ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

พระปกเกล้าศึกษา






สรุปความรู้เกี่ยวกับการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

                                                                                   ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร เรียบเรียง

 

พระราชพิธีบรมราชาภิเษก หมายถึงการเฉลิมพระเกียรติยศพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ด้วยการรดน้ำ โดยจะสังเกตเห็นได้จากคำว่าอภิเษกที่แปลว่าการรดน้ำ นับเป็นขั้นตอนสำคัญยิ่งในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

แบบแผนของการจัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกมีมาแต่โบราณเพราะประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขมาช้านานแล้ว ดังปรากฏหลักฐานในสมัยสุโขทัยอยู่บ้าง และมีรายละเอียดเพิ่มเติมขึ้นในสมัยอยุธยาบ้าง ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่มีขึ้นคราวแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ ครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ใช้แบบอย่างของการพระราชพิธีสมัยอยุธยาเป็นตำราสำคัญ

การพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในสมัยรัตนโกสินทร์มีหลักสำคัญที่สืบเนื่องกันมาโดยไม่เปลี่ยนแปลง หากแต่มีรายละเอียดบางประการที่อาจเพิ่มเติมหรือลดทอนไปบ้างตามความเหมาะสม ด้วยพระราชดำริและพระราชวินิจฉัยในแต่ละรัชกาล เช่น

พิธีสรงมุรธาภิเษก คือ การรดน้ำที่พระเศียร ถือเป็นการเปลี่ยนพระราชสถานะสู่ความเป็นพระมหากษัตริย์ และพิธีรับน้ำอภิเษก คือการรดน้ำที่พระหัตถ์ แต่เดิมราชบัณฑิตและพราหมณ์เป็นผู้ถวายน้ำอภิเษก  ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่ทรงรับน้ำอภิเษกจากผู้แทนสมาชิกรัฐสภาประจำทิศทั้งแปด เป็นนัยแสดงถึงความเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย

นับตั้งแต่สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีจนถึงปัจจุบัน คือ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ประเทศไทยมีการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกมาแล้ว จำนวน 12 ครั้ง  เพราะมีการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกจำนวน 2 ครั้ง ใน 3 รัชกาล คือ รัชกาลที่ 1 ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ครั้งที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2326 แต่เพียงสังเขป อาจเนื่องจากติดขัดเรื่องการสงครามในขณะนั้น และเมื่อ พ.ศ. 2328 จึงโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอย่างเต็มตามแบบแผนโบราณราชประเพณีอีกครั้งหนึ่ง  รัชกาลที่ 5 ทรงประกอบพระราชพิธีจำนวน 2 ครั้ง เพราะ ทรงประกอบพิธีบรมราชาภิเษก ครั้งที่ 1 เมื่อ 11 พฤศจิกายน 2411 โดยในขณะนั้นทรงมีพระชนมพรรษาเพียง 15 พรรษา และยังไม่ได้ทรงบริหารพระราชภาระของแผ่นดินด้วยพระองค์เอง ต่อเมื่อมีพระชนมพรรษาครบ 20 พรรษา จึงทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2416

และรัชกาลที่ 6 ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกจำนวน 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2453 ซึ่งเป็นการพระราชพิธีตามโบราณราชประเพณี แต่งดเว้นการแห่เสด็จเลียบพระนครและการรื่นเริง เพราะอยู่ในช่วงการไว้ทุกข์ เมื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว จึงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภชอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2454 และทรงเชิญพระราชอาคันตุกะจากนานาประเทศร่วมพิธีด้วย

 ขั้นตอนการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ นั้นประกอบด้วยขั้นตอนหลักสำคัญ 4 ขั้นตอน ดังนี้

1)       ขั้นเตรียมพิธี ประกอบด้วย

-          การเตรียมน้ำอภิเษก และสรงน้ำพระมุรธาภิเษก อันประกอบด้วย น้ำจากปัญจมหานที น้ำเบญจสุทธคงคา และน้ำจากสระทั้ง 4 สระ

-          การจารึกพระสุพรรณบัฏ ดวงพระราชสมภพ และแกะพระราชลัญจกรประจำรัชกาล

-          การตั้งแต่งเครื่องบรมราชาภิเษกบนพระแท่นมณฑล

-          การจัดเตรียมสถานที่สำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งประกอบด้วย พระมณฑปพระกระยาสนาน พระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ พระที่นั่งภัทรบิฐ และโรงพระราชพิธีพราหมณ์

 

2)      พิธีเบื้องต้น เป็นพิธีที่ประกอบด้วยการเจริญพระพุทธมนต์ตั้งน้ำวงด้าย จุดเทียนชัย และเจริญพระพุทธมนต์ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในระหว่างการเจริญพระพุทธมนต์ ฝ่ายพราหมณ์ก็ทำพิธีถวายน้ำพระมหาสังข์ แล้วถวายใบสมิทธิ คือ ใบมะม่วง ใบทอง และใบตะขบ ให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปัดพระองค์ ซึ่งถือเป็นการปัดป้องภยันตราย แล้วพราหมณ์จึงนำใบไม้เหล่านี้ประกอบพิธีตามไสยวิธี จากนั้นเป็นพิธีประกาศพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยพระราชาคณะ

