ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

กฎหมายลักษณะผัวเมีย พ.ศ.2473 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมในสมัยรัชกาลที่ 7 :จุดเริ่มต้นของสถานะภรรยาสมัยปัจจุบัน

<
ภาพเขียนจากหนังสือพิมพ์ภาษาอิตาเลียน พระบรมสาทิศลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง
สถาปนาพระบรมราชินี
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ
เมื่อวันที่ 25กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2468



สบช่องปลายเดือนกันยายนนี้มีสาระน่าสนใจเกี่ยวกับกฎหมายลักษณะผัวเมีย และความรู้เกี่ยวกับสถานภาพของ 'เมีย' สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จนคลี่คลายสู่ปัจจุบัน พีพิมพ์ในนสพ.กรุงเทพธุรกิจเมื่อ 27 กันยายน พ.ศ. 2550กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : จากนักวิชาการประจำพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว นาม ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร จากบทความชื่อเต็ม 'กฎหมายลักษณะผัวเมีย พ.ศ.2473 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมในสมัยรัชกาลที่ 7 : จุดเริ่มต้นของสถานะภรรยาสมัยปัจจุบัน'


           สตรีมีฐานะเป็นภรรยาภายหลังจากการแต่งงานแล้ว การมีคู่ครองหรือมีสามีน่าจะมีความหมายและความสำคัญอย่างมากต่อชีวิตของสตรีสมัยต้นรัตนโกสินทร์
แม้ว่าชายหนุ่มและหญิงสาวจะผูกสมัครรักใคร่กันเอง แล้วแอบหนีไปอยู่กินกันฉันสามีภรรยา แต่สังคมสมัยก่อนยังคงไม่ยอมรับ เมื่อถูกจับได้ก็ต้องโทษตาม 'พระไอยการลักษณะผัวเมีย' เพราะสมัยก่อนพ่อแม่มีอิทธิพลหรือมีบทบาทสำคัญในการเลือกคู่ครองให้กับบุตรชายหญิง
        สถานภาพของภรรยาสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้นแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
        'เมียกลางเมือง' หมายถึง ภรรยาที่พ่อแม่จัดการให้แต่งงานกับลูกชายของตน มีการสู่ขอ เรียกสินสอดและขันหมากตามประเพณี ถือว่าเป็นภรรยาหลวง เมียกลางเมืองจะถือศักดินาครึ่งหนึ่งของสามี
       'ภรรยาพระราชทาน' หมายถึง ภรรยาที่พระมหากษัตริย์พระราชทานมาเพื่อตอบแทนความดีความชอบ ภรรยาพระราชทานจะถือศักดินาเท่ากับเมียกลางเมือง
       'เมียกลางนอก' หมายถึง อนุภรรยาที่ชายขอมาเลี้ยง จะถือศักดินาครึ่งหนึ่งของเมียกลางเมือง
       'เมียกลางทาสี' หมายถึง ทาสที่ผู้ชายไถ่ตัวมาเป็นภรรยา หากมีลูกด้วยกัน ศักดินาจะเท่ากับเมียกลางนอก
       ภรรยาทั้งสี่ประเภทมีสถานภาพเสมือนทรัพย์สินของสามี สามีมีสิทธิยกภรรยาให้ใครก็ได้ และยังมีสิทธิจะขายภรรยาของตนโดยไม่จำเป็นต้องบอกให้เจ้าตัวรับรู้หรือยินยอมก็ได้
      สาเหตุที่กฎหมายให้สิทธิสามีเหนือภรรยาเช่นนี้ ทำให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงมีพระราชปรารภว่า เมืองไทยในสมัยของพระองค์นั้น "ภรรยาเป็นดังสัตว์เดรัจฉาน” หรือเห็นว่า “ผู้หญิงเป็นควาย ผู้ชายเป็นคน” จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้เจ้าจอมและพนักงานฝ่ายในกราบถวายบังคมลาออกจากราชการกลับมาอยู่บ้านหรือมีสามีใหม่ได้ นอกจากเจ้าจอมมารดาเท่านั้นที่มิได้พระราชทานพระบรมราชานุญาต เพราะได้มีพระโอรสหรือพระธิดากับพระองค์แล้ว
       พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงเป็นแบบอย่างของการมีพระมเหสีเพียงพระองค์เดียว ไม่ทรงมีพระสนมหรือเจ้าจอมเลย นอกจากนี้ในรัชสมัยของพระองค์ยังมีการตรากฎหมายสำคัญฉบับหนึ่งเรียกว่า 'พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะผัวเมีย พ.ศ.2473'
       พระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นจุดพลิกผันโครงสร้างของครอบครัวไทยสมัยโบราณที่ผู้ชายนิยมมีภรรยาหลายคน อันเป็นวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกมานาน การจะเปลี่ยนค่านิยมในสังคมแบบดั้งเดิมมาเป็นสังคมผัวเดียวเมียเดียวจึงมิใช่เรื่องง่าย พระองค์ทรงใช้วิธีการละมุนละม่อม ด้วยการตราพระราชบัญญัติในปี พ.ศ.2473 และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2475
       พระราชบัญญัติฉบับนี้ระบุให้มีการจดทะเบียนสมรส จดทะเบียนหย่า และจดทะเบียนรับรองบุตร เพื่อทดแทนธรรมเนียมดั้งเดิมเป็นครั้งแรกในสังคมไทย
       ต่อมามีการนำเอาสาระสำคัญของพระราชบัญญัติฉบับนี้ มารวมไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพที่ 5 ว่าด้วยเรื่องครอบครัว ประกาศเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2478 ยังผลให้มีการยอมรับหลักการมีภรรยาชอบด้วยกฎหมายเพียงคนเดียวในปัจจุบัน
      เก้าทศวรรษแห่งการจดทะเบียนแต่งงานระยะแรกในสยาม พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงใคร่ขอเชิญชวนท่านผู้อ่านมาเยี่ยมชมนิทรรศการถาวรชั้นที่ 2 จัดแสดงเกี่ยวกับเหตุการณ์วันอภิเษกสมรสระหว่างพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ (ต่อมาคือรัชกาลที่ 7) กับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัตน์ (ต่อมาคือสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ) เมื่อวันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พุทธศักราช 2461
      เป็นการอภิเษกสมรสตามกฎมนเทียรบาลคู่แรก เนื่องด้วยมีการกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตทำการสมรสจากรัชกาลที่ 6 อีกทั้งยังมีการจดทะเบียนแต่งงาน และมีการตั้งกระทู้ถามตอบระหว่างคู่สมรสตามแบบตะวันตก
      แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะผ่านมากว่า 90 ปีแล้วก็ตาม แต่ยังเป็นตัวอย่างสอนใจที่คู่สามีภรรยาสมัยปัจจุบันพึงเรียนรู้

