาพยนตร์ขึ้นในเรือพระที่นั่งจักรี ระหว่างเสด็จประพาสทางทะเล
และโปรดเกล้าฯให้ถ่ายทำขึ้นที่เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นภาพยนตร์เงียบ เวลาฉายทั้งเรื่องประมาณ 40 นาที นับเป็นพระมหากษัตริย์นักถ่ายภาพยนตร์สมัครเล่นผู้บุกเบิกวงการภาพยนตร์ไทย
[26]
พระราชนิยมในการภาพยนตร์ดังกล่าวมีผลต่อนโยบายของรัฐในการสนับสนุนส่งเสริมการสร้างภาพยนตร์ไทย
คือ มีการตราพระราชบัญญัติภาพยนตร์ พ.ศ. 2473 ควบคุมการสร้างและการฉายภาพยนตร์ในราชอาณาจักร
โดยเน้นนโยบายให้เป็นประโยชน์เพื่อการค้าโดยคนไทย โปรดฯให้สร้างโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง ที่เป็นสถาปัตยกรรมทันสมัยที่สุดแห่งแรกของประเทศ เพื่อเป็นอนุสรณ์ในวโรกาสฉลองพระนคร 150
ปีด้วยอีกชิ้นหนึ่งนอกจากพระปฐมบรมราชานุสรณ์และสะพานพุทธยอดฟ้า โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง เริ่มสร้างเมื่อ 1 กรกฎาคม
พ.ศ. 2473
ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2476 ออกแบบโดย
ม.จ.สมัยเฉลิม กฤดากร [27]
นับเป็นเวลา 80 ปีมาแล้ว
ศาลาเฉลิมกรุงยังทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญทางวัฒนธรรมต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน
เช่น มีการแสดงนาฏกรรมโขน เป็นต้น
การ์ตูนล้อเลียน(Caricature)
: ศิลปะสะท้อนความคิดและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสมัยรัชกาลที่ 7
การเขียนภาพล้อและการ์ตูนการเมืองเป็นศิลปะที่เกิดขึ้นครั้งแรกในยุโรปตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่15 (พุทธศตวรรษที่20) จากนั้นก็ได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วโลก
ภาพเขียนล้อเลียนและการ์ตูนการเมืองเข้ามาในไทยครั้งสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 6 โดยปรากฏในหนังสือดุสิตสมิต ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ที่ไม่เพียงจะตีพิมพ์ศิลปะการ์ตูนผลงานของพระองค์
แต่ยังได้ใช้ภาพพิมพ์หินเพื่อสนับสนุนผลงานอันหลากหลายของราชสำนักด้วย อย่างไรก็ดี
การตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ของดุสิตธานีแพร่หลายอยู่ในกลุ่มคนใกล้ชิดกับรัชกาลที่ 6 เท่านั้น
ภาพล้อหน้าปกของหนังสือพิมพ์ดุสิตสมิต
ท่ามกลางจารีตสังคมศักดินา
หนังสือพิมพ์จำนวนหนึ่งได้ใช้ภาพการ์ตูนเป็นเครื่องมือวิจารณ์สังคม อาทิ นายหอม นิลรัตน์บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยหนุ่ม
มีนายเปล่ง ไตรปิ่น (ขุนปฏิภาคพิมพ์ลิขิต)ในสมัยรัชกาลที่ 6
เป็นผู้วาดการ์ตูนล้อการเมือง และ นายเสม สุมานนท์ (แก่นเพ็ชร)
แห่งหนังสือพิมพ์บางกอกการเมืองและหนังสือพิมพ์สยามรีวิว[28]
ตัวอย่างภาพจากหนังสือพิมพ์ไทยหนุ่ม
ตีพิมพ์ในนสพ.สยามรีวิว ปีที่ 1 ฉบับที่ 38ประจำวันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2469 หน้า 697 จำนวน2 ภาพ เป็นฝีมือของ นายเปล่ง
ไตรปิ่น ภาพแรก เป็นภาพล้อสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตในเครื่องแบบฉลองพระองค์
“มากยศ” ในฐานะเสนาบดีทหารบกและทหารเรือ พระหัตถ์ขวาทรงตรา
คชสีห์ หมายถึง กระทรวงกลาโหม และพระหัตถ์ซ้ายทรงตรา
มัตสยาวตาร หมายถึง กระทรวงทหารเรือ
แต่ดูเหมือนจะจงใจเขียนภาพต้นพระสนับเพลาให้ลีบรัดพระองค์แทนที่จะพองตามปกติจนดูเหมือนแทบจะไม่ได้ทรง ส่วนพระพักตร์ก็แสดงพระอารมณ์ภายในออกมาดูเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังมากจนพระโอษฐ์และพระมัสสุบิดเอียง
มีอักษรบรรยายด้านข้างว่า “อยู่ในลักษณะเชื่อแน่ของประชาชนส่วนมาก ”
อีกภาพเป็นภาพล้อ
กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม
กำลังทรงทอดอารมณ์สูบไปป์ บนเรือพระที่นั่งแจวพระองค์เดียว 3 ลำ มีในพระอริยาบถสำราญพระหฤทัยแบบทองไม่รู้ร้อน และมีข้อความเหน็บแนมใต้ภาพว่า
“อย่าว่าแต่เท่านี้ ถึงอิกลำสองลำก็พอกะเดกไปได้
หร็อกน่า !”
