ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ครั้งแรกในสยาม (คู่แรกในสยาม)




(ครั้งแรกในสยาม ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารสกุลไทย)


โดย รศ.ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพล

           ในวันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พุทธศักราช 2461 ณ พระที่นั่งวโรภาษพิมาน พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา พระมหากษัตริย์และเจ้านายชั้นพระบรมวงศ์อีกสิบสองพระองค์ได้ทรงลงพระปรมาภิไธย และพระนามเป็นพยานในการแต่งงานของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ซึ่งปฎิพัทธ์รักใคร่กัน อีกทั้งมีความเหมาะสมกันในทางชาติตระกูลกำเนิด และการอบรมเลี้ยงดูเมื่อยังเยาว์ เจ้าบ่าวอายุ 25 ปี เจ้าสาวอายุ 14 ปี คู่บ่าวสาวนั้น พระนามว่า สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขทัยธรรมราชา และหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัฒน์ ก่อนหน้านั้นประมาณ 1 เดือน สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์นั้นได้ทรงมีหนังสือกราบบังคมทูลพระกรุณา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ความตอนหนึ่งว่า

          “บัดนี้ ข้าพระพุทธเจ้า ได้ปฏิพัทธ์รักใคร่กับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี ธิดาแห่งเสด็จน้า และข้าพระพุทธเจ้าอยากจะใคร่ทำการสมรสกับเจ้าหญิงนั้น แต่เดิมข้าพระพุทธเจ้าได้ชอบพอกับหญิงรำไพ
พรรณี ฉันเด็กและผู้ใหญ่ และสมเด็จแม่ก็โปรดให้หญิงรำไพพรรณี มารับใช้ข้าพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ...”
          หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี ทรงเป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสิดวัดนวิศิษฎ์ พระอนุชาร่วมพระมารดา ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 5 “สมเด็จแม่” ในสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอฯพระองค์นั้น สมเด็จกรมพระสวัสดิฯ จึงทรงเป็น “เสด็จน้า” ของพระองค์ นอกจากนั้น สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ ยังได้ทรงอุปถัมภ์หม่อมเจ้าหญิงรำไพรรณี ผู้ทรงเป็น “หลานป้า” มาตั้งแต่พระชันษา 2-3 ปี โดยโปรดเกล้าฯให้ประทับบนพระตำหนัก และให้ได้รับการศึกษาอบรมตามพระราชประเพณี ตลอดจนวิทยาการสมัยใหม่ หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี จึงทรงได้รับการศึกษาและประสบการณ์ที่เหมาะสมแก่กาลสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย

           พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ประกอบพระราชพิธีอภิเษกสมรสขึ้น นับเป็นการพิธีครั้งแรกตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการเศกสมรสแห่งเจ้านายพระราชวงศ์ พุทธศักราช 2461 ซึ่งให้เจ้านายในพระราชวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปจะทำการเศกสมรสกับผู้ใด ให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตก่อน เมื่อได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้ว จึงจะทำการพิธีนั้นได้

          พระราชพิธีอภิเษกสมรสในครั้งนั้น ยังมีความพิเศษอีกอย่างหนึ่ง คือ ได้โปรดเกล้าฯให้เริ่มการพิธีด้วยการตั้งกระทู้ถามตอบคู่สมรส ดังเช่นธรรมเนียมของชาวตะวันตก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้มหาเสวกโท พระยาจักรปราณีศรีศีลวิสุทธิ์ (ลออ ไกรฤกษ์) สมุหพระนิติศาสตร์ (เจ้าพระยามหิธร ในภายหลัง) ตั้งกระทู้กราบทูลถามสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอฯว่า

          “ฝ่าพระบาททรงตั้งพระหฤทัยที่จะทรงรับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีเป็นพระชายาเพื่อทรงถนอม ทะนุบำรุงด้วยความเสน่หาและทรงพระเมตตากรุณาสืบไปจนตลอดนั้น ฤา”

          สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอฯ รับสั่งตอบว่า “ข้าพเจ้าตั้งใจเช่นนั้น”

           แล้วทูลถามหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีว่า

           “ท่านตั้งหฤทัยที่จะมอบองค์ท่านเป็นพระชายาแห่งสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ จ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขไทย ธรรมราชา ด้วยความเสน่หา จงรักสมัครจะปฎิบัติอยู่ในพระโอวาทแห่งพระสามี สืบไปจนตลอดนั้น ฤา”

           หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี รับสั่งตอบว่า “ข้าพเจ้าตั้งใจเช่นนั้น”



ทะเบียนแต่งงาน


           เสร็จการพิธีแบบตะวันตกแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงพระราชทานน้ำพระมหาสังข์ทักษิณาวรรต และทรงเจิมองค์คู่อภิเษกสมรสตามโบราณราชประเพณีของไทย จากนั้นองค์คู่อภิเษกสมรส ได้ทรงลงพระนามในสมุด “ทะเบียนแต่งงาน” เฉพาะพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงลงพระปรมาภิไธยในช่องพระนาม “ผู้สู่ขอตกแต่ง” และ ช่อง”ผู้ทรงเป็นประทานแลพยานในการแต่งงาน” แล้วโปรดเกล้าฯให้เจ้านายชั้นพระบรมวงศ์12 พระองค์ ทรงลงพระนามเป็นพยานด้วย โดยสมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวีพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทรงลงพระนามถัดจากพระปรมาภิไธย ส่วนสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระพันปีหลวงนั้นมิได้เสด็จฯไปทรงร่วมงาน เนื่องจากทรงพระประชวรและประทับอยู่ที่พระตำหนักน้ำวังศุโขทัย ริมคลองสามเสน สุดท้าย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานเลี้ยงและเมื่อจวนเสร็จเสวยพระกระยาหาร ได้มีพระราชดำรัสพระราชทานพระพร และทรงชักชวนพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการ ดื่มถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขไทยธรรมราชา และหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี พระชายา นับตั้งแต่นั้นมา ทั้งสองพระองค์ได้ทรงครองชีวิตสมรสโดยทรงรักษาสัญญาที่ทรงเปล่งในวันนั้นอย่างซื่อตรงสมบูรณ์ เมื่อสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอฯ ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 และได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2469 ก็ได้มีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งให้ประกาศเฉลิมพระนาม หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี พระชายา เป็นสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี และสถาปนาพระอิสริยยศเป็นพระอัครมเหสีโดยสมบูรณ์ตามพระราชกำหนดกฎหมายและพระราชประเพณี นับเป็นครั้งแรกที่มีการสถาปนา สมเด็จพระอัครมเหสี ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

           นอกจากนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์กรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์แรกซึ่งทรงมีพระภรรยาเจ้าเพียงพระองค์เดียว คนเดียว



