
โดย รศ. ม.ร.ว.พฤทธิสาณ ชุมพล*
หลายท่านคงจะทราบดีว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จฯ ไปทรงศึกษาต่อที่วิทยาลัย อีตัน (Eton College) โรงเรียนมัธยมประเภทประจำของอังกฤษ ‘เมืองผู้ดี’ แต่พระอุปนิสัยในช่วงนั้นเป็นเช่นใดนั้น คงมีน้อยคนที่ทราบ
บังเอิญ ที่พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีหนังสือออกใหม่ ชื่อว่า The King and His Garden ซึ่งวิทยาลัยอีตัน เป็นผู้จัดพิมพ์เนื่องในโอกาสที่ได้ปรับโฉม ‘สวน พระมหากษัตริย์สยาม’ (The King of Siam’s Garden) ของโรงเรียนและทำพิธีเปิดใหม่เมื่อเดือนมิถุนายน 2552 สวนนี้เดิมเมื่อ พ.ศ. 2472 พระองค์พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 2,000 ปอนด์ เพื่อจัดขึ้น และต่อมาใน พ.ศ. 2477 ได้เสด็จฯทอดพระเนตร
หนังสือเล่มเล็ก ๆ แต่พิมพ์สวยงามโดยอมรินทร์พริ้นติ้งฯ นี้ นอกจากบทความที่เคยตีพิมพ์แล้วในเมืองไทย กับเรื่องราวและรูปภาพอธิบายถึงสวนดังกล่าว มีบทความใหม่ซึ่งน่าชื่นชมและชวนคิดตีพิมพ์อยู่ด้วย ชื่อว่า ‘A Thai Prince at Eton’ เขียนโดย Dr.Andrew Gailey ผู้เป็น Vice-Provost (รองอาจารย์ใหญ่ กระมัง ?) ของอีตันในปัจจุบัน
ดร.เกลี่ อาศัยข้อมูลไม่มากชิ้นที่อีตันมีอยู่ ‘อ่าน’ ว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงมีพระอุปนิสัยเช่นใดเมื่อทรงเป็นนักเรียน อายุ 14-16 ปี อยู่ที่อีตัน และวิเคราะห์เชิงจินตนาการต่อไปว่า โรงเรียนนั้นมีส่วนอย่างไรในการบ่มเพาะพระอุปนิสัยนั้นให้เจริญงอกงาม จึงปรากฏเป็นพระวิสัยทัศน์เมื่อในภายหลังต้องทรงมีพระราชภารกิจโน้มนำสังคมและประเทศสยาม ท่ามกลางขวากหนามจากทั้งภายนอกและภายในประเทศ อย่างไร
ดร.เกลี่ เกริ่นนำว่า เขาคิดว่า สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกฯ พระชนม์เพียง 14 พรรษา ผู้มาจากสยามอันไกลโพ้น ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง น่าจะรู้สึกว่าอีตันและอังกฤษเป็นโลกที่แปลกประหลาดไม่น้อยทีเดียว ไม่ใช่เพียงเพราะสถาปัตยกรรมของหอประชุมหลังใหม่ของโรงเรียนซึ่งออกจะมีลักษณะสามานย์ สำแดงอำนาจ จักรวรรดินิยมของอังกฤษ แต่เพราะในปีถัดมา อังกฤษได้ยึดรัฐมลายู 3 รัฐ ไปจากการปกครองของสยาม
ในฐานะนักเรียนสมัยนั้น เจ้าชายพระวรกายย่อมต้องทรงกีฬาชื่อว่า Field Game ของอีตันโดยเฉพาะ ซึ่งท้าทายความมีใจสู้และความอดทนเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังต้องทรงวางพระองค์ให้เป็นที่ยอมรับของผู้คน ในสภาพซึ่งเรียกร้องความจงรักภักดีต่อ ‘บ้าน’ (house) หรือคณะที่นักเรียนสังกัดอย่างจริงจังบิดพลิ้วมิได้อีกด้วย เหล่านี้ย่อมเป็นการเตรียมพระองค์สู่การที่จะต้องทรงเป็นทหารหาญที่มีวินัยในภายหน้า แต่เขารู้สึกว่า “ทรงชนะศึกอุปสรรคต่าง ๆ ได้ก็โดยการชนะใจคนด้วยพระเสน่ห์ และการดำรงพระองค์อยู่ในทำนองคลองธรรมโดยแท้ (charm and sheer decency) มากกว่าอย่างอื่น” ในด้านการเรียนนั้น ปรากฏว่าไม่นานครูได้บันทึกไว้ว่า ทรง ‘ผลิตผลงานได้ดีเยี่ยม’ ซึ่ง ดร.เกลี่ เห็นว่าเป็นคำชมที่สูงส่งทีเดียว เพราะในสมัยนั้น ครูมักจะมีท่าทีตำหนิเป็นพื้น แต่ในกรณีของพระองค์กลับชมด้วยว่าทรงเป็น ‘ผู้ที่ฉลาดที่สุดในกลุ่มนี้’ และ ‘ขยันยิ่ง มีระบบระเบียบ ตรงต่อเวลา ละเอียดถี่ถ้วน และพยายามทำสุดความสามารถเสมอ’ พระอุปนิสัยเหล่านี้ ดร.เกลี่ เห็นว่าไม่ได้เลือนหายไปเลยในภายหลัง
