โดย ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร*
เหมืองลิกไนต์ แม่เมาะ แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ใครที่เคยเดินทางไปอำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง มักได้ยินชื่อเสียงของเหมืองลิกไนต์แม่เมาะมานาน แต่น้อยคนนักจะเคยมีโอกาสเข้าไปสัมผัสวิถีชีวิตของคนในเหมืองแห่งนี้ ปัจจุบันเหมืองลิกไนต์และโรงไฟฟ้าแม่เมาะได้เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้ประชาชนที่สนใจเข้าเยี่ยมชมกิจการการทำเหมืองและการผลิตไฟฟ้า แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม รวมถึง“พิพิธภัณฑ์ศูนย์ลิกไนต์ศึกษาเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว”
กิจการเหมืองลิกไนต์ในประเทศไทยเริ่มต้นมีมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2460 ในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อพลเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน อธิบดีกรมรถไฟหลวง ทรงมีพระราชประสงค์จะสงวนป่าไม้เอาไว้ จึงโปรดให้ว่าจ้างนายบัวเยร์ (M. G. Boyer)ผู้เชี่ยวชาญชาวฝรั่งเศสเป็นช่างสำรวจหาเชื้อเพลิงทดแทนฟืนสำหรับหัวรถจักรไอน้ำ และระหว่างพ.ศ.2464 - 2466 ก็ได้ว่าจ้างนายวอลเลซ ลี (Wallace Lee)ชาวอเมริกันเป็นช่างสำรวจรายต่อมา
การปฏิบัติงานสำรวจเชื้อเพลิงทดแทนฟืนในสมัยนั้นมีความยากลำบากมาก เนื่องจากการคมนาคมไม่สะดวกและมีเครื่องมือเครื่องใช้ไม่เพียงพอ ทั้งยังขาดแคลนเงินทุนอีกด้วย อย่างไรก็ตาม นักสำรวจได้พบว่ามีถ่านหินลิกไนต์ในพื้นที่อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปางและคลองขนาน จังหวัดกระบี่ ซึ่งก่อนหน้านี้ บริษัทถ่านหินศิลากระบี่ ซึ่งดำเนินการโดยชาวอังกฤษได้รับพระราชทานให้ทำเหมืองที่บริเวณบ้านปูดำ จังหวัดกระบี่ ต่อมาบริษัทบ่อถ่านหินศิลาสยาม จำกัด ได้เปิดกิจการเหมืองลิกไนต์ที่บ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อปีพ.ศ.2465 สามารถขุดถ่านลิกไนต์ได้หลายพันตัน แต่กิจการถ่านหินลิกไนต์ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากขาดเครื่องมือและอุปกรณ์เหมือง เมื่อสัมปทานของบริษัทบ่อถ่านศิลาสยามหมดอายุลงในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2470 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 มีพระบรมราชโองการให้สงวนแหล่งถ่านหินที่มีอยู่ในประเทศไว้เพื่อกิจการของทางราชการและห้ามมิให้มีการสัมปทานทำเหมืองแก่เอกชนอีกต่อไป
ทุกวันที่ 16 กุมภาพันธ์ของทุกปี พิพิธภัณฑ์ศูนย์ลิกไนต์ศึกษาจึงมีการจัดงานน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ในการสงวนรักษาแหล่งแร่ลิกไนต์เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ ในปีนี้พิพิธภัณฑ์ศูนย์ลิกไนต์ศึกษาได้จัดกิจกรรมให้กลุ่มเยาวชนซาบซึ้งถึงพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจ จึงร่วมมือกับพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในการนำภาพจิตรกรรมเล่าเรื่องพระราชประวัติจำนวน 5 ภาพ ไปจัดแสดงและจัดกิจกรรมจากแบบทดสอบความรู้ ( Work sheet ) ดังนี้

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดการถ่ายภาพมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ เมื่อ12 พรรษาเคยส่งภาพเข้าประกวดในงานอวดภาพครั้งแรก ณ วัดเบญจมบพิตรพ.ศ. 2448 ชื่อว่า "ภาพตื่น"ได้รับรางวัลเหรียญทองแดงในสมัยรัชกาลที่ 5และต่อมาเมื่อเป็นพระมหากษัตริย์ยังโปรดถ่ายภาพยนตร์ยังโปรดการถ่ายภาพยนตร์ส่วนพระองค์ (เรื่องแหวนวิเศษ) ถ่ายภาพยนตร์ในการเสด็จเยี่ยมราษฎรทั้งภาคเหนือและภาคใต้อีกด้วย

