
รศ. ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพล กรรมการพิพิธภัณฑ์ฯและนางฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร ในการบรรยายในหัวข้อ "พระราชหฤทัยจงรักและภักดีควรคู่พระบารมีพระปกเกล้าฯ" วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552 ณ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ด้วยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงเป็นแบบอย่างแห่งการครองรักอันมั่นคงมาตลอดพระชนม์ชีพ จึงถือโอกาสในวาระครบรอบการเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและการสถาปนาสมเด็จพระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ซึ่งตรงกับวันที่ 25กุมภาพันธ์ ของทุกปี
โดยมี รศ.ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพล เป็นวิทยากร ซึ่งได้เล่าย้อนถึง การประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในรัชสมัยของรัชกาลที่ 7 ว่า นับเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์ไทย ทรงทำพิธีสถาปนาสมเด็จพระมเหสีขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมราชินีในคราวเดียวกัน อันแสดงถึงการถวายพระเกียรติอย่างสูงสุดต่อพระชายาผู้เป็นที่รักยิ่ง ดั่งใจความของคำกล่าวในพิธีสถาปนา ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ตรัสไว้ว่า
"ทรงประจักษ์แจ้งต่อความซื่อตรง จงรัก ของ หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัตน์ อันมีต่อพระองค์ ที่ได้ทรงตั้งพระราชหฤทัยสนองพระเดชพระคุณ เวลาเมื่อทรงเป็นสุขสำราญ และรักษาพยาบาลในเวลาเมื่อทรงพระประชวร หรือแม้แต่การเสด็จไปประทับทุกพระราชฐานต่างประเทศ (ซึ่งในกาลก่อนนั้นการเดินทางก็มิได้สะดวกเช่นปัจจุบัน) หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี ก็อุตสาหะเสด็จติดตามไปด้วยทุกหนแห่ง โดยไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก จึงควรนับได้ว่าทรงร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพระองค์มาเป็นนิรันดร จะหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้"
นอกจากนี้ หากย้อนความไปถึงช่วงที่ทั้งสองพระองค์ยังมิได้ดำรงพระยศเป็นพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระบรมราชินี เรื่องราวความรักความผูกพันของ สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา และ หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี ก็เป็นที่ประจักษ์ด้วยว่าทรงใฝ่พระราชหฤทัยจงรักและภักดีต่อกันเรื่อยมา ซึ่งไม่เพียงความรักที่มีให้ แต่ยังเหมาะสมกันด้วยพื้นฐานการเลี้ยงดู ที่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง ทรงอุปการะเลี้ยงดูพระองค์ท่านในฐานะที่ทรงเป็นพระปิตุจฉา (พี่สาวของพระบิดา คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฎ์ ต้นราชสกุล "สวัสดิวัตน์") มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์
ครั้งนั้นเมื่อ สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ฯ ทรงจบการศึกษาจากประเทศอังกฤษ เสด็จกลับพระนคร และได้พบกับ หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี ทรงประทับพระราชหฤทัยในพระจริยวัตรอันงดงาม จึงทรงบังเกิดพระราชปฏิพัทธิ์รักใคร่ และมีหนังสือกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) และขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต จัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส
