ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

จากสมุด ‘รชดาภิเษก’


โดย รศ.ม.ร.ว.พฤทธิสาณ ชุมพล


     เมื่อเร็ว ๆ นี้มีข่าวว่ามีผู้ท้วงติงเรื่องที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดให้โรงเรียนซื้อหนังสือเรียนไปให้นักเรียนยืมเรียนโดยให้โรงเรียนเลือกซื้อเฉพาะหนังสือเรียนตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 ในปีการศึกษา 2552 ซึ่งเป็นปีแรกของการนำร่องใช้หลักสูตรใหม่ พ.ศ.2551 เพราะเนื้อหาของหนังสือตามหลักสูตรเก่าล้าสมัย กลายเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันต่อเนื่องหลายแง่หลายประเด็น
     บังเอิญเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้เขียนได้ไปรับหนังสือซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พิมพ์พระราชทานในงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จฯ กรมหลวงฯ หนึ่งในจำนวนนั้นมีชื่อแปลกว่า รชดาภิเษก พลิก ๆ ดูทราบทันทีว่าเป็นการนำหนังสือเก่ามาตีพิมพ์ใหม่ตามแบบเดิม ถ้าใช้ภาษาสมัยใหม่ก็ต้องว่า ‘เก๋า’ ดี
หนังสือหรือที่ในสมัยนั้นเรียกว่า ‘สมุด’ นี้ อธิบายตนเองไว้ที่หน้าปกว่า “เปนตู้ทองของการเล่าเรียน รวมศึกษานุกรม ทั้งชั้นต้น ชั้นกลาง ชั้นสูง ขุนวรพิทย์พิจารณ์ นายเวรรายงาน กระทรวงธรรมการเป็นผู้รวบรวม กรมศึกษาธิการพิมพ์ประกาศ ทั้งภาษาไทยแลภาษาอังกฤษ มีรูปด้วย ราคา 25 อัฐ”
คำนำแถลงให้ทราบว่า สมุดนี้ซึ่งออกใน ร.ศ. 113 “กำหนดจะออก 6 คราว รวมเป็นเล่มใหญ่เล่ม 1 แต่แบ่งออกเป็นเล่มเล็กประมาณ 100 น่า ออกเดือนละครั้ง” สรุปได้ว่าเป็นอย่างที่ปัจจุบันเรียกว่าวารสารรายเดือน
     คำนำยังอธิบายให้ทราบด้วยถึงเหตุที่ต้องการออกวารสารนี้ไว้ สรุปได้ว่า ด้วยตำราเรียนยังมีน้อยเกินไป และกว่ากรมศึกษาธิการจะแต่งและจัดพิมพ์ได้สำเร็จก็ไม่ทันกาลที่นักเรียนจะต้องใช้ อีกทั้งตำราเรียนมีราคาแพง นักเรียนส่วนมากขัดสนไม่มีเงินซื้อ หรือตำราบางเล่มเช่นด้านภาษาอังกฤษก็หาซื้อได้ยากและราคาแพงด้วย ผู้ที่จะแต่งตำราได้ดีก็ไม่ค่อยมี หรือมีก็มีภารกิจอื่น กรมศึกษาธิการจึงคิดแก้ปัญหาให้เบาบางลงโดย “ถือเอาโอกาสตามพระราชทรัพย์ ที่เป็นทุนพระราชทานไว้ สำหรับการอุดหนุนโรงเรียนฉเลยศักดิ์แลการเล่าเรียนสามัญ” มาพิมพ์สมุดนี้ขึ้น ให้ชื่อว่า “รชดาภิเษก” เพื่อเป็นที่ระลึกของพระราชพิธีรชดาภิเษก เฉลิมฉลอง 25 ปี แห่งการครองราชย์สมบัติของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปีก่อนหน้า คือ ร.ศ. 112 ซึ่งบังเอิญตรงกับ
พ.ศ.2436 ปีที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพ
     เป็นอันว่าการออกแบบเรียนไม่ทันใช้ และมีเนื้อหาไม่ทันสมัยเป็นสิ่งที่เป็นมานานแล้ว และการแก้ไขปัญหานี้ด้วยการออกเอกสารเสริมความรู้ให้ทันสมัยก็เป็นวิธีการที่ใช้ในสมัยรัชกาล ที่ 5 นั้น ปัจจุบันนี้ก็มีข่าวว่ากระทรวงศึกษาธิการก็คิดจะใช้อยู่ การหมุนตามโลกไม่ทันจึงไม่ใช่ของใหม่ด้วย
อีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับสมุด รชดาภิเษก ก็คือ การแบ่งเนื้อหาตามระดับชั้นมูลศึกษา มัธยม และอุดมศึกษา อีกทั้ง มีสาระความรู้หลายแขนงอยู่ด้วยกัน คือ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ กสิกรรม การช่าง หรือแม้แต่สตรีศึกษา (เขาใช้คำนี้จริง ๆ ) เป็นต้น ส่วนศัพท์เรียกชื่อวิชาที่แปลก ๆ นั้น มีเช่น ‘รสายนศาสตร์’ สำหรับเคมี ‘คณะนาวิทยา’สำหรับคณิตศาสตร์ และ ‘รัษฐนีติวิทยา’สำหรับ ‘political economy’ซึ่งหนักไปในทางเศรษฐศาสตร์มากกว่ารัฐศาสตร์ เป็นต้น
     ส่วนเนื้อหาที่เกี่ยวกับการปกครองนั้น น่าสนใจว่ามีการตีพิมพ์พระราชบัญญัติรัฏฐมนตรีร.ศ. 113 ไว้พร้อมคำแปลเป็นภาษาอังกฤษ แสดงว่าทางราชการเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่นักเรียน (และครู) จะต้องทราบ สำหรับท่านผู้อ่านที่ไม่ทราบ ขอชี้แจงสั้นๆว่า โดยพระราชบัญญัตินี้ โปรดเกล้าฯให้ตั้ง รัฐมนตรีสภาเป็นที่ประชุมปรึกษากฎหมาย คือ ทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติไม่ใช่ด้านบริหาร จึงใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า ‘Legislative Council’ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้ทรงรื้อฟื้นและปรับปรุงเป็น “สภากรรมการองคมนตรี” ทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติเช่นกัน อีกทั้งถวายความเห็นในเรื่องอื่นๆ