           ทั้งสองพระองค์ได้ทรงร่วมทุกข์ร่วมสุขเป็นพระคู่ขวัญ เสด็จพระราชดำเนินเคียงกันโดยตลอดทั้งในประเทศและในต่างประเทศ แม้ว่าจะต้องทรงเผชิญกับเหตุการณ์ความแปรผันทางการเมืองในประเทศ อีกทั้งภยันตรายจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะที่ประทับอยู่ที่ประเทศอังกฤษ หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสละราชสมบัติแล้ว ตราบจนกระทั่งเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พุทธศักราช 2484 ทรงดำรงพระองค์ด้วยพระราชหฤทัยมั่นคงผูกพันจงรักภักดีในพระราชสวามีสืบมาตลอดพระชนมชีพ ทรงอัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิไปทุกแห่งหนที่เสด็จพระราชดำเนิน เพื่อทรงถวายบังคมทุกวัน จนกระทั่งพระองค์เสด็จสวรรคตเมื่อ 43 ปีให้หลัง ในวันที่ 22 พฤษภาคม พุทธศักราช 2527 พระชนมพรรษาร่วม 80 พรรษา พระราชจริยาวัตรในการทรงรักษาความสัตย์ซื่อตรงต่อกันของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 เป็นแบบอย่างที่ดีแก่เราคนรุ่นปัจจุบัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัย : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว - 26 พฤศจิกายน 2468   : สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนศุโขทัยธรรมราชาเสด็จขึ้นครองราชย์ - 25 กุมภาพันธ์ 2468 :  พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาพระวรชายาเป็นสมเด็จพระบรมราชินี และเสด็จไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถาน (ร.7 พระชนม์ 32 พรรษา,สมเด็จฯ 21 พรรษา) -6 มกราคม -5 กุมภาพันธ์ 2469 : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า รำไพ พรรณีฯ เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพเพื่อเยี่ยมราษฎร -16 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2470 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก -24 มกราคม - 11 กุมภาพันธ์ 2471: เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลภูเก็ต -10 เมษายน-12 เมษายน 2472 : พระราชพิธีราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุข สวนไกลกังวล -พฤษภาคม 2472  : เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลปัตตานี (ทอดพระเนตรสุริยุปราคา) -31 กรกฎาคม -11 ตุลาคม 2472 : เสด็จพระราชดำเนินเยือน สิงคโปร์ ชวา บาหลี -6 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2473 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนอินโดจีน -6 เมษายน - 9 เมษายน 2474 : เสด็จฯเยือนสหรัฐอเมริกาและญี่

ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมสมัยรัชกาลที่ 7

                                                                                                                                   ฉัตรบงกช   ศรีวัฒนสาร [1]                 องค์ประกอบสำคัญในการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของสังคมมนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยสภาวะความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงเป็นพลังสำคัญ ในทัศนะของ อริสโตเติล ( Aristotle) นักปรัชญากรีกโบราณ   ระบุว่า   ศิลปะทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นดนตรี   การแสดง   หรือ ทัศนศิลป์   ล้วนสามารถช่วยซักฟอกจิตใจให้ดีงามได้   นอกจากนี้ในทางศาสนาชาวคริสต์เชื่อว่า   ดนตรีจะช่วยโน้มน้าวจิตใจให้เกิดศรัทธาต่อศาสนาและพระเจ้าได้     การศรัทธาเชื่อมั่นต่อศาสนาและพระเจ้า คือ ความพร้อมที่จะพัฒนาการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ [2]                 ราชบัณฑิตยสถานอธิบายความหมายของศิลปะให้สามารถเข้าใจได้เป็นสังเขปว่า “ศิลปะ(น.)ฝีมือ,   ฝีมือทางการช่าง,   การแสดงออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์เห็น โดยเฉพาะหมายถึง วิจิตรศิลป์ ” [3] ในที่นี้วิจิตรศิลป์ คือ ความงามแบบหยดย้อย   ดังนั้น คำว่า “ศิลปะ” ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถานจึงหมายถึงฝีมือทางการช่างซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา

ห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพ

  ขอบคุณภาพจากพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และขอบคุณเนื้อหาจาก รศ.วุฒิชัย  มูลศิลป์ ภาคีสมาชิกสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง  ราชบัณฑิตยสถาน        พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน รศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี  พระอรรคราชเทวี (ต่อมาคือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ  และสมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ  พระบรมราชชนนี ตามลำดับ)  โดยทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ของสมเด็จพระนางเจ้าฯและองค์ที่ 76 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว     ในห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพนี้  ประเทศไทยหรือในเวลานั้นเรียกว่าประเทศสยาม หรือสยามเพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่มาได้เพียง 1 เดือน 5 วัน  คือ วิกฤตการณ์สยาม ร. ศ. 112 ที่ฝรั่งเศสใช้กำลังเรือรบตีฝ่าป้อมและเรือรบของไทยที่ปากน้ำเข้ามาที่กรุงเทพฯได้  และบีบบังคั