ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

สอนอย่างไรให้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์


โดย รศ.ม.ร.ว.พฤทธิสาณ ชุมพล
          วันที่ 30 พฤษภาคมของทุกปี ทางราชการกำหนดให้เป็นวันพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  พระองค์เสด็จสวรรคตในวันที่ดังกล่าว เมื่อ พ.ศ. 2484  ณ  ประเทศอังกฤษ การถวายพระเพลิงใน 4 วัน  ต่อมาที่ ฌาปนสถานโกลเดอร์กรีน ชานกรุงลอนดอน เป็นไปอย่างเรียบง่ายไม่มีพิธีสวดอภิธรรม ไม่มีเสียงประโคมย่ำยาม และแน่นอนที่สุดไม่มีการสร้างพระเมรุมาศอันวิจิตรสมพระเกียรติยศ  ความเรียบง่ายอันจำเป็นในภาวะสงครามโลกครั้งที่สอง กลับกลายเป็นการถวายพระเพลิงที่สอดคล้องกับพระราชอุปนิสัย มีแต่การอ่านคำถวายราชสดุดี และการบรรเลงเพลงคลาสิคที่โปรดปรานมากขณะที่พระบรมศพเคลื่อนเข้าสู่เตาไฟฟ้า
          ณ ที่นั้น  นอกจากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีคู่พระบารมีแล้ว มีแต่ข้าราชบริพารผู้ใกล้ชิดซึ่งหลายพระองค์เป็นเด็กในพระราชอุปการะมาตั้งแต่ยังเยาว์ ด้วยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเด็กๆมาก ทรงเอาพระราชหฤทัยใส่ในการอบรมสั่งสอนอย่างทรงเป็นกันเองโดยตลอด อีกทั้งทรงประกอบพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับเยาวชนเป็นนิจ เช่น เสด็จพระราชดำเนินไปในงานประจำปีของวชิราวุธวิทยาลัย และพระราชทานธงลูกเสือ  เพื่อรำลึกถึงพระองค์ในวันพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  ในภาวะการณ์ที่มีกระแสข่าวหนาหู เนื่องด้วยความรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จึงขออัญเชิญพระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานธงลูกเสือ กองฝึกหัดครู เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พุทธศักราช 2475 ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองเพียงสองสัปดาห์มานำเสนอเป็นข้อคิดคำนึง
          พระบรมราโชวาทองค์ดังกล่าว เริ่มต้นที่การสรรเสริญ และเตือนสติผู้ที่กำลังจะเป็นครูว่า
          "การที่จะเป็นครูสอนเด็ก  อบรมเด็ก ที่จริงเปนของสำคัญมาก เปนอาชีพที่ยากและย่อมให้ผลแก่ประเทศ...เพราะว่าถ้าเราฝึกเด็กๆดี ก็อาจจะหวังว่าประเทศบ้านเมืองของเราจะมีความเจริญรุ่งเรืองต่อไป  ถ้าเราฝึกพลาดพลั้งไปด้วยรู้เท่าไม่ถึงการ  หรืออย่างไรก็ตาม ก็อาจจะทำให้ได้ผลที่เลว และอาจเป็นอันตรายอย่างยิ่ง...ผู้ที่จะสอนนั้นจะต้องเข้าใจและรู้สึกซึมซาบในเรื่องที่จะสั่งสอนเขา และประพฤติได้จริง  มีนิสสัยเช่นนั้นจริงๆ จึงจะได้ผลดี..."
          แล้วทรงยกตัวอย่างว่า
         "...เช่น สอนให้รักชาติ สาสนา พระมหากษัตริย์ ก็อาจสอนให้ผิดได้เหมือนกัน...ในการสอนให้รักชาตินั้นเราไม่ประสงค์รักชาติเราแต่ให้เกลียดชาติอื่น... เราต้องสอน ถ้าใครมาย่ำยีเราๆต้องไม่ยอม เราจะสู้  แต่เราก็ต้องไม่คิดที่จะเบียดเบียนใคร  และถ้าชาติอื่นเขาดี  หรือควรนิยม  เราควรดูว่าเขาทำดีอย่างไร  เพื่อเราจะได้ทำให้ดียิ่งไปกว่า หรือให้คล้ายคลึงเขาบ้าง  ต้องมีน้ำใจไมตรีต่อชาติอื่นทั่วไป...
