ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

พัฒนาการของลักษณะจิตรกรรมไทยท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสังคม



จิตรกรรมไทยแบบแผนประเพณี

โดย ฉัตรบงกช
ลักษณะจิตรกรรมไทยแบบแผนประเพณี

        ลักษณะ จิตรกรรมไทยแต่เดิมมาแสดงออกในแบบอุดมคติ (Idealisim) ในบทความนี้จะศึกษาเฉพาะกรณีการเขียนภาพใบหน้าบุคคลเป็นสำคัญ เช่น ภาพของตัวนางต้องมีใบหน้ารูปไข่ คิ้งโก่งดั่งศรพระราม นัยน์ตากลมโตด่งเนื้อทราย ท่อนแขนอ่อนช้อย นิ้วมือนิ้วเท้าเรียวยาว




        ลักษณะบุคคลที่กล่าวข้างต้นปรากฏในจิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องชาดกและพุทธประวัติสืบมาจนถึงปลายสมัยรัชกาลที่ 3 แล้วจึงค่อยคลี่คลายเปลี่ยนไปเมื่อแนวคิดของศิลปะสัจนิยม (Realisim) แบบตะวันตกเข้ามามีอิทธิพล แม้ว่าในสมัยอยุธยาจะเคยมีการส่งภาพเหมือนบุคคลเข้ามาเป็นเครื่องราชบรรณาการนานแล้วก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างแท้จริงในช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ต่อเนื่องกับต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4

       สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายไว้ในหนังสือสาส์นสมเด็จว่า

“... ตั้งแต่เดิมมาจนถึงชั้นนี้บรรดารูปบุคคลที่สร้างขึ้นมา จะเป็นอย่างรูปสมมติก็ดี รูปต่างตัวก็ดี รูปเหมือนตัวก็ดีล้วนสร้างเมื่อตัวบุคคลมรณภาพแล้วทั้งนั้น ไม่มีที่จะสร้างแต่เมื่อตัวบุคคลยังมีชีวิตอยู่ คงเป็นเพราะรังเกียจว่า การสร้างรูปอยู่ในวิชากฤตยาคม สำหรับทำร้ายตัวบุคคลที่ถูกปั้นรูปนั้น ...”

        ดังจะเห็นได้ว่าสมัยรัชกาลที่ 3 มีการสร้างพระพุทธรูปฉลองพระองค์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และมีการหล่อรูปบุคคลสำคัญ ได้แก่ รูปเหมือนเจ้าพระยาบดินทร์เดชา สร้างขึ้นเมื่อเจ้าของรูปเสียชีวิตแล้ว

อิทธิพลของศิลปะตะวันตกต่อลักษณะจิตรกรรมไทย

       สมัยรัชกาลที่ 4 การติดต่อกับตะวันตกมีมากขึ้น มีการนำภาพวาดลายเส้น และภาพพิมพ์ต่างๆเข้ามาเผยแพร่ในพระราชสำนัก จึงเริ่มเกิดรสนิยมการเขียนภาพแบบสัจนิยมขึ้นในสยาม โดยการริเริ่มของขรัวอินโข่ง เช่น จิตรกรรมที่วัดบวรนิเวศ และวัดบรมนิวาส นอกจากนั้นยังมีลักษณะจิตรกรรมดังกล่าวปรากฏในงานจิตรกรรมที่หอราชกรมานุสรณ์ และหอพงศานุสรณ์ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยภาพภายในหอราชกรมานุสรณ์เป็นภาพจำลองเหตุการณ์พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพื่ออุทิศถวายแด่พระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงศรีอยุธยา นับเป็นการบันทึกเหตุการณ์บ้านเมืองในอดีตและการเฉลิมพระเกียรติบูรพมหากษัตริย์

ภาพเขียนแบบสัจนิยมแพร่หลายมากขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ 5 อันเนื่องมาจากพระราชนิยม

       จิตรกรชาวต่างประเทศคนสำคัญที่เข้ามาทำงานสมัยนั้นมีหลายคน เช่น ธีโอดอร์ ชูมาเคอร์ผู้เป็นทั้งช่างภาพและจิตรกร ผลงานสำคัญคือ พระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกประมาณปี พ.ศ. 2416 เป็นพระบรมสาทิสลักษณ์สีน้ำมันขนาดใหญ่ บันทึกรายละเอียดเครื่องราชอิสริยาภรณ์และพระมหามงกุฎ โดยเฉพาะพระพักตร์และพระมัสสุ มีความเหมือนจริงใกล้เคียงกับพระบรมฉายาลักษณ์เป็นอันมาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังโปรดเกล้าฯ ให้เขียนภาพจิตรกรรมเรื่อง พระราชพงศาวดารเหตุการณ์ตอนต้นรัชกาลของพระองค์ ณ พระที่นั่งทรงผนวช แสดงภาพเหตุการณ์พระราชประวัติรัชกาลที่ 5 ตั้งแต่ทรงเข้าพิธีโสกันต์ บรรพชาเป็นสามเณร และตามเสด็จรัชกาลที่ 4 ไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่หว้ากอ จนเสด็จขึ้นครองราชย์ แม้ว่าการเขียนภาพพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 5 จะถือได้ว่าสืบสานการเขียนภาพพระราชพงศาวดารสมัยอยุธยาและสมัยธนบุรีที่หอราชกรมานุสรณ์ และหอพงศานุสรณ์ แต่ลักษณะพิเศษที่น่าสนใจ คือ การเขียนภาพใบหน้าบุคคลจริงเข้าไปในฉากของเหตุการณ์ด้วย อาทิ พระบรมสาทิสลักษณ์รัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 ซึ่งมิได้เป็นภาพพระมหากษัตริย์เชิงสัญลักษณ์ตามแบบปรัมปราคติในจิตรกรรมอีกต่อไป