เนื้อหาที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งเป็นด้านคุณธรรมจริยธรรม เช่น ‘บุรพบทธรรมจริยา’ เรื่อง ‘ความสัตย์’ ซึ่ง ‘พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าจันทรทัดจุธาธาร’ ทรงแต่ง หรือเรื่อง ‘นับถือตนเอง’ ซึ่งแปลจากหนังสืออ่านอังกฤษที่มีข้อความน่าสนใจดังนี้
     “คนกวาดถนนก็ดี หญิงหาเลี้ยงชีพโดยซักฟอกเสื้อผ้าก็ดี หรือเด็กซึ่งหากินโดยรับใช้บอกกิจธุระ (เดินข่าว) ก็ดี ถ้าได้อุตสาหทำการที่รับทำไว้ด้วยความดีความซื่อสัตย์แล้ว ก็คงได้มีกรรมสิทธิอำนาจที่ควรได้รับความนับถือตนเสมอคนอื่นที่ทำการตำแหน่งยศศักดิ์สูงได้เหมือนกัน”
     ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือการจัดแบ่งเนื้อหาตามระดับชั้นเรียน ซึ่งชวนให้คิดถึงสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ว่ามีลักษณะเดียวกัน คือ “สำหรับให้เด็กรุ่นเล็ก อ่านเข้าใจได้ระดับหนึ่ง สำหรับเด็กรุ่นกลางอ่านเข้าใจได้ระดับหนึ่ง และสำหรับเด็กรุ่นใหญ่รวมถึงผู้ใหญ่อีกระดับหนึ่ง” โดยบรรจุวิชาการแขนงต่าง ๆ รวมกันในแต่ละเล่มเช่นกัน ดังนั้น ‘ศึกษานุกรม’ สมัยรัชกาลที่ 5 กับ ‘สารานุกรม’ สมัยรัชกาลที่ 9 จึงมีลักษณะคล้ายกัน
     แต่ปรากฏว่าศึกษานุกรมรชดาภิเษก ต้องประสบปัญหาที่ดูเหมือนจะแก้ไม่ตก ในเล่ม 5 มี ‘แจ้งความ’ ว่า “เกิดมีการขัดข้องด้วยเรื่องโรงพิมพ์ที่รับจ้างพิมพ์นั้นเป็นอย่างยิ่ง ทำการช้าไม่ทันกำหนด... มีอยู่อีกโรงหนึ่งก็ทำการไม่สู้ดี แลกระดาษก็ไม่ดี ตัวพิมพ์ก็ไม่งาม...และราคาแพงเหลือเกินด้วย” ทำให้จะพิมพ์เล่ม 6 ไม่ทันในปีนั้น ครั้นในเล่ม 6 ก็มี ‘แจ้งความ’ อีกว่า “มีการขัดข้องต่อไป ที่จำเปนกรมศึกษาธิการต้องหยุด จะพิมพ์ต่อไปไม่ได้ ด้วยงบประมาณกรมศึกษาธิการ ประจำศก 114 นี้ บรรพาธิการของเสนาบดีกระทรวงธรรมการมีคำในที่ประชุมตรวจงบประมาณว่า เปนหนังสือที่ปะปนทั้งภาษาไทยแลภาษาอังกฤษ มีเรื่องที่ง่ายแลที่ยากคละปนกันอยู่ ไม่เห็นด้วยว่าสมควรจะเปนหนังสือสำหรับการศึกษา แลขายราคาถูกกว่าหนังสืออื่น ๆ ทั้งมีรูปภาพด้วย เอาเงินอุดหนุนการเล่าเรียนมาพิมพ์จำหน่ายโดยไม่ได้ขอพระบรมราชานุญาต ก็เปนความผิดแลเปนการเปลืองพระราชทรัพย์ ไม่ควรจะยอมให้เงินค่าพิมพ์หนังสือรชดาภิเษกนี้ ต่อไป ที่ประชุมได้ตัดงบประมาณออกเสีย กรมศึกษาธิการจึ่งจำเปนต้องหยุดพิมพ์สืบไป”
     กระนั้นก็ตาม ท่านเสนาบดีกระทรวงธรรมการเองยังเสียดายทั้งประโยชน์ต่อนักเรียนผู้ขัดสนและชื่อหนังสือ จึงรับเป็นธุระจัดหาบริษัทหรือเอกชนออกทุนรับพิมพ์ต่อไป “ผู้รับออกทุนไปลงพิมพ์ ได้เรียงพิมพ์อยู่แล้ว คงจะได้ออกตามเล่มนี้ไป”
     ไม่ทราบว่า ท้ายที่สุด รชดาภิเษก ได้ออกต่อไปอีกกี่ฉบับ ถ้าอีกหลายฉบับอาจเป็นไปได้ว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวแต่ครั้งทรงเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯจะได้ทรง
รำพึงกับตัวเองเช่นนี้แล้ว ผู้เขียนจึงย้อนคิดคำนึงถึงหนังสือส่วนพระองค์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวหลายร้อยเล่ม ซึ่งกระจายอยู่ 3 แห่งเป็นอย่างน้อย คือที่พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ห้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ณ สำนักบรรณสารสนเทศ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชและเข้าใจว่าที่ห้องสมุดเฉพาะสำนักราชเลขาธิการ เชื่อว่ามีหนังสือเก่าและหนังสือหายากที่น่าสนใจหลายประเภทหลายภาษา ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น “ตู้ทองแห่งการทรงศึกษาตลอดพระชนมชีพ” ของพระองค์ ดังนั้น จะมีหนทางใดหนอที่ผู้ที่เกี่ยวข้องจะได้ร่วมมือกันจัดทำฐานข้อมูลเบื้องต้นว่ามีอะไรบ้าง ก็จะช่วยให้เห็นภาพว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเคยทรง หรืออย่างน้อยเคยทรงมีหนังสือประเภทต่าง ๆ หลากหลายเพียงใด จะช่วยให้ผู้สนใจ “พระปกเกล้าศึกษา” ได้ภาพเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความเป็นนักอ่านของพระองค์ และหากจะได้จัดทำสำเนาบางเล่มที่เห็นว่ามีคุณค่าไว้ในระบบอีเลคทรอนิค ก็ย่อมจะเป็นขุมปัญญาที่ยังประโยชน์ได้ยิ่งขึ้นไป เป็นการเฉลิมพระเกียรติอีกทางหนึ่งได้เฉกเช่นความพยายามของหอภาพยนตร์แห่งชาติในการอนุรักษ์และทำสำเนาภาพยนตร์ส่วนพระองค์เพื่อเผยแพร่อยู่อย่างที่ควรแก่การสนับสนุนยิ่ง