3)      พิธีบรมราชาภิเษก เมื่อพิธีเบื้องต้นเสร็จสิ้นในวันรุ่งขึ้นจะเป็นพิธีบรมราชาภิเษก ประกอบด้วยพิธีสรงพระมุรธาภิเษก พิธีถวายน้ำอภิเษก และพิธีถวายสิริราชสมบัติและเครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ที่พระที่นั่งภัทรบิฐ

พิธีสรงพระมุรธาภิเษก เป็นขั้นตอนที่สำคัญเพื่อทรงประกาศพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์ คำว่า “มุรธาภิเษก” คือการรดน้ำเหนือศีรษะ โดยเสด็จฯประทับบนตั่งไม้อุทุมพรภายในพระมณฑปพระกระยาสนาน ผันพระพักตร์สู่ทิศมงคล

พิธีถวายน้ำอภิเษกจากผู้แทนทิศทั้งแปดที่พระแท่นอัฐทิศอุทุทพรราชอาสน์ ภายใต้พระบรมเศวตฉัตร ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ราชบัณฑิตประจำทิศคุกเข่าถวายบังคมกล่าวคำถวายพระพรชัยมงคล

การสถาปนาสมเด็จพระบรมราชินี เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสืบเนื่องมาจนถึงสมัยปัจจุบัน

การเฉลิมพระราชมณเฑียร หมายถึงการขึ้นบ้านใหม่ของพระเจ้าแผ่นดิน คือจะเสด็จไปบรรทมที่พระที่นั่งจักรพรรดิพิมานเป็นเวลา 1 คืน เรียกว่า การเสด็จเถลิงพระแท่นราชบัญจถรณ์

4)      พิธีเบื้องปลาย มีการเสด็จออกมหาสมาคม ให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือนเข้าเฝ้า และประชาชนเข้าเฝ้าในการเสด็จเลียบพระนครทางสถลมารค และทางชลมารค ตามลำดับ

 

 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัย : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว - 26 พฤศจิกายน 2468   : สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนศุโขทัยธรรมราชาเสด็จขึ้นครองราชย์ - 25 กุมภาพันธ์ 2468 :  พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาพระวรชายาเป็นสมเด็จพระบรมราชินี และเสด็จไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถาน (ร.7 พระชนม์ 32 พรรษา,สมเด็จฯ 21 พรรษา) -6 มกราคม -5 กุมภาพันธ์ 2469 : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า รำไพ พรรณีฯ เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพเพื่อเยี่ยมราษฎร -16 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2470 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก -24 มกราคม - 11 กุมภาพันธ์ 2471: เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลภูเก็ต -10 เมษายน-12 เมษายน 2472 : พระราชพิธีราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุข สวนไกลกังวล -พฤษภาคม 2472  : เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลปัตตานี (ทอดพระเนตรสุริยุปราคา) -31 กรกฎาคม -11 ตุลาคม 2472 : เสด็จพระราชดำเนินเยือน สิงคโปร์ ชวา บาหลี -6 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2473 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนอินโดจีน -6 เมษายน - 9 เมษายน 2474 : เสด็จฯเยือนสหรัฐอเมริกาและญี่

ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมสมัยรัชกาลที่ 7

                                                                                                                                   ฉัตรบงกช   ศรีวัฒนสาร [1]                 องค์ประกอบสำคัญในการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของสังคมมนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยสภาวะความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงเป็นพลังสำคัญ ในทัศนะของ อริสโตเติล ( Aristotle) นักปรัชญากรีกโบราณ   ระบุว่า   ศิลปะทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นดนตรี   การแสดง   หรือ ทัศนศิลป์   ล้วนสามารถช่วยซักฟอกจิตใจให้ดีงามได้   นอกจากนี้ในทางศาสนาชาวคริสต์เชื่อว่า   ดนตรีจะช่วยโน้มน้าวจิตใจให้เกิดศรัทธาต่อศาสนาและพระเจ้าได้     การศรัทธาเชื่อมั่นต่อศาสนาและพระเจ้า คือ ความพร้อมที่จะพัฒนาการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ [2]                 ราชบัณฑิตยสถานอธิบายความหมายของศิลปะให้สามารถเข้าใจได้เป็นสังเขปว่า “ศิลปะ(น.)ฝีมือ,   ฝีมือทางการช่าง,   การแสดงออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์เห็น โดยเฉพาะหมายถึง วิจิตรศิลป์ ” [3] ในที่นี้วิจิตรศิลป์ คือ ความงามแบบหยดย้อย   ดังนั้น คำว่า “ศิลปะ” ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถานจึงหมายถึงฝีมือทางการช่างซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา

ห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพ

  ขอบคุณภาพจากพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และขอบคุณเนื้อหาจาก รศ.วุฒิชัย  มูลศิลป์ ภาคีสมาชิกสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง  ราชบัณฑิตยสถาน        พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน รศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี  พระอรรคราชเทวี (ต่อมาคือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ  และสมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ  พระบรมราชชนนี ตามลำดับ)  โดยทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ของสมเด็จพระนางเจ้าฯและองค์ที่ 76 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว     ในห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพนี้  ประเทศไทยหรือในเวลานั้นเรียกว่าประเทศสยาม หรือสยามเพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่มาได้เพียง 1 เดือน 5 วัน  คือ วิกฤตการณ์สยาม ร. ศ. 112 ที่ฝรั่งเศสใช้กำลังเรือรบตีฝ่าป้อมและเรือรบของไทยที่ปากน้ำเข้ามาที่กรุงเทพฯได้  และบีบบังคั