ภาพ ข. การแต่งกายในสมัยรัชกาลที่ 7
พัฒนาการมาจากสมัยรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ข้าราชการชายนิยมสวมเสื้อราชปะแตนท์ กระดุม 5 เม็ด แล้วนุ่งผ้าม่วงสีนำเงินแก่ต่อมาหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองรัฐบาลประกาศเลิกนุ่งผ้าม่วงและให้นุ่งกางเกงขายาวแบบสากลแทนส่วนสุภาพสตรีได้พัฒนาจากการนุ่งผ้าซิ่นเป็นผ้าถุงสำเร็จ สวมเสื้อไม่มีแขน ประดับสร้อยมุกและต่างหูยาวแบบต่างๆสวมกำไล ทรงผมนิยมปล่อยผมยาวคาดผม ผมบ๊อบหรือผมดัดเป็นลอนก็มี

ภาพ ค.พระราชพิธีฉลองพระนคร ครบ 150 ปี(6 เมษายน 2475) ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองประมาณเกือบ 3 เดือน มีพระราชพิธีเปิดปฐมบรมราชานุสรณ์รัชกาลที่ 1 เปิดสะพานพุทธเพื่อแสดงให้เห็นถึงพระมหากรุณาธิคุณขององค์พระปฐมบรมวงศ์จักรี รวมทั้งเป็นการเชื่อมความเจริญจากฝั่งพระนครสู่ฝั่งธนบุรี และการสร้างโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุงเป็นโรงภาพยนตร์ที่ทันสมัยมีการติดเครื่องปรับอากาศแห่งแรกในสยาม

ภาพ ง พระราชนิยมด้านดนตรีและกีฬา
รัชกาลที่ 7 โปรดทั้งดนตรีไทยและสากล ด้านดนตรีไทยทรงศึกษากับหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ทรงโปรดซออู้ พระราชนิพนธ์เพลงไทย 3 เพลง คือ เพลงราตรีประดับดาวเขมรละออองค์ และคลื่นกระทบฝั่งด้านกีฬา ทรงโปรดกีฬากอล์ฟและเทนนิส

ภาพ จ พระตำหนักในประเทศและต่างประเทศ
ประกอบไปด้วยภาพพระตำหนักที่วังศุโขทัย ถือเป็นพระตำหนักแรกของพระปกเกล้าฯ ถัดมาคือภาพพระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ใช้เป็นที่ประทับพักผ่อนพระอิริยาบถในช่วงฤดูร้อน และยังเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์สำคัญยิ่ง คือ ทรงตัดสินพระทัยรับเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญพระตำหนักในต่างประเทศ ได้แก่ ตำหนักเวนคอร์ด และตำหนักโนล (เวนคอร์ดคือภาพที่ประทับนังกัน 2 พระองค์ กับภาพด้านล่างที่อยู่ตรงกัน) ส่วนตำหนักโนลเป็นสถานที่ทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2477 ยังมีอีก 2 ตำหนักที่ศิลปินไม่ได้วาดคือ แกลนแพลมแมนท์ และคอมพ์ตันเฮาส์ (สถานที่สวรรคต)
นอกจากจิตรกรรมทั้ง 5 ภาพ จะเล่าเรื่องพระราชประวัติแล้ว ยังจัดเป็นสื่อการเรียนรู้เพื่อเชื่อมโยงเนื้อหากับการสร้างกิจกรรมให้กับเด็กและเยาวชน(Museum kit) ที่สนใจในงานศิลปะให้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้อีกด้วย กำหนดจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์เหมืองลิกไนต์ศึกษา เหมืองแม่เมาะ เป็นเวลา 3 เดือน ระหว่างวันที่ 16 กุมภาพันธ์ถึง 16 พฤษภาคม 2553
*อาจารย์ประจำพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สถาบันพระปกเกล้า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น