       จึงเห็นได้ว่าเทคโนโลยีด้านการถ่ายภาพที่เริ่มเข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 4 นั้นมีอิทธิพลต่อผลงานจิตรกรรม และประติมากรรม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยอมให้ฉายพระรูป และสนพระราชหฤทัยเรื่องการถ่ายรูปถึงกับให้ช่างหลวงบันทึกภาพพระราชพิธีและปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ เช่น สุริยุปราคา นับได้ว่าทรงเริ่มต้นวางรากฐานการถ่ายภาพไว้อย่างดี พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ทรงสืบทอดความสนพระราชหฤทัยนี้ถึงขนาดที่มีพระราชนิพนธ์เรื่อง “การถ่ายรูปเมืองไทย” ตีพิมพ์ในหนังสือกุมาวิทยา ฉบับวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2438 สมัยของพระองค์มีการจำลองพระสยามเทวาธิราชทองคำ ในลักษณะที่แตกต่างจากรูปแบบเดิมสมัยรัชกาลที่ 4 พระสยามเทวาธิราชแม้จะยังทรงเครื่องแบบพระมหากษัตริย์ พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายยกเสมอพระอุระ แต่เค้าของพระพักตร์กลับละม้ายพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากนั้นจิตรกรรมยังได้รับอิทธิพลศิลปะแบบสัจนิยมของตะวันตกอย่างชัดเจนมากขึ้น มีภาพเหมือนใบหน้าบุคคลร่วมสมัยสอดแทรกเข้าไปเพื่อการนำเสนอมีความสมจริงมากขึ้น

       แม้ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการถ่ายภาพและภาพยนตร์เข้ามามีอิทธิพลในกลุ่มชนชั้นสูง ดังหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงพระราชนิยมด้านการถ่ายภาพนิ่งและภาพยนตร์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เช่น ภาพยนตร์ทรงถ่ายเรื่องแหวนวิเศษ ทรงกำกับการถ่ายทำภาพยนตร์พระราชพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญอย่างละเอียดด้วยพระองค์เอง อย่างไรก็ดี ในสมัยของพระองค์ยังโปรดเกล้าฯ ให้เขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดสุวรรณดาราราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจในการกอบกู้เอกราชของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพื่อน้อมรำลึกถึงพระเกียรติคุณของอดีตพระมหากษัตริยาธิราช

      นิทรรศการหมุนเวียนของพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ประจำปีงบประมาณ 2552 จะเป็นการจัดนิทรรศการทางทัศนศิลป์ ซึ่งมีที่มาจากการจัดประกวดภาพจิตรกรรมและภาพถ่ายทางการเมืองการปกครองไทย โดยความร่วมมือของมหาวิทยาลัยศิลปากร เพื่อเปิดโลกทัศน์ผู้เข้าชมนิทรรศการเห็นมุมมองของการเขียนภาพและการถ่ายภาพในสังคมไทยว่าเป็นเครื่องบันทึกความเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากอดีตสู่ปัจจุบันได้อย่างหนึ่ง โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกระตุ้นเตือนให้คนในสังคมช่วยกันเสริมสร้างความปรองดองกันในชาติ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัย : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว - 26 พฤศจิกายน 2468   : สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนศุโขทัยธรรมราชาเสด็จขึ้นครองราชย์ - 25 กุมภาพันธ์ 2468 :  พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาพระวรชายาเป็นสมเด็จพระบรมราชินี และเสด็จไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถาน (ร.7 พระชนม์ 32 พรรษา,สมเด็จฯ 21 พรรษา) -6 มกราคม -5 กุมภาพันธ์ 2469 : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า รำไพ พรรณีฯ เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพเพื่อเยี่ยมราษฎร -16 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2470 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก -24 มกราคม - 11 กุมภาพันธ์ 2471: เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลภูเก็ต -10 เมษายน-12 เมษายน 2472 : พระราชพิธีราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุข สวนไกลกังวล -พฤษภาคม 2472  : เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลปัตตานี (ทอดพระเนตรสุริยุปราคา) -31 กรกฎาคม -11 ตุลาคม 2472 : เสด็จพระราชดำเนินเยือน สิงคโปร์ ชวา บาหลี -6 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2473 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนอินโดจีน -6 เมษายน - 9 เมษายน 24...

ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมสมัยรัชกาลที่ 7

                                                                                                                                   ฉัตรบงกช   ศรีวัฒนสาร [1]                 องค์ประกอบสำคัญในการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของสังคมมนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยสภาวะความสืบเนื่องและการเปล...

ห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพ

  ขอบคุณภาพจากพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และขอบคุณเนื้อหาจาก รศ.วุฒิชัย  มูลศิลป์ ภาคีสมาชิกสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง  ราชบัณฑิตยสถาน        พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน รศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี  พระอรรคราชเทวี (ต่อมาคือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ  และสมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ  พระบรมราชชนนี ตามลำดับ)  โดยทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ของสมเด็จพระนางเจ้าฯและองค์ที่ 76 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว     ในห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพนี้  ประเทศไทยหรือในเวลานั้นเรียกว่าประเทศสยาม หรือสยามเพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่มาได้เพียง 1 เดือน 5 วัน  คือ วิกฤตการณ์สยาม ร. ศ. 112 ที...