พช./รชดาภิเษก/12-03-2552

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัย : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว - 26 พฤศจิกายน 2468   : สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนศุโขทัยธรรมราชาเสด็จขึ้นครองราชย์ - 25 กุมภาพันธ์ 2468 :  พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาพระวรชายาเป็นสมเด็จพระบรมราชินี และเสด็จไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถาน (ร.7 พระชนม์ 32 พรรษา,สมเด็จฯ 21 พรรษา) -6 มกราคม -5 กุมภาพันธ์ 2469 : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า รำไพ พรรณีฯ เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพเพื่อเยี่ยมราษฎร -16 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2470 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก -24 มกราคม - 11 กุมภาพันธ์ 2471: เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลภูเก็ต -10 เมษายน-12 เมษายน 2472 : พระราชพิธีราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุข สวนไกลกังวล -พฤษภาคม 2472  : เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลปัตตานี (ทอดพระเนตรสุริยุปราคา) -31 กรกฎาคม -11 ตุลาคม 2472 : เสด็จพระราชดำเนินเยือน สิงคโปร์ ชวา บาหลี -6 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2473 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนอินโดจีน -6 เมษายน - 9 เมษายน 24...

ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมสมัยรัชกาลที่ 7

                                                                                                                                   ฉัตรบงกช   ศรีวัฒนสาร [1]                 องค์ประกอบสำคัญในการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของสังคมมนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยสภาวะความสืบเนื่องและการเปล...

ห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพ

  ขอบคุณภาพจากพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และขอบคุณเนื้อหาจาก รศ.วุฒิชัย  มูลศิลป์ ภาคีสมาชิกสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง  ราชบัณฑิตยสถาน        พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน รศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี  พระอรรคราชเทวี (ต่อมาคือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ  และสมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ  พระบรมราชชนนี ตามลำดับ)  โดยทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ของสมเด็จพระนางเจ้าฯและองค์ที่ 76 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว     ในห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพนี้  ประเทศไทยหรือในเวลานั้นเรียกว่าประเทศสยาม หรือสยามเพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่มาได้เพียง 1 เดือน 5 วัน  คือ วิกฤตการณ์สยาม ร. ศ. 112 ที...