ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ภาพล้อและการ์ตูนการเมืองสยามสมัยแรกกับน้ำใจนักกีฬา

ปกหนังสือพิมพ์ดุสิตสมิต


 โดย ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร

              ภาพล้อและการ์ตูนเป็นงานศิลปะรูปแบบหนึ่งที่สร้างขึ้นเพื่อให้เกิดผู้ชมเกิดอารมณ์คล้อยตามในแนวตลกขบขัน ภาพล้อและการ์ตูนต่างจากงานเขียนประเภทจิตรกรรมที่แสดงออกให้เห็นความวิจิตรงดงามและประณีต ขั้นตอนการสร้างการ์ตูนการเมืองต้องมีกระบวนการวางโครงเรื่องและวาดรูปให้เหมาะกับยุคสมัย ประกอบกับคนไทยมักจะมีนิสัยความเกรงอกเกรงใจผู้หลักศักดิ์ใหญ่เป็นทุนเดิม จะว่ากล่าวหรือทักท้วงผู้มีอำนาจวาสนา หรือนักการเมือง ผู้ปกครองก็ต้องหาวิธีที่เหมาะสมโดยใช้อารมณ์ขันมาผ่อนคลาย ภาพล้อและการ์ตูนจึงปรากฏมาในรูปแบบของการสะกิดสะเกาพอเจ็บๆ คันๆ


        การเขียนภาพการ์ตูนการเมืองในประเทศไทยเริ่มจุดประกายขึ้นสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงสนพระทัยเรื่องการเขียนศิลปะภาพล้อยิ่งนัก ต่อมายังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำแปลศัพท์ “Cartoon” เป็นภาษาไทยว่า“ภาพล้อ” เมื่อพ.ศ. ๒๔๖๐

       ในพ.ศ. ๒๔๖๓ ขณะที่รัชกาลที่ ๖ เสด็จฯประทับ ณ พระราชวังพญาไทใหม่ๆ พระองค์โปรดเกล้าฯให้ย้าย เมือง“ดุสิตธานี” (เมืองจำลอง) จากพระราชวังดุสิตไปด้วย ภายในบริเวณเมืองดุสิตธานีจำลองมีสโมสรของพรรค “โบว์สีน้ำเงิน” อันเป็นพรรคการเมืองจำลองในพระองค์ซึ่งมีการให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่าง “บริบูรณ์เหมือนสโมสรทั้งหลาย” และในปีเดียวกันนี้เองที่ได้โปรดเกล้าฯให้มีการจัดประกวดภาพเขียนสมัครเล่นเป็นการภายในราชสำนัก ๓ ประเภท คือ ภาพล้อ (Cartoon) ภาพนึกเขียน (ภาพที่เขียนจากความนึกคิด) และภาพเหมือน (ภาพที่เขียนเหมือนของจริง) กิจกรรมครั้งนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงวาดภาพล้อเข้าประกวดร่วมกับข้าราชบริพารใหญ่น้อยจำนวนมาก
   
ภาพล้อฝีพระหัตถ์รัชกาลที่ ๖  ทรงล้อ สมเด็จฯ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน
พระบิดาแห่งการรถไฟ


        เมื่อถึงกำหนดการประกวดก็มีกระบวนการนำภาพไปจัดแสดง มีดนตรีบรรเลงทั้งเพลงไทยและเพลงสากลประกอบ มีการเก็บค่าผ่านประตูค่อนข้างสูง ราคาต่ำสุด ๑๐ บาท ผู้เข้าชมต้องแต่งกายสุภาพ งานลักษณะนี้เคยจัดที่พระราชวังบางปะอินมาแล้วครั้งหนึ่ง

        ในการประกวดภาพทั้ง ๒ คราวนั้น รัชกาลที่ ๖ ทรงวาดภาพล้อหลายชุด แม้ฝีพระหัตถ์จะไม่ถึงขั้นศิลปินเอก แต่พระปรีชาสามารถในทางการถ่ายทอดลักษณะเด่นของบุคคลนั้นถือได้ว่ามีความพิเศษอย่างยิ่ง เมื่อทรงเขียนภาพล้อผู้ใดก็สามารถบอกได้ว่าบุคคลนั้นเป็นใคร ถ้าเป็นภาพล้อของผู้ใดเจ้าของมักซื้อไว้ด้วยราคาสูง บางภาพมีราคาเป็นหลักหมื่นบาทก็มี เงินที่ได้จากการขายภาพเหล่านี้ต่อมาถูกนำไปสมทบเป็นทุนสาธารณกุศลเพื่อซื้อปืนพระราชประจำกองเสือป่า และต่อมาหนังสือพิมพ์ก็เริ่มมีภาพประกอบข่าวมากขึ้น ภาพฝีพระหัตถ์ส่วนมากถูกนำลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ “ดุสิตสมิต” เป็นระยะๆ เพื่อทรงล้อเพื่อตักเตือนข้าราชการที่ประพฤติมิชอบ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติการพิมพ์ฉบับแรกขึ้นเรียกว่า พระราชบัญญัติสมุดเอกสารและหนังสือพิมพ์ พุทธศักราช ๒๔๖๕ และพระองค์ได้พระราชนิพนธ์บทความสำคัญๆ จำนวนมากลงในหนังสือพิมพ์ เช่น ยิวแห่งบูรพทิศ ลงในหนังสือพิมพ์ สยามออบเซอร์เวอร์ และ โคลนติดล้อ ลงในหนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทย งานพระราชนิพนธ์ของพระองค์เรื่องนี้ได้รับความนิยมอย่างมากจนถึงกับมีประชาชนเขียนล้อเลียนโต้ตอบลงในหนังสือพิมพ์กรุงเทพเดลิเมล์ ในชื่อ "ล้อติดโคลน"

