หน้าปกของหนังสือพิมพ์ "ภาพกาตูน" เล่าความเป็นอยู่ของสมาชิกในสามสภา (หมายเลขเอกสาร สบ.9.2.1/4) ขอขอบคุณภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร |
โดย ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร
สิ่งที่ยิ่งใหญ่ในตัวมนุษย์ คือ ความคิด ซึ่งเป็นสิ่งที่แยกความเป็นคนและสัตว์ออกจากกัน เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่อยู่รอบตัวเราก็จะเห็นว่า บ้านเมืองปัจจุบันอันประกอบด้วยความเจริญต่างๆและตึกสูงมากมาย มีระบบการคมนาคมขนส่งที่ก้าวหน้าทั้งรถไฟฟ้าลอยฟ้าและใต้ดิน มีระบบการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ ศาสนา ปรัชญา ศิลปวัฒนธรรม และฯลฯ ล้วนก่อตัวขึ้นหรือถูกสร้างขึ้นจากอำนาจจากรากฐานของพลังความคิดทั้งสิ้น เราอาจอาจแบ่งความคิดออกเป็น ๖ ลักษณะ ได้แก่
ลักษณะแรก คือ คิดฝัน (Day dream) หมายถึง ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปตามอารมณ์ แม้จะมีความสุขไม่น้อยกับความคิดนั้นแต่ยังไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ เพราะยังไม่ได้ลงมือกระทำให้เป็นจริงจึงเป็นเพียงการวาดวิมานในอากาศเท่านั้น
ลักษณะที่สอง คือ คิดจำ (Remember) หมายถึง ความจดจำสิ่งใหม่ๆ หรือการระลึกถึงความจำเก่าๆที่ผุดขึ้นมาตามแต่โอกาสที่เหมาะสม
ลักษณะที่สาม คือ คิดคำนึง อยู่ระหว่างความคิดฝันและความคิดจำ เหมือนกำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์ในความทรงจำนั้นยังไม่มีการคิดถึงแนวทางในการปฏิบัติ
ลักษณะที่สี่ คือ คิดอ่าน เป็นการคิดแก้ไขปัญหาต่างๆหรือมีความคิดที่จะทำอะไร และอย่างไรต่อไปในอนาคต
ลักษณะที่ห้า คือ คิดเห็น (Idea) ได้แก่ การตั้งข้อสังเกตต่างๆเกี่ยวกับสถานการณ์ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งความคิดเห็นนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพแวดล้อมและกาลเวลา การยืนยันความคิดเห็นของตนส่วนมากมาจากความเชื่อ (belief) ยังไม่ใช่มาจากเหตุผลที่ได้รับการค้นคว้าอย่างแท้จริง
ลักษณะที่หก คือ คิดค้น (Research) คือ ความคิดอันละเอียดรอบคอบ อย่างถี่ถ้วน และพยายามแก้ไขปัญหาต่างๆจากการศึกษาค้นคว้าอย่างลึกซึ้ง
ความคิดจึงหลายระดับระดับหลายขั้นนับจากไร้สาระไปจนถึงจริงจัง โดยรวมถือว่าความคิดเป็นของประเสริฐคู่ควรกับความเป็นมนุษย์ สมดังคำของ P.S. Bailey ว่า “He most lives who thinks most –feels the noblest –acts the best.”