        ...การสอนสาสนา เราจะยกย่องว่าสาสนาของเราว่าดี แล้วปรักปรำสาสนาอื่นไม่ถูก เราไม่ควรดูถูกสาสนาอื่นๆ สาสนาไม่ว่าสาสนาไหนย่อมมีความมุ่งหมายอย่างเดียวกันทั้งสิ้น คือย่อมสอนให้คนมีที่พึ่งเป็นเครื่องนำชีวิตให้เราประพฤติดี มีความมุ่งหมายดีต่อกันทั้งนั้น...ความประสงค์นั้นต้องการให้เด็กมีสาสนาเป็นของสำคัญ  ถ้าเด็กไม่มีสาสนาเลย เปนของเสียหาย เพราะไม่มีอะไรเป็นสรณะ เปนเครื่องนำชีวิต อาจจะประพฤติชั่วร้ายต่างๆ...
        ...การสอนให้รักพระมหากษัตริย์ เราอาจจะสอนไปในทางที่ให้เกรงกลัวเท่านั้น คือ เรายกขึ้นสอนแต่ในทางพระเดช ไม่ยกพระคุณ เราจะยกเช่นนั้นเปนผิดมาก ถ้าเราพิจารณาดูในพงศาวดารของเราเพียง 150 ปีที่แล้วมา ( พระบรมราโชวาทเมื่อพ.ศ.2475) ก็จะเห็นได้ว่า พระคุณของพระเจ้าแผ่นดินที่มีแก่ประเทศสยามและคนไทยทุกคนนั้นมากมายเพียงไร  แต่พระเดชที่ทรงมีนั้น  โดยมากทรงใช้ให้เป็นพระคุณนั่นเอง  คือทรงใช้ปราบปรามคนพาลที่เบียดเบียนประชาชน ไม่ให้ประชาชนได้รับความสุข นั่นเปนวิธีที่ใช้พระเดช..."
         ในส่วนของพระองค์เองนั้น  เมื่อมีการก่อการยึดอำนาจเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475  พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็มิได้ทรงเลือกที่จะใช้พระเดชกับคณะผู้ก่อการ  หากแต่ทรงอนุโลมตามความประสงค์  ทั้งยังได้ทรงใช้พระคุณ พระราชทานอภัยโทษ  ครั้นในเดือนตุลาคม ปีถัดมา (พ.ศ. 2476) เมื่อมีการสู้รบกันระหว่าง "คณะกู้บ้านเมือง" นำโดยพระองค์เจ้าบวรเดช กับฝ่ายทหารของรัฐบาล  พระองค์ไม่ทรงมีพระเดชอยู่ในพระหัตถ์แล้ว  เนื่องด้วยทรงเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ  ก็ได้ทรงใช้พระคุณร้องขอไม่ให้รบกันให้เสียเลือดเนื้อคนไทยด้วยกัน  หากแต่ไม่เป็นผล  ท้ายที่สุดรัฐบาลชนะ และได้ออกกฎหมายจัดตั้งศาลพิเศษพิจารณาพิพากษาคดีกบฎบวรเดชเป็นการเฉพาะ  โดยไม่ให้อุทธรณ์ฎีกา  ซึ่งพระองค์ทรงเห็นว่าเป็นไป "ในทางที่ผิดยุติธรรมของโลก  คือไม่ให้โอกาสต่อสู้คดีในศาล"  และได้ทรงขอร้องให้เลิกใช้วิธีนั้น  รัฐบาลก็ไม่ยอม  พระมหากษัตริย์ผู้ไม่ทรงมีพระเดชเหลืออยู่เพื่อใช้ในทางที่เป็นพระคุณได้ทรงใช้พระคุณเพียงอย่างเดียว แต่ไม่เป็นผล
        ท้ายที่สุด  จึงทรงรันทดพระราชหฤทัยยิ่งที่ไม่ทรงสามารถปฎิบัติพระราชภารกิจพระมหากษัตริย์สยามอันมีมาแต่โบราณในการให้ความคุ้มครองแก่ประชาชน  ให้ได้รับความยุติธรรรมได้สำเร็จ  จึงทรงตัดสินพระราชหฤทัยสละราชสมบัติ ดังความสำคัญในพระราชหัตถเลขาในวาระนั้นตอนทีมักจะอ่านผ่านๆกันไปที่ว่า
       "...เมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่า บัดนี้เป็นอันหมดหนทางที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือหรือให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนได้ต่อไปแล้ว  ข้าพเจ้าจึงขอสละราชสมบัติและออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์ แต่บัดนี้เป็นต้นไป..."
       การถวายราชสักการะ ณ พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่หน้าอาคารรัฐสภา ในวันที่ 30 พฤษภาคม ย่อมจะเป็นเพียงพิธีกรรม  หากเราท่านไม่ทำความเข้าใจให้ถ่องแท้กับพระบรมราโชวาทที่อัญเชิญมานี้  และกับพระราชธรรมจริยาที่ทรงยึดถือตราบแม้ จนวาระสุดท้ายแห่งรัชกาล