       ลักษณะการวางรูปเล่มหนังสือพิมพ์ของไทยตั้งแต่ปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ ถึงต้นรัชกาลที่ ๖ มักมีการจัดหน้าแรกเป็นหน้าโฆษณาสินค้าทั้งหมด ถัดไปจึงเป็นหน้าข่าวที่กับการลงโฆษณาแจ้งความ(ประชาสัมพันธ์)เหตุการณ์ต่างๆที่ประชาชนควรทราบ หรือแจ้งความโฆษณาสินค้าปะปนมาด้วย

       ในระยะแรกๆ ข่าวหนังสือพิมพ์ยังไม่ถูกออกแยกเป็นหมวดหมู่ ทำให้มีทั้งข่าวภายในประเทศที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ข่าวต่างประเทศและบทความตีพิมพ์ปะปนกัน ไม่ได้แบ่งเป็นสัดส่วนเฉพาะ ต่อมาจึงเริ่มมีการเขียนภาพล้อการเมืองในหน้าแรกของหนังสือพิมพ์

     นักเขียนภาพล้อการเมืองคนแรกของไทย คือ นายเปล่ง ไตรปิ่น ซึ่งมีประวัติไม่ชัดเจนทราบแต่ว่า
เป็นบุตรของนายสอน กับนางเภา เคยหนีบิดาไปกับเรือสินค้านานกว่ายี่สิบปีเรียนวิชาจิตรกรรมมาจากอังกฤษ เคยเดินทางไปนอร์เวย์ เดนมาร์ก อิตาลี สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย ได้เดินทางกลับประเทศไทยพร้อมทั้งกับนำวิชาการทำแม่พิมพ์ (บล็อก) โลหะเข้ามาเผยแพร่ในเมืองไทย โดยเปิดร้าน “ฮาล์ฟโทน” รับทำบล็อคขึ้นเป็นแห่งแรกและได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในวงการหนังสือพิมพ์และโรงพิมพ์ เคยเข้าทำงานในตำแหน่งช่างภาพกรมรถไฟหลวงแต่ลาออกในภายหลังเนื่องจากขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ฝรั่ง จากนั้นจึงไปเขียนภาพล้อตามหนังสือพิมพ์ต่างๆ เช่น กรุงเทพฯเดลิเมล์ ไทยหนุ่ม บางกอกไทม์ เป็นต้น และเคยเป็นครูโรงเรียนเพาะช่าง ผลงานของเขาตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพเดลิเมล์ ตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๖๖ โดยใช้นามปากกาว่า “เปล่ง” สมัยนี้นับเป็นมิติใหม่ในกิจการสิ่งพิมพ์ที่มีความหมายอย่างยิ่ง ด้วยคุณูปการในฐานะผู้นำแม่พิมพ์โลหะเข้ามาในไทยเป็นคนแรกและยังได้รับรางวัลการประกวดภาพล้อจากรัชกาลที่ ๖ โดยเขียนการ์ตูนล้อเลียนนักการเมืองสำคัญในยุคนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯให้นายเปล่ง ไตรปิ่น เป็นขุนปฏิภาคพิมพ์ลิขิตในเวลาต่อมา


ท่าต่างๆของกีฬาฟุตบอล
     ผลงานของขุนปฏิภาคพิมพ์ลิขิต (เปล่ง ไตรปิ่น) นักเขียนการ์ตูนล้อการเมืองรุ่นแรกของไทย แสดงการล้อเลียนเรื่องการมีน้ำใจนักกีฬาโดยเสนอภาพกลโกงต่างๆของนักกีฬาฟุตบอลเพื่อเอาชนะแต่เพียงอย่างเดียว ขัดแย้งกับแนวคิดเรื่องความมีน้ำใจนักกีฬาสากลที่รู้จักกันดี ดังปรากฏในพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ เมื่อเสด็จไปพระราชทานในวันงานประจำปีของวชิราวุธวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ตอนหนึ่งมีใจความว่า