ความคิดเห็น

  1. ขอบคุณคุณยุวดี (มณีกุล) วัชรางกูร ที่กรุณาตีพิมพ์เผยแพร่ค่ะ

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัย : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว - 26 พฤศจิกายน 2468   : สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนศุโขทัยธรรมราชาเสด็จขึ้นครองราชย์ - 25 กุมภาพันธ์ 2468 :  พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาพระวรชายาเป็นสมเด็จพระบรมราชินี และเสด็จไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถาน (ร.7 พระชนม์ 32 พรรษา,สมเด็จฯ 21 พรรษา) -6 มกราคม -5 กุมภาพันธ์ 2469 : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า รำไพ พรรณีฯ เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพเพื่อเยี่ยมราษฎร -16 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2470 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก -24 มกราคม - 11 กุมภาพันธ์ 2471: เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลภูเก็ต -10 เมษายน-12 เมษายน 2472 : พระราชพิธีราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุข สวนไกลกังวล -พฤษภาคม 2472  : เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลปัตตานี (ทอดพระเนตรสุริยุปราคา) -31 กรกฎาคม -11 ตุลาคม 2472 : เสด็จพระราชดำเนินเยือน สิงคโปร์ ชวา บาหลี -6 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2473 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนอินโดจีน -6 เมษายน - 9 เมษายน 2474 : เสด็จฯเยือนสหรัฐอเมริกาและญี่

ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมสมัยรัชกาลที่ 7

                                                                                                                                   ฉัตรบงกช   ศรีวัฒนสาร [1]                 องค์ประกอบสำคัญในการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของสังคมมนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยสภาวะความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงเป็นพลังสำคัญ ในทัศนะของ อริสโตเติล ( Aristotle) นักปรัชญากรีกโบราณ   ระบุว่า   ศิลปะทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นดนตรี   การแสดง   หรือ ทัศนศิลป์   ล้วนสามารถช่วยซักฟอกจิตใจให้ดีงามได้   นอกจากนี้ในทางศาสนาชาวคริสต์เชื่อว่า   ดนตรีจะช่วยโน้มน้าวจิตใจให้เกิดศรัทธาต่อศาสนาและพระเจ้าได้     การศรัทธาเชื่อมั่นต่อศาสนาและพระเจ้า คือ ความพร้อมที่จะพัฒนาการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ [2]                 ราชบัณฑิตยสถานอธิบายความหมายของศิลปะให้สามารถเข้าใจได้เป็นสังเขปว่า “ศิลปะ(น.)ฝีมือ,   ฝีมือทางการช่าง,   การแสดงออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์เห็น โดยเฉพาะหมายถึง วิจิตรศิลป์ ” [3] ในที่นี้วิจิตรศิลป์ คือ ความงามแบบหยดย้อย   ดังนั้น คำว่า “ศิลปะ” ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถานจึงหมายถึงฝีมือทางการช่างซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา

ห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพ

  ขอบคุณภาพจากพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และขอบคุณเนื้อหาจาก รศ.วุฒิชัย  มูลศิลป์ ภาคีสมาชิกสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง  ราชบัณฑิตยสถาน        พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน รศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี  พระอรรคราชเทวี (ต่อมาคือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ  และสมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ  พระบรมราชชนนี ตามลำดับ)  โดยทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ของสมเด็จพระนางเจ้าฯและองค์ที่ 76 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว     ในห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพนี้  ประเทศไทยหรือในเวลานั้นเรียกว่าประเทศสยาม หรือสยามเพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่มาได้เพียง 1 เดือน 5 วัน  คือ วิกฤตการณ์สยาม ร. ศ. 112 ที่ฝรั่งเศสใช้กำลังเรือรบตีฝ่าป้อมและเรือรบของไทยที่ปากน้ำเข้ามาที่กรุงเทพฯได้  และบีบบังคั