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัย : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว - 26 พฤศจิกายน 2468   : สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนศุโขทัยธรรมราชาเสด็จขึ้นครองราชย์ - 25 กุมภาพันธ์ 2468 :  พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาพระวรชายาเป็นสมเด็จพระบรมราชินี และเสด็จไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถาน (ร.7 พระชนม์ 32 พรรษา,สมเด็จฯ 21 พรรษา) -6 มกราคม -5 กุมภาพันธ์ 2469 : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า รำไพ พรรณีฯ เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพเพื่อเยี่ยมราษฎร -16 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2470 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก -24 มกราคม - 11 กุมภาพันธ์ 2471: เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลภูเก็ต -10 เมษายน-12 เมษายน 2472 : พระราชพิธีราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุข สวนไกลกังวล -พฤษภาคม 2472  : เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลปัตตานี (ทอดพระเนตรสุริยุปราคา) -31 กรกฎาคม -11 ตุลาคม 2472 : เสด็จพระราชดำเนินเยือน สิงคโปร์ ชวา บาหลี -6 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2473 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนอินโดจีน -6 เมษายน - 9 เมษายน 2474 : เสด็จฯเยือนสหรัฐอเมริกาและญี่

ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมสมัยรัชกาลที่ 7

                                                                                                                                   ฉัตรบงกช   ศรีวัฒนสาร [1]                 องค์ประกอบสำคัญในการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของสังคมมนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยสภาวะความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงเป็นพลังสำคัญ ในทัศนะของ อริสโตเติล ( Aristotle) นักปรัชญากรีกโบราณ   ระบุว่า   ศิลปะทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นดนตรี   การแสดง   หรือ ทัศนศิลป์   ล้วนสามารถช่วยซักฟอกจิตใจให้ดีงามได้   นอกจากนี้ในทางศาสนาชาวคริสต์เชื่อว่า   ดนตรีจะช่วยโน้มน้าวจิตใจให้เกิดศรัทธาต่อศาสนาและพระเจ้าได้     การศรัทธาเชื่อมั่นต่อศาสนาและพระเจ้า คือ ความพร้อมที่จะพัฒนาการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ [2]                 ราชบัณฑิตยสถานอธิบายความหมายของศิลปะให้สามารถเข้าใจได้เป็นสังเขปว่า “ศิลปะ(น.)ฝีมือ,   ฝีมือทางการช่าง,   การแสดงออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์เห็น โดยเฉพาะหมายถึง วิจิตรศิลป์ ” [3] ในที่นี้วิจิตรศิลป์ คือ ความงามแบบหยดย้อย   ดังนั้น คำว่า “ศิลปะ” ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถานจึงหมายถึงฝีมือทางการช่างซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา

ห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพ

  ขอบคุณภาพจากพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และขอบคุณเนื้อหาจาก รศ.วุฒิชัย  มูลศิลป์ ภาคีสมาชิกสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง  ราชบัณฑิตยสถาน        พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน รศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี  พระอรรคราชเทวี (ต่อมาคือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ  และสมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ  พระบรมราชชนนี ตามลำดับ)  โดยทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ของสมเด็จพระนางเจ้าฯและองค์ที่ 76 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว     ในห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพนี้  ประเทศไทยหรือในเวลานั้นเรียกว่าประเทศสยาม หรือสยามเพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่มาได้เพียง 1 เดือน 5 วัน  คือ วิกฤตการณ์สยาม ร. ศ. 112 ที่ฝรั่งเศสใช้กำลังเรือรบตีฝ่าป้อมและเรือรบของไทยที่ปากน้ำเข้ามาที่กรุงเทพฯได้  และบีบบังคั