แม้รายงานของครูจะบอกว่าทรงปรับพระองค์ได้ดี แต่ ดร.เกลี่ เชื่อว่า น่าจะทรงรู้สึกว้าเหว่ในช่วงแรก และจินตนาการว่าที่ทรงพระเกษมสำราญได้เร็ว ก็เพราะที่อีตันทรงปลอดจากการมีคนติดตามดูแลทุกฝีก้าวเช่นที่ในวังในเมืองไทย จึงทรงมีเสรีภาพพอควรที่จะทรงแสวงหาความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่พระองค์สนพระทัยเป็นการส่วนพระองค์ ทั้งนี้เพราะ แม้อีตันจะเข้มงวดในวินัย แต่ก็เปิดช่องให้เด็กได้พัฒนาความเป็นตัวของตัวเอง ในกรณีของพระองค์ ครูที่ปรึกษาหนุ่มน่าจะมีบทบาทสำคัญในการหนุนเนื่องความสนพระทัยในศิลปะ และความเห็นแก่เพื่อนมนุษย์ให้งอกงามในพระองค์ จนเป็นพระจริยวัตรสืบมา ในขณะเดียวกันการที่ได้ประทับในอังกฤษเอื้อให้พระองค์ได้ทรงตระหนักถึงข้อดีและข้อเสียของสังคมอุตสาหกรรม จึงปรากฏเป็นพระวิสัยทัศน์ที่ว่า การเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นสมัยใหม่แม้จะจำเป็นแต่หากรวดเร็วเกินไปจะเสี่ยงต่อการทำลายเยื่อใยที่ถักทอสังคมไว้ จนอาจนำไปสู่การปฏิวัติประชานิยม (populist revolution) ซึ่งหลังจากนั้นอีกไม่กี่ปี กระแสดังกล่าว ได้ท้าทายระบอบอัตตาธิปไตย (autocracies) ในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัสเซีย เมื่อ ค.ศ. 1917 (พ.ศ. 2460) จะมีก็แต่อังกฤษเพียงประเทศเดียวที่รอดพ้นมาได้ ซึ่งก็ด้วยเสถียรภาพอันเนื่องมาจากประวัติศาสตร์ของวิวัฒนาการยาวนาน สู่ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญและการปกครองแบบมีตัวแทนในรัฐสภา ซึ่งเป็นคำอธิบายที่ครูที่อีตันในสมัยของพระองค์พร่ำสอนนักเรียนอยู่ทุกเมื่อ
ประชาธิปกเยาวราชกุมาร จะทรงเข้าพระทัยในบทเรียนดังกล่าวเพียงใด ดร.เกลี่ ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ต้องคาดเดากันไป แต่เขามั่นใจว่า ย่อมจะทรงชื่นชมความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ในอังกฤษ และแล้วเมื่อต้องทรงครองราชย์สมบัติ ก็ได้ทรงพยายามใช้แนวทางแบบค่อยเป็นค่อยไปของอังกฤษนั้น เพื่อเปลี่ยนแปลงสยามสู่ประชาธิปไตย หากแต่ว่า หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่มีวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำระดับโลกโถมเข้าซ้ำเติมในช่วงคริสตทศวรรษ 1930 ดังนั้น การที่สยามได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งรีบเป็นระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (เมื่อ พ.ศ. 2475) จึงไม่เอื้อต่อความมีเสถียรภาพของระบอบนั้นเท่ากับในหลายสิบปีให้หลัง คือ ในช่วงท้าย ๆ ของศตวรรษที่ 20 ด้วยเหตุนี้ เช่นเดียวกับผู้มีวิสัยทัศน์หลายคนก่อนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ จึงทรงตกอยู่ในสภาวการณ์ที่ต้องตัดสินพระราชหฤทัย ประทับอยู่นอกมาตุภูมิของพระองค์
หากแต่ว่าทรงโชคดีที่ทรงมีประเทศอังกฤษ ซึ่งทรงคุ้นเคยและพอพระราชหฤทัยแต่สมัยที่ทรงเป็นนักเรียน เป็นที่ประทับพักพิงอยู่ต่อไปอย่างเงียบ ๆ จนกระทั่งเสด็จสวรรคตก่อนกาลอันควร โดยพระราชกรณียกิจหนึ่งในช่วงท้ายรัชกาลก็คือการเสด็จฯเยี่ยมโรงเรียนเก่าและทอดพระเนตรสวนที่ทรงอำนวยให้ได้สร้างขึ้นที่นั่น
บทประพันธ์ของครูฝรั่งปัจจุบันสมัย ผู้มีสำนึกประวัติศาสตร์และใช้จินตนาการประกอบการวิเคราะห์จากข้อมูลหลักฐานอันน้อยนิด นับว่าเป็นข้อคิดข้อเขียนที่มีคุณค่าแก่เราชาวไทย ผู้รู้จักและเข้าใจอดีตพระมหากษัตริย์ของเราพระองค์นี้ในฐานะบุคคลน้อยเกินไป มิใช่หรือ ?
นอกเหนือจากบทความของครูอังกฤษผู้นี้แล้ว ยังมีหลักฐานประเภทเดียวกันเกี่ยวกับเมื่อทรงศึกษาอยู่ที่โรงเรียนเสนาธิการทหารฝรั่งเศส 10 กว่าปีให้หลัง ซึ่งอาจารย์ชาวฝรั่งเศสที่มหาวิทยาลัยศิลปากรเก็บความมาเล่าในบทความภาษาอังกฤษของเขา ซึ่งตีพิมพ์ในภาค Brunch ของ Bangkok Post, November 8-14, 2009 หากเทียบกันจะพบว่าพระอุปนิสัยยังมีแก่นแกนเช่นเดิม บทความหลังนี้มีรายละเอียดเช่นใด หวังว่าจะมีผู้อื่นลองถอดความดูบ้าง เพราะเป็นอานิสงส์จากโครงการวิจัยเอกสารฝรั่งเศสที่สถาบันพระปกเกล้าให้เงินอุดหนุนโดยตรง
*กรรมการพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พช / ครูอังกฤษ – ร.7 / ธ.ค. 52
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น