บทความนี้จะพิจารณาจากภาพล้อและการ์ตูนการเมืองที่เสนอความคิดเห็นทางการเมืองและส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยสอดแทรกด้วยอารมณ์ขันจาก นสพ. “ภาพกาตูน”(สะกดตามเอกสารต้นฉบับ) แถลงสารโดย นายฟัก ณ นคร พิมพ์ที่โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร พ.ศ. ๒๔๘๑
ผู้แทนราษฎรสมัยแรก
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ ดำเนินไปอย่างสืบเนื่อง กล่าวคือ ในวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้คณะราษฎรเข้าเฝ้าที่วังสุโขทัย โดยหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ผู้แทนคณะราษฎรได้นำพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราวขึ้นทูลเกล้าฯถวาย จากนั้นในวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว จึงถือว่าประเทศสยามมีรัฐธรรมนูญการปกครองประเทศเป็นฉบับแรกในวันดังกล่าว ต่อมาวันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ คณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารที่มีพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นหัวหน้าจึงลงนามแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นปฏิบัติหน้าที่ในรัฐสภาเป็นการชั่วคราวแล้วประกาศให้มีการเลือกตั้ง“ผู้แทนตำบล” ให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้แทนราษฎรทางอ้อมเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๖ ก่อนที่จะเลือกตั้งสมาชิกผู้แทนราษฎรชุดแรกจากประชาชนโดยตรงเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๐
มีข้อสังเกตว่า ระยะเวลาการตีพิมพ์เผยแพร่ของหนังสือพิมพ์ “ภาพกาตูน” ใกล้เคียงกับยุคสมัยทางการเมืองซึ่งสื่อมวลชน (สำนักพิมพ์มติชน, ๒๕๒๖) ซึ่งเป็นสิ่งพิมพ์ “รวบรวมรายชื่อสส.และสมาชิกสภาสูงตั้งแต่พ..ศ. ๒๔๗๕ ถึง ๑๘ เมษายน ๒๕๒๖” ขนานนามว่า “ยุคประชาธิปไตยโชยกลิ่น” และถ่ายทอดข้อมูลมาจากเอกสารชั้นต้นชิ้นหนึ่งว่าในวันที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๑ นั้น
“นายถวิล อุดล สส.ร้อยเอ็ดกับพวกเสนอญัตติขอแก้ไขข้อบังคับของสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับวิธีเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณโดยเสนอรายละเอียดทั้งรายรับรายจ่ายตามงบประมาณอย่างชัดแจ้ง เมื่อมีการลงมติด้วยวิธีลงคะแนนลับแล้ว ปรากฏว่าที่ประชุมเห็นชอบด้วยคะแนน ๔๕ ต่อ ๓๑ ซึ่งขณะนั้นนายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรีได้กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไม่ยอมรับใบลา จึงโปรดเกล้าฯให้ตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาในวันที่ ๑๑ กันยายน เพื่อให้มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรขึ้นใหม่ภายใน ๙๐ วัน นั่นคือ วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๑ การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นการเลือกตั้งโดยตรง คือราษฎรเลือกผู้แทนราษฎรโดยวิธีแบ่งเขต แต่ละเขตให้เลือกผู้แทนราษฎรได้ ๑ คน และถือจำนวนราษฎร ๒ แสนคนต่อผู้แทนราษฎร ๑ คน”