ด้วยทรงให้เหตุผลว่า แต่เดิมนั้น "ทรงรักใคร่ชอบพอกับ ม.จ.รำไพพรรณีฉันท์เด็กและผู้ใหญ่ และสมเด็จแม่ก็ทรงโปรดให้ท่านหญิงมารับใช้ข้าพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ เวลานี้ข้าพระพุทธเจ้า เห็นว่า หญิงรำไพฯ ก็มีพระชันษามากขึ้นแล้ว พอสมควรจะทำการเสกสมรสได้ จึงได้ทำการกราบบังคมทูลสมเด็จแม่ ท่านทรงเห็นด้วย ส่วนเสด็จน้าท่านรับสั่งว่าท่านไม่ทรงเกี่ยวข้อง ด้วยทรงถวายหญิงรำไพฯ ไว้ขาดแก่สมเด็จแม่ตั้งแต่ยังเล็กๆ แล้ว"
จากความข้างต้นตามหลักฐานที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงไว้เองว่าทรงปฎิพัทธิ์รักใคร่ ก็ทำให้รู้ได้ว่า ถึงแม้ทั้งสองพระองค์จะดำรงพระยศเป็นถึงเจ้านายชั้นสูง หากแต่ก็มิอาจทำอะไรตามพระทัยได้ ทุกขั้นตอนแห่งการก่อเกิดความรักของเจ้านายทั้ง สองพระองค์นั้น นับว่าอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ เป็นการขอแต่งงานด้วยความรัก ซึ่งขณะเดียวกันก็ทำให้ทราบถึงเรื่องของการขออนุญาตคนในครอบครัว และขอความคิดเห็นว่าทรงเห็นด้วยหรือไม่ อย่างไร
ทำให้รู้ว่าสมัยนั้น เมื่อรักใครและตัดสินใจจะแต่งงานกัน จำเป็นต้องดูเรื่องของผู้หลักผู้ใหญ่ด้วยว่า...ท่านคิดเห็นเป็นเช่นไร เหมือนเป็นการขออนุญาตไปในตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฐานะที่ทรงเป็นเจ้านายด้วย ก็ทรงเป็นแบบอย่างของการปฏิบัติตามกฎมณเฑียรบาล ที่กำหนดไว้ว่า...เจ้านายตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไป ต้องกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการที่จะแต่งงาน ซึ่งการกราบบังคมทูลสมเด็จพระเชษฐาธิราชครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการกราบทูลถึงในฐานะคนในครอบครัว และเป็นการขอพระบรมราชานุญาตเท่านั้น แต่ยังเป็นไปอย่างเป็นทางการ เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมายด้วย
จนแม้แต่ในวาระที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตไปแล้ว สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯก็ยังทรงเชิดชูในทูลกระหม่อมเจ้าฟ้าน้อยผู้รักยิ่งไม่เสื่อมคลาย ม.ร.ว.พฤทธิสาณ เล่าว่า... จากประสบการณ์ตรงที่เคยมีโอกาสเข้าเฝ้า สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ณ วังศุโขทัย ข้าราชบริพารและผู้เข้าเฝ้าทุกคนจะทราบดีถึงพระราชกิจวัตรประจำวัน ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงปฏิบัติอยู่เสมอ โดยหลังแต่งองค์เสร็จแล้ว ก่อนเสด็จลง สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีจะต้องเสด็จเข้าสู่ห้องพระ ทรงสวดมนต์ และถวายสักการะพระบรมอัฐิ และจะทรงกระทำเช่นเดียวกันนี้ ในเวลาพลบค่ำก่อนเสด็จเข้าห้องบรรทม
ครั้นเมื่อสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯเสด็จประทับ ณ วังสวนบ้านแก้ว จ. จันทบุรี ในช่วงบั้นปลายพระชนม์ชีพ ก่อนจะเสด็จประทับ ณ วังศุโขทัยเพื่อรักษาพระอาการประชวร ก็ยังเสด็จกลับมายังพระนคร เป็นประจำทุกปี เพื่อร่วมในพระราชพิธีวันฉัตรมงคล และจะทรงประทับอยู่ต่อจนถึงวันที่ 30 พ.ค. ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระราชสวามี เพื่อประกอบพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลถวายและสักการะพระบรมอัฐิ ณ วังศุโขทัย นอกจากนี้ยังเห็นได้ว่า ในทุกโอกาสที่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อการกุศลทั้งหลาย จะไม่ทรงทำเพื่อพระองค์เอง แต่ทรงโปรดให้เอ่ยพระนามพระราชสวามีอยู่เป็นนิตย์ ทำให้พระราชอุทิศน้อยใหญ่ที่ทรงประกอบพระราชกิจนั้น ล้วนแต่ถวายเป็นพระราชอุทิศให้พระราชสวามีทั้งสิ้น
นี้เป็นเพียงบางแง่มุมจากเรื่องราวความรักในพระองค์ที่ทรงมีต่อกัน ก็ปรากฏหลายแง่คิดสอนใจให้คนรุ่นหลังรู้จักครองรักได้อย่างมั่นคง ทุกท่านที่สนใจสามารถแวะเข้ามาเยี่ยมชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯได้ทุกวันโดยไม่เสียค่าบัตรผ่านประตู ที่ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น