ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

นิทรรศการ "เฉลิมพระยศเจ้านายฝ่ายใน"






นิทรรศการเฉลิมพระยศเจ้านายฝ่ายใน

ตามโบราณราชประเพณีในสมัยอดีตนั้น เบื้องหลังกำแพงกั้นกลางในพระบรมมหาราชวังคือ พระตำหนักและที่ประทับของเจ้านายฝ่ายใน ประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศ์หญิงทั้งมวลที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับพระมหากษัตริย์ เช่น สมเด็จพระบรมราชชนนี พระอัครมเหสี พระสนม พระราชธิดา และ พระประยูรญาติชั้นต่าง ๆ

ส่วนราชสำนักฝ่ายใน ก็รวมถึงข้าราชสำนักหญิงผู้ทำหน้าที่ราชการในเขตพระราชฐาน

ตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์ เจ้านายฝ่ายในมีพระยศซึ่งทรงดำรงเมื่อประสูติตามกฎมณเฑียรบาล ต่อมาบางพระองค์ได้รับสถาปนาเฉลิมพระยศเลื่อนพระยศ เช่น เมื่อเจริญพระชันษาโสกันต์แล้ว เมื่อทรงพระฐานันดรศักดิ์ตามราชประเพณี เช่น สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระอัครมเหสี หรือเลื่อนพระยศขึ้นด้วยทรงความชอบในราชการและการส่วนพระองค์ เลื่อนหม่อมเจ้าขึ้นเป็นพระองค์เจ้า เลื่อนพระองค์เจ้าขึ้นเป็นเจ้าฟ้า และการเฉลิมพระยศพระบรมวงศานุวงศ์ให้ทรงดำรงพระอิสริยยศตามโอกาสสมควร

นอกจากนี้เจ้านายฝ่ายในได้รับการเฉลิมพระยศทรงกรมเช่นเดียวกับเจ้านายฝ่ายหน้า คือ เจ้านายผู้ชาย ด้วยเช่นกัน ดังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ใน ธรรมเนียมราชตระกูลในกรุงสยาม ว่า “เจ้าฟ้าผู้หญิงและพระองค์เจ้าผู้หญิงเป็นต่างกรมได้ทุกชั้น เคยเป็นกรมสมเด็จพระ กรมพระ กรมหลวง กรมขุน กรมหมื่น มีทุกชั้น ๆ แต่นาน ๆ น้อย ๆ ไม่มากเหมือนต่างกรมผู้ชาย...”

การเฉลิมพระยศให้ทรงดำรงพระอิสริยยศชั้นต่าง ๆ นั้น มีเครื่องอิสริยยศเป็นเครื่องประกอบ หรือสำแดงฐานะ หรือเป็นบำเหน็จความชอบพร้อมกัน ได้แก่ เครื่องราชูปโภคหมวดต่าง ๆ เช่น เครื่องราชศิราภรณ์ เครื่องสูง พระราชยาน เสื้อผ้าแพรพรรณ และศักดินา

ภายหลังเมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ก็ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องอิสริยยศและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ประกอบไว้ด้วยกัน

เจ้านายฝ่ายในได้รับพระราชทานเครื่องอิสริยยศตามฐานะและพระยศเมื่อประสูติตามราชประเพณี และเมื่อได้รับการเฉลิมพระยศ จะได้รับพระราชทานเครื่องอิสริยยศเพิ่มขึ้น เช่น

เครื่องอิสริยยศพระอัครมเหสี พระราชเทวี สมัยอยุธยา ได้แก่ มงกุฎ อภิรุม ๓ ชั้น เกือกทอง พระราชยานมีจำลอง

บทบาทของเจ้านายฝ่ายในที่โดดเด่นตามบันทึกพระราชพงศาวดารมีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เช่น พระสุริโยทัย พระมเหสีครั้งแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ซึ่งปรากฏพระนามภายหลังสิ้นพระชนม์ในกลางทัพ กรมหลวงโยธาทิพ กรมหลวงโยธาเทพ พระขนิษฐา และพระราชธิดาในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ปรากฏพระนามทรงกรมชั้นกรมหลวงเป็นครั้งแรกในพระราชพงศาวดาร หมายถึง บทบาทสำคัญของเจ้านายฝ่ายใน ต่อมาทั้งสองพระองค์ทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมเหสีในแผ่นดินสมเด็จพระเพทราชา

ในสมัยธนบุรี มีการสถาปนาพระราชชนนี มีพระยศเป็นกรมพระเทพามาตย์ตามราชประเพณีที่สืบทอดธรรมเนียมจากสมัยอยุธยา

พ. ศ. ๒๓๒๕ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จปราบดาภิเษกขึ้นครองสิริราชสมบัติเป็นปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงสถาปนาเฉลิมพระยศพระ บรมวงศ์เมื่อสถาปนาพระราชวงศ์ เจ้านายฝ่ายในที่ทรงรับสถาปนาและทรงกรมในโอกาสนั้น ได้แก่ พระเชษฐภคินีสองพระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี (สา) และ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ (แก้ว)