     “ ...น้ำใจนักกีฬาแท้ เรียกว่า “สปอร์ตสแมน” การฝึกหัดน้ำใจนั้นเป็นของสำคัญมาก ยิ่งเราจะปกครองแบบเดโมคราซียิ่งสำคัญ... ” ประการที่หนึ่ง คือต้องเล่นตามกติกาไม่โกงเล็กโกงน้อย ประการที่สอง คือไม่ใช่เล่นเพื่อความชนะของฝ่ายตนหรือเพื่อตนคนเดียว และประการที่สาม นักกีฬาแท้ต้องรู้จักชนะรู้จักแพ้ ถ้าชนะต้องไม่อวดดี และถ้าแพ้ต้องไม่ผูกพยาบาท เพราะการปกครองแบบประชาธิปไตยย่อมต้องมีการแพ้และการชนะ และสิ่งสำคัญคือต้องนึกถึงประโยชน์ของประเทศชาติเป็นอันดับแรก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัย : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว - 26 พฤศจิกายน 2468   : สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนศุโขทัยธรรมราชาเสด็จขึ้นครองราชย์ - 25 กุมภาพันธ์ 2468 :  พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาพระวรชายาเป็นสมเด็จพระบรมราชินี และเสด็จไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถาน (ร.7 พระชนม์ 32 พรรษา,สมเด็จฯ 21 พรรษา) -6 มกราคม -5 กุมภาพันธ์ 2469 : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า รำไพ พรรณีฯ เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพเพื่อเยี่ยมราษฎร -16 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2470 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก -24 มกราคม - 11 กุมภาพันธ์ 2471: เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลภูเก็ต -10 เมษายน-12 เมษายน 2472 : พระราชพิธีราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุข สวนไกลกังวล -พฤษภาคม 2472  : เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลปัตตานี (ทอดพระเนตรสุริยุปราคา) -31 กรกฎาคม -11 ตุลาคม 2472 : เสด็จพระราชดำเนินเยือน สิงคโปร์ ชวา บาหลี -6 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2473 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนอินโดจีน -6 เมษายน - 9 เมษายน 2474 : เสด็จฯเยือนสหรัฐอเมริกาและญี่

ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมสมัยรัชกาลที่ 7

                                                                                                                                   ฉัตรบงกช   ศรีวัฒนสาร [1]                 องค์ประกอบสำคัญในการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของสังคมมนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยสภาวะความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงเป็นพลังสำคัญ ในทัศนะของ อริสโตเติล ( Aristotle) นักปรัชญากรีกโบราณ   ระบุว่า   ศิลปะทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นดนตรี   การแสดง   หรือ ทัศนศิลป์   ล้วนสามารถช่วยซักฟอกจิตใจให้ดีงามได้   นอกจากนี้ในทางศาสนาชาวคริสต์เชื่อว่า   ดนตรีจะช่วยโน้มน้าวจิตใจให้เกิดศรัทธาต่อศาสนาและพระเจ้าได้     การศรัทธาเชื่อมั่นต่อศาสนาและพระเจ้า คือ ความพร้อมที่จะพัฒนาการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ [2]                 ราชบัณฑิตยสถานอธิบายความหมายของศิลปะให้สามารถเข้าใจได้เป็นสังเขปว่า “ศิลปะ(น.)ฝีมือ,   ฝีมือทางการช่าง,   การแสดงออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์เห็น โดยเฉพาะหมายถึง วิจิตรศิลป์ ” [3] ในที่นี้วิจิตรศิลป์ คือ ความงามแบบหยดย้อย   ดังนั้น คำว่า “ศิลปะ” ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถานจึงหมายถึงฝีมือทางการช่างซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา

ห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพ

  ขอบคุณภาพจากพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และขอบคุณเนื้อหาจาก รศ.วุฒิชัย  มูลศิลป์ ภาคีสมาชิกสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง  ราชบัณฑิตยสถาน        พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน รศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี  พระอรรคราชเทวี (ต่อมาคือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ  และสมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ  พระบรมราชชนนี ตามลำดับ)  โดยทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ของสมเด็จพระนางเจ้าฯและองค์ที่ 76 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว     ในห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพนี้  ประเทศไทยหรือในเวลานั้นเรียกว่าประเทศสยาม หรือสยามเพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่มาได้เพียง 1 เดือน 5 วัน  คือ วิกฤตการณ์สยาม ร. ศ. 112 ที่ฝรั่งเศสใช้กำลังเรือรบตีฝ่าป้อมและเรือรบของไทยที่ปากน้ำเข้ามาที่กรุงเทพฯได้  และบีบบังคั