แม้เปล่ง
ไตรปิ่นจะล้อเลียนเจ้านายทั้งสองพระองค์ผู้ทรงเป็นพระเชษฐาในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและยังทรงดำรงตำแหน่งเป็นอภิรัฐมนตรีในขณะที่ประเทศไทยยังมีสถานะเป็นรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ซึ่งก็ถือว่าเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแต่ศิลปินก็ไม่ได้ถูกดำเนินคดี
การอนุรักษ์และสืบสานศิลปวัฒนธรรมทางด้านนาฏศิลป์และการดนตรี
ความเชื่อ ประเพณี ค่านิยม
ภาษา
แม้แต่ดนตรีเองก็เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม[29] บทละคร เรื่อง เวนิสวานิช
พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงนิยามถึงคุณค่าของศิลปะการดนตรีไว้ตอนหนึ่ง ดังนี้
“ชนใดไม่มีดนตรีการ ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก อีกใครฟังดนตรีไม่เห็นเพราะ เขานั้นเหมาะคิดขบถอัปลักษณ์ หรืออุบายมุ่งร้ายฉมังนัก มโนหนักมืดมัวเหมือนราตรี และดวงใจย่อมดำ สกปรก
ราวนรกชนเช่นกล่าวมานี่
ไม่ควรใครไว้ใจในโลกนี้
เจ้าจงฟังดนตรีเถิดชื่นใจ”[30]
อย่างไรก็ดี
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นที่ทราบกันดีว่า ประเทศไทยกำลังประสบภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ
อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากปัจจัยทั้งภายนอกและภายใน ปัจจัยภายนอก คือผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 1 (พ.ศ.2457- 2461 ) ซึ่งทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก
ส่งผลให้รัฐบาลไทยต้องดำเนินการทั้งลดทอนและยุบรวมหน่วยงานราชการที่ไม่จำเป็นลง และให้ข้าราชการบางส่วนออกจากราชการ
เรียกว่า การ “ดุลยภาพ”
ส่วนปัจจัยภายในที่ทำให้ฐานะการคลังของไทยอยู่ในสภาพอ่อนแอสืบเนื่องมาถึงสมัยรัชกาลที่7
คือ ตอนปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัฐบาลไทยตกอยู่ในสภาวะ “เงินขาด” ตลอดมา
เพราะเงินคงคลังซึ่งเป็นทุนที่รัฐบาลสะสมไว้ลดน้อยลง รัฐบาลจึงหาทางออกโดยการกู้เงินจากต่างประเทศ
เมื่อพ.ศ. 2464 [31]
ดังนั้น
การที่กรมมหรสพหลวงมีข้าราชการหลายร้อยคน ได้แก่ นาฏศิลปินและนักดนตรี
ส่งผลให้มีรายจ่ายเกินกำลังของพระคลังข้างที่
อีกทั้งบ้านเมืองในขณะนั้นกำลังอยู่ในภาวะขาดแคลน
หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวกับศิลปะการแสดง อาทิ
กรมโขนหลวง กรมพิณพาทย์หลวงและกรมเครื่องสายฝรั่งหลวงในสังกัดกรมมหาดเล็ก กระทรวงวังก็ได้รับผลกระทบโดยตรงเช่นกัน
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวินิจฉัยว่าจำเป็นต้องยุบรวมกรมมหรสพหลวง
เข้าเป็นหน่วยงานหนึ่งในกระทรวงวังมีเจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ (ม.ร.ว.เย็น อิศรเสนา)
เป็นเสนาบดี [32]
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงทอดทิ้งข้าราชการกรมมหรสพหลวงแต่อย่างใด ในการประชุมเสนาบดี
พระองค์ทรงขอความเห็นว่า
หากเป็นการสมควรที่จะรักษาศิลปะชั้นสูงของชาติไว้
ก็เต็มพระราชหฤทัยที่จะทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และปรากฏว่าในเวลาต่อมา เมื่อพระองค์ทรงมีพระราชกิจที่จำเป็นต้องใช้สอยคนเก่าแก่
ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เรียกข้าราชการที่ถูกดุลยภาพ
ให้กลับเข้ามารับราชการต่อ
รวมทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งวงมโหรีหลวงขึ้น รวมทั้งรื้อฟื้นและทำนุบำรุงศิลปะการแสดงละคร
นาฏศิลป์และ ดนตรีของชาติให้ดำรงอยู่ต่อมา
มูลเหตุที่ทำให้พระองค์ทรงเริ่มสนใจดนตรีไทยเนื่องจากในพระราชพิธีสมโภชพระคชาธารเผือก มีวงขับไม้บรรเลงขับกล่อมหลวงไพเราะเสียงซอ
(อุ่น ดูรยะชีวิน) ทำหน้าที่สีซอสามสาย พระองค์ทรงสดับเสียงซอสามสายแล้วทรงโปรด
ถึงกับมีพระราชกระแสรับสั่งกับพระมหาเทพกษัตรสมุห (เนื่อง สาคริก) ว่า
“เครื่องดนตรีไทยนี่ก็แปลก
มีแค่สามสาย แต่ทำได้ทุกเสียง
แล้วก็ชัดดีด้วย”
จากนั้นทรงมีพระราชปรารภให้จัดหาครูดนตรีไทยมาถวายการสอน ในที่สุด สมเด็จฯ
เจ้าฟ้าภาณุรังสีสว่างวงศ์
กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช
ทรงส่งหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง)
ไปถวายการสอนแด่พระองค์และสมเด็จพระบรมราชินี
รวมทั้งหลวงไพเราะเสียงซอก็มีโอกาสได้ถวายการสอนซอโดยตรง รัชกาลที่ 7 โปรดการทรงดนตรี โดยเฉพาะดนตรีไทย
ทรงตั้งวงดนตรีไทยส่วนพระองค์ขึ้น ในปีพ.ศ. 2470 ประกอบด้วยเจ้านายและข้าราชบริพารที่ใกล้ชิดพระยุคลบาททั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายใน
และยังทรงมีพระปรีชาสามารถทั้งการทรงดนตรีและการพระราชนิพนธ์เพลงไทยเดิม
ทั้ง 3 เพลง
ได้แก่ เพลงราตรีประดับดาว เถา (พ.ศ. 2472) เพลงเขมรลออองค์เถา
(พ.ศ. 2473) และเพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั่ง (พ.ศ. 2474) ถือได้ว่ารัชกาลที่
7 ทรงอนุรักษ์ดนตรีไทยไว้ด้วยพระองค์เอง
บทสรุป
ในช่วงระยะเวลา 9
ปีแห่งการครองราชย์สมบัติมีหลักฐานพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวบ่งชี้ให้เห็นความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมในรัชสมัยอย่างชัดเจน
การสืบทอดฝีมือช่างทางด้านสถาปัตยกรรมแบบไทยประเพณี ปรากฏให้เห็นหลักฐานจากการบูรณะและปฏิสังขรณ์พระอารามสำคัญ
ได้แก่ วัดพระศรีรัตนศาสดารามและวัดสุวรรณดาราราม เป็นต้น การสืบทอดรับช่วงพระราชนิยมของรัชกาลที่6
ด้านการเปิดรับรูปแบบสถาปัตยกรรมตะวันตกเข้ามามีพื้นที่เป็น
“ของใหม่” ในบริบทของสังคมไทย เห็นได้จากการสร้างวังไกลกังวลให้มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศสตอนใต้ที่เรียบง่าย
เป็นต้น
ในรัชสมัยนี้
เริ่มแลเห็นพัฒนาการทางด้านเทคนิคจิตรกรรมที่สำคัญ คือ
การมีการนำสีน้ำมันมาเขียนภาพจิตรกรรมพระราชพงศาวดารฝาผนังที่วัดสุวรรณดารารามแทนจิตรกรรมสีฝุ่นที่ใช้มาแต่โบราณ
นอกจากนี้ การเข้ารับราชการของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ศิลปิน ชาวอิตาเลียน ยังทำให้เกิดแบบแผนในการสร้างสรรค์ประติมากรรมที่คำนึงถึงหลักกายวิภาคศาสตร์(Anatomy)
ในการสร้างพระปฐมบรมราชานุสรณ์
การถ่ายภาพนิ่งเคยเป็นกิจกรรมที่ต้องใช้ความรู้ความชำนาญทางด้านเทคโนโลยี
ของคนชั้นสูง กลับกลายเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน
ขณะที่พระปรีชาสามารถทางด้านการริเริ่มถ่ายทำภาพยนตร์ก็พัฒนามาเป็นอุตสาหกรรมสำคัญที่เกี่ยวข้องกับศิลปะการแสดงที่สร้างผลประโยชน์มหาศาลแก่ผู้เกี่ยวข้อง
ภาพยนตร์บันทึกพระราชกรณียกิจเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่มณฑลปัตตานี
การสักการะศาสนสถานและสถานที่สำคัญ ทั้งในมณฑลพายัพ มณฑลภูเก็ต เกาะพะงัน
ถ้ำพระยานครและโบราณสถานหลายแห่งในอินโดจีน(เวียดนาม และกัมพูชา) และภูมิภาคในกลุ่มประเทศอาเซียนบางประเทศ(อินโดนีเซีย)
เป็นมรดกความทรงจำทางด้านประวัติศาสตร์สิ่งแวดล้อมทางภูมิศาสตร์สังคม
และวัฒนธรรมในอดีตอันทรงคุณค่าซึ่งเจ้าของพื้นที่เองบางประเทศก็อยากได้เพราะไม่มีเก็บรักษาไว้
(อาทิ เวียดนาม) ปรากฏการณ์ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงทางด้านศิลปวัฒนธรรมในรัชสมัยสั้นๆ
ของพระมหากษัตริย์
ผู้ทรงเป็นแบบอย่างของความเสียสละทางการเมืองและผู้ทรงปราศจากรอยด่างพร้อยในพระราชจริยาวัตรส่วนพระองค์
เป็นพัฒนาการที่ส่งผลกระทบยาวนานมาถึงปัจจุบัน
แม้เวลาจะผ่านไปนานแล้วเกือบ 80 ปี นับตั้งแต่ที่ทรงได้พระราชนิพนธ์เพลงราตรีประดับดาวขึ้นในปีพ.ศ.2472
แต่เนื้อเพลงดังกล่าวยังคงได้รับการฟื้นฟูและสืบทอดระหว่างการนำชมห้องพระราชจริยาวัตรภายในพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า
ถนนหลานหลวงอย่างน่าชื่นชมยินดี
บรรณานุกรม
กรรณิการ์
ตันประเสริฐ,
จดหมายเหตุวังไกลกังวลสมัยรัชกาลที่
7 . กรุงเทพฯ : มติชน ,
2546.
คณะกรรมการจัดพิมพ์หนังสือสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า, พระมหาธีรราชเจ้า. กรุงเทพฯ :สำนักพิมพ์เม็ดทราย,2529.
คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย .ประมวลพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา
ประชาธิปก
พระปกเกล้าเจ้าอยุ่หัว. กรุงเทพ : 2536 .
ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร, ภาพล้อและการ์ตูนการเมืองในสังคมไทย
พ.ศ. 2465-2475, เสนอสถาบันพระปกเกล้า, 2555.
ชาตรี ประกิตนนทการ, การเมืองและสังคมในศิลปสถาปัตยกรรม,
ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ,กรุงเทพฯ :มติชน, 2547 .
โดม สุขวงศ์, พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ กับภาพยนตร์.
กรุงเทพฯ: ต้นอ้อ แกรมมี่,2539.
...................., กำเนิดหนังไทย . กรุงเทพฯ :มติชน , 2539 .
...................., “มรดกภาพยนตร์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ”
วารสารไทย ปีที่13 ฉบับที่ 49
, 2536.
แน่งน้อย
ศักดิ์ศรี, รองศาสตราจารย์. “สถาปัตยกรรมในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว”
เอกสาร ประกอบการประชุมทางวิชาการ
เนื่องในวาระครบ 100 ปี
พระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว , เรื่องสังคมไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
,2537 .
พรทิพย์ ดีสมโชค, แนวความคิดและวิธีการสื่อสารการเมืองในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ระหว่างพ.ศ. 2468- พ.ศ. 2477, ผลงานวิจัยดี ประจำปี 2553 จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2533.
พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จ, ประมวลพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลปัจจุบัน
,2513.
พูนพิศมัย ดิศกุล, ม.จ.
สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น : ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงการปกครอง
2475 . กรุงเทพฯ :มติชน,2546.
ราชบัณฑิตยสถาน,
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525.
มยุรี
นกยูงทอง.
“ปัญหาเศรษฐกิจของไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยุ่หัว” วิทยานิพนธ์ปริญญา มหาบัณฑิตภาควิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
2520 .
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช . เอกสารการสอนชุดวิชา
ไทยศึกษา สาขาวิชาศิลปศาสตร์ หน่วยที่10 เรื่อง ลักษณะ สถาปัตยกรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์
.
วรุณ ตั้งเจริญ, สุนทรียศาสตร์เพื่อชีวิต.
ศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ,กรุงเทพฯ : 2552.
วิไลรัตน์ ยังรอด,
“จิตรกรรมฝาผนังวัดสุวรรณดาราม: พงศาวดารบนโครงภาพพุทธประวัติ”
วารสารเมืองโบราณ ปีที่29 ฉบับที่ 4 ตุลาคม-ธันวาคม 2546.
ศักดา ศิริพันธุ์, กษัตริย์
&กล้อง : วิวัฒนาการการถ่ายภาพในประเทศไทย
พ.ศ. 2388 -2535 . กรุงเทพฯ :ด่านสุทธา
การพิมพ์, 2535.
ศิลปากร,กรม. พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก
พระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว, จัดพิมพ์เป็นที่ระลึกในพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทานใน อภิลักขิตสมัยคล้ายวันพระบรมราชสมภพครบ 100
ปี
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
วันที่ 8 พฤศจิกายน
พุทธศักราช 2536 .
เสถียรโกเศศ. นามแฝง, พระยาอนุมานราชธน. ชีวิตชาวไทยสมัยก่อน.
พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน , 2531.
สถาบันพระปกเกล้า, สมุดภาพรัชกาลที่ 7 .
พิมพ์เป็นที่ระลึกในนิทรรศการอวดภาพและของหายากยุครัชกาลที่ 7,
2544.
The
Columbia Encyclopedia, Daguerre: 1957.
------------------------------------------------------------------------------------------------------
[1] นักวิชาการพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
[2] วรุณ ตั้งเจริญ, สุนทรียศาสตร์เพื่อชีวิต. ศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (พิมพ์ครั้งที่ 3) กรุงเทพฯ :
2552.
[3] พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน, พ.ศ. 2525 : 783.
[4] เรื่องเดียวกัน. เล่มเดียวกัน, พ.ศ. 2525 : 757.
[5] เสฐียรโกเศศ (พระยาอนุมานราชธน). ชีวิตชาวไทยสมัยก่อน.(พิมพ์ครั้งที่
2) กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน ,
2531.
[6] พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
แก่คณะนาฏศิลป์จากกรมศิลปากรซึ่งเดินทางไปเผยแพร่ศิลปะและวัฒนธรรมไทย ณ
ประเทศออสเตรเลีย 27 ก.พ. 2513. ในประมวลพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทฯ
2513 :127.
[7] ประมวลพระราชบรมราโชวาทและพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
เรื่อง “พระราชดำรัสในการเสด็จฯเปิดพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร
และเปิดหอพระสมุดวชิรญาณ” ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2469.
หน้า 43.
[8] ประมวลพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก
พระปกเกล้าเจ้าอยุ่หัวคณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี
, 2536 :
258.
[9] เรื่องเดิม , อ้างมาจากพระนิพนธ์ในพระองค์เจ้าธานีนิวัต
กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร : 5.
[10] แน่งน้อย ศักดิ์ศรี,
รองศาสตราจารย์. “สถาปัตยกรรมในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว”
2537 : 1.
[11] มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช . เอกสารการสอนชุดวิชา
ไทยศึกษา สาขาวิชาศิลปศาสตร์ หน่วยที่10 เรื่อง ลักษณะสถาปัตยกรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์
[12] พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่ระลึกในพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทานในอภิลักขิตสมัยคล้ายวันพระบรมราชสมภพครบ
100 ปี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว วันที่ 8 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2536 : 453.
[13] ชาตรี ประกิตนนทการ, การเมืองและสังคมในศิลปสถาปัตยกรรม,
ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ, 2547 .
[14] ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร, ภาพล้อและการ์ตูนการเมืองในสังคมไทย พ.ศ. 2465-2475 เสนอสถาบันพระปกเกล้า,
2555.