การเฉลิมพระยศเจ้านายฝ่ายในสมัยรัตนโกสินทร์ตามโบราณราชประเพณี มีทั้ง การสถาปนาทรงตั้งกรมเฉลิมพระยศสมเด็จพระบรมราชชนนี ที่สืบทอดมาจนรัชกาลปัจจุบัน ด้วยทรงพระราชดำริถึงพระคุณอันประเสริฐของสมเด็จพระราชชนนีที่ทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจก่อเกิดประโยชน์แก่บ้านเมืองและประชาชนในทุก ๆ ด้านเป็นอเนกปริยาย จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศเฉลิมพระนาม สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ เป็น สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในวันที่ระลึกฉัตรมงคล เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๓

ตามโบราณราชประเพณีนั้น เมื่อพระมหากษัตริย์เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติบรมราชาภิเษกแล้ว ย่อมโปรดให้ เฉลิมพระยศสถาปนาสมเด็จพระอัครมเหสี

สมัยรัชกาลที่ ๗ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ทรงเฉลิมพระนามหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี พระวรราชชายา เป็น สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี บรมราชินี นับเป็นโอกาสแรกที่มีพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระบรมราชินี

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงบรมราชาภิเษก ณ วันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ในพระราชพิธีนั้นมีประกาศสถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ ขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ต่อมาเมื่อสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ทรงรับพระราชภาระดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จทรงพระผนวช จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เฉลิมพระอภิไธยว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๙

ในสมัยรัตนโกสินทร์ ประเพณีการตั้งกรมและเฉลิมพระยศพระราชธิดา เริ่มตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ ๒ พระองค์ ให้ทรงกรม และเฉลิมพระอิสสริยยศ พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงจันทบุรี เป็น สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี ด้วยทรงพระเมตตาเนื่องจากทรงกำพร้าพระมารดา และเป็นนัดดาของพระเจ้านครเวียงจันทน์

ครั้นถึงรัชกาลที่ ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๑ ทรงสถาปนา พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงวิลาส เป็น กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เป็นพระราชธิดาพระองค์เดียวที่ได้ทรงกรม

ในรัชกาลที่ ๔ พระราชธิดาทุกพระองค์ยังทรงพระเยาว์ จึงไม่ทันมีการสถาปนาให้ทรงกรม ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้สถาปนาทรงกรมพระราชธิดา ได้แก่ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงศรีรัตนโกสินทร์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนพิจิตรเจษฎจันทร สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนสวรรคโลกลักษณาวดี กรมขุนสุพรรณภาควดี

พระราชพิธีสถาปนาทรงกรมพระราชธิดา มีอีกครั้งหนึ่งในรัชกาลปัจจุบัน เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้สถาปนาพระอิสริยศักดิ์ และเฉลิมพระนามาภิไธยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนราชสุดา กิติวัฒนาดุลยโสภาคย์ เป็น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร สยามบรมราชกุมารี

การสถาปนาเฉลิมพระยศฝ่ายในเนื่องด้วยความชอบในราชการและการส่วนพระองค์ เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย ซึ่งมักจะทรงพระราชดำริถึงคุณูปการและอุปการคุณของเจ้านายฝ่ายในพระองค์นั้น ตัวอย่างเช่น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาหม่อมเจ้าหญิงแก้วกัลยา พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร เป็น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าแก้วกัลยาณี ด้วยความดีความชอบที่รับราชการฉลองพระเดชพระคุณยาวนาน

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงสถาปนาพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา เป็นกรมหลวงทิพย์รัตนกิริฏกุลินี อธิบดีบัญชาการรักษาพระราชวังฝ่ายใน ทรงเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย และทรงพระปรีชาสามารถเป็นที่ยอมรับ โดยเฉพาะงานการช่าง และหัตถศิลป์

การเฉลิมพระยศพระเชษฐภคินี สถาปนาทรงกรมในสมัยรัตนโกสินทร์มีมาตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในปีแรกแห่งการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ได้แก่ การสถาปนาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ ๒ พระองค์ ดังได้กล่าวมาแล้ว

ในรัชกาลที่ ๕ ทรงสถาปนาพระเจ้าพี่นางเธอ พระองค์เจ้าโสมาวดี ศรีรัตนราชธิดา เป็น กรมหลวงสมรรัตนสิริเชษฐ

การเฉลิมพระยศพระเชษฐภคินีในรัชกาลปัจจุบันนั้น ทรงสถาปนา สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา เป็น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในมหามงคลสมัยที่ทรงเจริญพระชนมายุ ๖ รอบ พ.ศ. ๒๕๓๘