หน้าปกของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ เป็นภาพการ์ตูนว่าด้วยความเป็นอยู่ของสมาชิกใน ๓ สภา
ภายในเล่มมีคำอธิบายใต้ภาพแสดงความเป็นอยู่ของสมาชิกใน ๓ สภา ดังนี้
๑. สมาชิกสภาราษฎร์ สมัยนั้นได้เงินเดือนๆละ ๒๕๐ บาท ลงจากรถยนต์มีท่าทีสง่างามน่าเลื่อมใส
๒. สมาชิกสภาจังหวัด ได้เบี้ยประชุมครั้งละ ๒ บาท มีสถานะที่จะซื้อลูกสมอไปอมในสภาได้
๓. สมาชิกสภานคร ไม่มีเบี้ยประชุม กำลังควักทรัพย์ส่วนตัวให้ค่าพาหนะเพื่อรักษาเกียรติยศ แต่เดี๋ยวนี้ค่อยยังชั่วหน่อยที่มีตั๋วฟรีโดยสารรถรางชั้นที่หนึ่งได้ตลอดทุกสาย
จากภาพดังกล่าวจะสังเกตได้ว่า แม้ศิลปินจะจงใจเขียนภาพล้อนักการเมืองทั้งสามประเภท แต่ที่มุมด้านซ้ายมือของภาพ มีรูปของชายจีนวัยฉกรรจ์สวมหมวกกุ้ยเล้ง ใบหน้ามีหนวดหรอมแหรม นุ่งกางเกงขาก๊วยสั้นเหนือเข่า สวมเสื้อฝ้ายรัดรูปเหมือนตัดใส่เอง ถือโทรโข่งกระดาษแข็งทรงกรวย? ลักษณะปากบาน คล้ายกับเป็นของทำใช้เอง คล้องกระบะขายลูกสมอให้แก่นักการเมืองคนหนึ่ง อย่างรู้ใจ ถูกที่ ถูกเวลาและถูกคน เพราะอาชีพนักการเมืองจำเป็นต้องใช้เสียงพูดค่อนข้างมากกว่าอาชีพอื่น จึงจำเป็นต้องขบเคี้ยวผลสมอให้ชุ่มคอกันกระหาย หรือ กันน้ำลายแห้ง
ภาพคนสู้ชีวิตอย่างชาวจีนอพยพในสังคมไทยเกิดขึ้นอย่างหลากหลาย ทั้งทำสวนผัก ขายแรงงาน ลากรถเจ๊ก ขายเต้าหู้ เต้าฮวย หรือ เต้าทึง จางหายไปจากท้องถนนมานานราว ๒-๓ ชั่วคนแล้วเป็นอย่างน้อย เนื่องจากคนไทยเชื้อสายจีนส่วนใหญ่มักจะประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจ อันเกิดจากการการผสมผสานทางสายเลือดและวัฒนธรรมไทย และลูกหลานของพวกท่านเหล่านั้นจำนวนไม่น้อยสามารถเบียดกายอยู่ในชุดเสื้อนอกผูกไทหรูหราอยู่ภายในรัฐสภาอย่างขวักไขว่ในฐานะของสมาชิกผู้แทนราษฎรผู้ทรงเกียรติ
อีกมุมหนึ่ง เป็นภาพของสามล้อหนุ่มไทยสวมหมวกกะโล่ปีกแคบ นุ่งกางเกงขาสั้น กำลังทำท่าเหมือนจะปั่นรถพาผู้โดยสารมุ่งหน้าไปยังพระที่นั่งอนันตสมาคม อันเป็นที่ตั้งของรัฐสภาสยามสมัยนั้น แต่ก็ต้องรีบห้ามล้อแทบหัวทิ่ม พร้อมกับเบนหัวรถสามล้อออกไปทางขวาเล็กน้อย เพราะบังเอิญมีผู้ทรงเกียรติใส่สูทขวางทางอยู่ข้างหน้า
ในหนังสือพิมพ์เล่มดังกล่าวข้างต้นยังมีภาพล้อและคำอธิบายสั้นๆถึงลักษณะของสส.หลายประการ เช่น พูดดัง ฟังง่าย ไร้ผล นั่นคือ อาชีพสส.เป็นอาชีพที่ต้องพูดอย่างเดียวและแม้จะอ้างหลักการ อย่างไร คำตอบที่มักจะได้รับมักจะเป็นคำพูดซ้ำๆซากๆว่า “ไม่รับหลักการ ยังไม่ทำ กำลังดำริห์อยู่ และยังไม่มีงบประมาณ” เป็นต้น
ผลที่ตามมาทำให้หนังสือพิมพ์สะท้อนภาพให้เห็นว่า แม้นักการเมืองท่านนี้ที่ปกเสื้อเขียนว่า สส. ๑ จะอภิปรายจน “คอแตก” เช่นที่เห็นแต่คำตอบที่ได้รับจากผู้กุมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรก็คือ ยัง “ไม่รับหลักการ...ฯลฯ .! ” จนเป็นเหตุเพื่อนร่วมสภาฯ ต้องพกลูกสมอเพื่อใช้บำรุงลูกคอก่อนย่างเท้าเข้าไปปฏิบัติหน้าที่อันทรงเกียรตินั้นต่อไป
อย่างไรก็ตาม การศึกษาภาพล้อและการ์ตูนการเมืองในช่วงเวลาดังกล่าว นอกจากจะเป็นการเสียดสีในเชิงขบขันแล้วเป็นภาพสะท้อนเหตุการณ์ ความคิด และวัฒนธรรมของคนในสมัยนั้นได้อีกด้วย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น