[15] สมุดภาพรัชกาลที่
7 .
สถาบันพระปกเกล้า
พิมพ์เป็นที่ระลึกในนิทรรศการอวดภาพและของหายากยุครัชกาลที่ 7, 2544.
[16] วิไลรัตน์ ยังรอด, “จิตรกรรมฝาผนังวัดสุวรรณดาราม:
พงศาวดารบนโครงภาพพุทธประวัติ” วารสารเมืองโบราณปีที่29 ฉบับที่ 4 ตุลาคม-ธันวาคม 2546, หน้า 56-65. พรรณนาถึงแรงบันดาลใจในการบูรณะและสืบทอดจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่วิหารหลวง
วัดสุวรรณดาราราม ภาพจิตรกรรมดังกล่าวริเริ่มเขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 7
จึงมีการบูรณะจิตรกรรมดังกล่าวเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองพระนครครบ 150 ปี (พ.ศ.2475) จิตรกรผู้เขียนภาพ คือ
พระยาอนุศาสตร์จิตรกร( จันทร์ จิตรกร) ส่วนบุคคลสำคัญที่มีบทบาทในการกำหนดเรื่องราวในภาพจิตกรรมข้างต้น
คือ สมเด็จ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ นายกราชบัณฑิตยสภาพระองค์แรก
[18] ประกาศสร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้า จาก ประชุมกฎหมายประจำศกเล่มที่ 42 พ.ศ. 2472 , 220-224.
[19] ชาตรี ประกิตนนทการ, การเมืองและสังคมในศิลปสถาปัตยกรรม.อ้างแล้ว , 250.
[20] อ้างมาจาก กรรณิการ์ ตันประเสริฐ,
จดหมายเหตุวังไกลกังวลสมัยรัชกาลที่ 7 พิมพ์ครั้งที่ 3 กรุงเทพฯ :
มติชน , 94
[21] ชาตรี ประกิตนนทการ , เรื่องเดิม : 252.
[22] The
Columbia Encyclopedia, Daguerre, p.531
[23] ศักดา ศิริพันธุ์, กษัตริย์ &กล้อง : วิวัฒนาการการถ่ายภาพในประเทศไทย
พ.ศ. 2388 -2535 . กรุงเทพฯ :ด่านสุทธา
การพิมพ์,2535
: 1-6.
[24] โดม สุขวงศ์. กำเนิดหนังไทย . กรุงเทพฯ
:มติชน , 2539 : 2-3.
[25] โดม สุขวงศ์, เรื่องเดิม, 14-15.
[26] โดม สุขวงศ์. “มรดกภาพยนตร์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ”
วารสารไทย ปีที่13 ฉบับที่ 49 ,พ.ศ. 2536.
[27] ชาตรี ประกิตนนทการ , เรื่องเดิม : 263.
[28] หนังสือพิมพ์เปลี่ยนแปลงนิยม ประกอบด้วย หนังสือพิมพ์ สยามรีวิว ปากกาไทย
บางกอกการเมือง ไทยหนุ่ม เกราะเหล็ก
กัมมันโต และศรีกรุง
มีบทบาทเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างโดดเด่นในแนวต่อต้านรัฐบาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
อย่างเปิดเผย
และต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง.
[29] ความหลากหลายของ ศิลปวัฒนธรรมในบทความนี้ ผู้เขียนหมายรวมถึงทั้งทัศนศิลป์
ดนตรี ศิลปะการแสดง
ภาพยนตร์และวรรณกรรม
โดยมิใช่มองเพียงแยกส่วนเพียงด้านใดด้านหนึ่ง
[30] คณะกรรมการจัดพิมพ์หนังสือสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า. พระมหาธีรราชเจ้า.
กรุงเทพฯ :สำนักพิมพ์เม็ดทราย.2529 :173.
[31] มยุรี นกยูงทอง.
“ปัญหาเศรษฐกิจของไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยุ่หัว”
วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิตภาควิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2520 : 51-52.
[32] คำบรรยายของศาสตราจารย์นายแพทย์พูนพิศ
อมาตยกุล ในงาน ดนตรี-นาฏศิลป์แผ่นดินพระปกเกล้า
เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสครบ 119
ปี แห่งวันพระบรมราชสมภพ และครบรอบ 34 ปี
แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช วันพุธที่ 27 มิถุนายน
พ.ศ. 2555 ณ
ห้องพระปกเกล้า มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น