กาลเวลาเปลี่ยนผ่านสังคมเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยมาจนถึงปัจจุบัน เจ้านายฝ่ายในทรง ปฏิบัติบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเป็นประโยชน์ต่ออาณาประชาราษฎร์ ทรงขยายขอบเขตพระราชภาระจากพระบรมมหาราชวังไปสู่ทุกชุมชนทุกพื้นที่ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงจัดแสดงนิทรรศการเรื่อง “เฉลิมพระยศเจ้านายฝ่ายใน” เพื่อให้นักเรียน นักศึกษา และประชาชน ได้ร่วมศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับราชประเพณีโบราณ และพระเกียรติคุณของเจ้านายฝ่ายในที่ทรงมีต่อสังคมไทยมาต่อเนื่องยาวนาน

นิทรรศการ “เฉลิมพระยศเจ้านายฝ่ายใน” จัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ – ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๐


**************************



เรียบเรียงโดย วิกัลย์ พงศ์พนิตานนท์ นักวิชาการศึกษา หอจดหมายเหตุศิริราชพยาบาล

ข้อมูล: พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัย : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว - 26 พฤศจิกายน 2468   : สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนศุโขทัยธรรมราชาเสด็จขึ้นครองราชย์ - 25 กุมภาพันธ์ 2468 :  พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาพระวรชายาเป็นสมเด็จพระบรมราชินี และเสด็จไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถาน (ร.7 พระชนม์ 32 พรรษา,สมเด็จฯ 21 พรรษา) -6 มกราคม -5 กุมภาพันธ์ 2469 : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า รำไพ พรรณีฯ เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพเพื่อเยี่ยมราษฎร -16 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2470 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก -24 มกราคม - 11 กุมภาพันธ์ 2471: เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลภูเก็ต -10 เมษายน-12 เมษายน 2472 : พระราชพิธีราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุข สวนไกลกังวล -พฤษภาคม 2472  : เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลปัตตานี (ทอดพระเนตรสุริยุปราคา) -31 กรกฎาคม -11 ตุลาคม 2472 : เสด็จพระราชดำเนินเยือน สิงคโปร์ ชวา บาหลี -6 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2473 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนอินโดจีน -6 เมษายน - 9 เมษายน 2474 : เสด็จฯเยือนสหรัฐอเมริกาและญี่

ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมสมัยรัชกาลที่ 7

                                                                                                                                   ฉัตรบงกช   ศรีวัฒนสาร [1]                 องค์ประกอบสำคัญในการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของสังคมมนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยสภาวะความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงเป็นพลังสำคัญ ในทัศนะของ อริสโตเติล ( Aristotle) นักปรัชญากรีกโบราณ   ระบุว่า   ศิลปะทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นดนตรี   การแสดง   หรือ ทัศนศิลป์   ล้วนสามารถช่วยซักฟอกจิตใจให้ดีงามได้   นอกจากนี้ในทางศาสนาชาวคริสต์เชื่อว่า   ดนตรีจะช่วยโน้มน้าวจิตใจให้เกิดศรัทธาต่อศาสนาและพระเจ้าได้     การศรัทธาเชื่อมั่นต่อศาสนาและพระเจ้า คือ ความพร้อมที่จะพัฒนาการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ [2]                 ราชบัณฑิตยสถานอธิบายความหมายของศิลปะให้สามารถเข้าใจได้เป็นสังเขปว่า “ศิลปะ(น.)ฝีมือ,   ฝีมือทางการช่าง,   การแสดงออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์เห็น โดยเฉพาะหมายถึง วิจิตรศิลป์ ” [3] ในที่นี้วิจิตรศิลป์ คือ ความงามแบบหยดย้อย   ดังนั้น คำว่า “ศิลปะ” ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถานจึงหมายถึงฝีมือทางการช่างซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา

ห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพ

  ขอบคุณภาพจากพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และขอบคุณเนื้อหาจาก รศ.วุฒิชัย  มูลศิลป์ ภาคีสมาชิกสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง  ราชบัณฑิตยสถาน        พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน รศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี  พระอรรคราชเทวี (ต่อมาคือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ  และสมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ  พระบรมราชชนนี ตามลำดับ)  โดยทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ของสมเด็จพระนางเจ้าฯและองค์ที่ 76 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว     ในห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพนี้  ประเทศไทยหรือในเวลานั้นเรียกว่าประเทศสยาม หรือสยามเพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่มาได้เพียง 1 เดือน 5 วัน  คือ วิกฤตการณ์สยาม ร. ศ. 112 ที่ฝรั่งเศสใช้กำลังเรือรบตีฝ่าป้อมและเรือรบของไทยที่ปากน้ำเข้ามาที่กรุงเทพฯได้  และบีบบังคั