ขอบคุณเนื้อหาจาก ดร.ดินาร์ บุญธรรม อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชในปีพุทธศักราช ๒๔๖๘ นั้น สัญลักษณ์ที่แสดงการเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติอย่างเป็นทางการคือพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีเมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๖๘ เป็นพระราชพิธีที่โปรดฯให้อนุวัตรขั้นตอนต่างๆในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามอย่างโบราณราชประเพณีเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาแล้วจะพบว่า พระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นมีขั้นตอนบางประการที่แตกต่างไปจากรายละเอียดที่กำหนดไว้ในตำราพระราชพิธีบรมราชาภิเษกซึ่งรวบรวมขึ้นตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ขั้นตอนที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือขั้นตอนที่เรียกว่า “การสถาปนาสมเด็จพระบรมราชินี” ขั้นตอนพิธีการดังกล่าวนี้ไม่ปรากฏในการบรมราชาภิเษกสมเด็จพระมหากษัตริย์ในรัชกาลก่อนๆ จึงสันนิษฐานได้ว่าเป็นการทรงพระราชดำริขึ้นใหม่ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะทรงสถาปนาหม่อมเจ้ารำไพพรรณี สวัสดิวัตน์เป็น “เอกอัครมเหสี” ทั้งเป็นการสดุดีพระเกียรติยศในความจงรักภักดีและการที่ได้เป็นคู่ร่วมทุกข์สุขกับพระองค์มาตั้งแต่แรกอภิเษกสมรส ดังความที่ปรากฏในประกาศสถาปนาสมเด็จพระบรมราชินีว่า
“...อีกประการ ๑ ตั้งแต่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอภิเษกกับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีมา ได้ทรงประจักษ์แจ้งความซื่อตรงจงรักของหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีอันมีต่อพระองค์ ได้ตั้งพระหฤทัยสนองพระเดชพระคุณทั้งปฏิบัติวัฎฐากในเวลาเมื่อทรงสุขสำราญ และรักษาพยาบาลในเวลาเมื่อทรงพระประชวร แม้เสด็จไปประทับอยู่ที่ทุระสถานต่างประเทศ ก็อุตสาหโดยเสด็จติดตามไปมิได้ย่อท้อต่อความลำบาก ควรนับได้ว่าได้เคยเป็นคู่ร่วมทุกข์สุขกับพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาเป็นนิรันดร จะหาผู้อื่นเสมอเหมือนมิได้.”๒
รัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นเป็นรัชสมัยที่การพระราชพิธีและพระราชกุศลต่างๆ ยังคงปฏิบัติอยู่ตามโบราณราชประเพณี ซึ่งจัดว่าเป็น “วิถีแบบจารีต” ในราชสำนัก แต่ในขณะเดียวกันในรัชสมัยนี้ก็เริ่มมี “วิถีใหม่” เกิดขึ้นในบริบทของงานพระราชพิธี นั่นคือการปรับรูปแบบและขั้นตอนของพระราชพิธีบางพิธีให้เหมาะสมแก่กาลสมัย ซึ่งต้องนับว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีนั้น ทรงแสดงบทบาทในการปรับเปลี่ยนรูปแบบของการพระราชพิธีเหล่านั้นได้อย่างเหมาะสมยิ่ง พระราชพิธีสำคัญที่ได้รับการปรับเปลี่ยนรูปแบบตาม “วิถีใหม่” นั้นคือพระราชพิธีบรมราชาภิเษกซึ่งถือเป็นพระราชพิธีแรกในรัชกาล พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นมีการปรับรูปแบบให้เหมาะสมแก่กาลสมัยมากขึ้น ที่สำคัญและควรกล่าวถึงคือการเพิ่มขั้นตอน “การสถาปนาสมเด็จพระบรมราชินี” ภายหลังจากทรงรับบรมราชาภิเษกในภาคเช้าแล้ว สิ่งที่เป็นปัญหาคือจะแทรกขั้นตอนนี้ไว้ช่วงใดของการพระราชพิธีซึ่งมีทั้งภาคเช้าและภาคบ่ายจึงจะดูงามและสมพระเกียรติยศสมเด็จพระบรมราชินีผู้เป็นองค์เอกอัครมเหสี การแก้ปัญหาเรื่องนี้ปรากฏเค้าเงื่อนอยู่ในข้อความอีกท่อนหนึ่งของประกาศสถาปนาสมเด็จพระบรมราชินีนั้นเอง
“...กระแสพระราชดำริทั้งนี้ ได้ทรงปรึกษาพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายใน ก็ทรงยินดีเห็นชอบพร้อมกันดังพระราชบริหาร.”
เข้าใจว่าได้ทรงหารือพระบรมวงศ์เหล่านั้นด้วยถึงขั้นตอนในการสถาปนาสมเด็จพระบรมราชินีให้มีความเป็นรูปธรรมมากกว่าการประกาศสถาปนาเท่านั้น และน่าจะได้ทางออกสำหรับช่วงเวลาในการเพิ่มขั้นตอนนี้ให้มีความเหมาะสมและดูงามสมพระเกียรติยศ ช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดคือในการเสด็จออกมหาสมาคมฝ่ายใน ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในตอนบ่ายของวันบรมราชาภิเษก เพื่อให้พระราชวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายในเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล การพระราชพิธีในขั้นตอนนี้ไม่มีปรากฏในตำราบรมราชาภิเษกของเดิมที่กำหนดขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช แต่พบว่าได้เริ่มธรรมเนียมการเสด็จออกพระที่นั่งไพศาลทักษิณเพื่อให้เจ้านายและข้าราชการฝ่ายในเฝ้าฯถวายตัวในการบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนการถวายพระพรชัยมงคลของฝ่ายในนั้นกระทำในเวลาเฉลิมพระราชมณเฑียรในพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานองค์ตะวันออก ในการบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ใช้ธรรมเนียมนี้ปฏิบัติต่อมาแต่ยังไม่มีขั้นตอนของการสถาปนาสมเด็จพระบรมราชินี
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวน่าจะเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีสถาปนาพระราชอิสริยยศพระราชวงศ์ฝ่ายในขึ้นเป็นงานท่ามกลางมหาสมาคมแห่งพระราชวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท โดยในปีพุทธศักราช ๒๔๓๙ ได้ทรงสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัครราชเทวีเป็นสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ และเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในระหว่างที่จะเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่างๆในทวีปยุโรปในปีพุทธศักราช ๒๔๔๐ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้อาลักษณ์อ่านประกาศสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถให้ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในระหว่างที่มิได้เสด็จประทับอยู่ในพระราชอาณาจักร จบคำประกาศแล้วได้พระราชทานน้ำพระมหาสังข์ ทรงเจิมพระราชทานสมเด็จพระบรมราชินีนาถ แล้วพระราชทานเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ อย่างไรก็ดีพระราชพิธีสถาปนาครั้งนี้น่าจะมีวัตถุประสงค์เป็นการสถาปนา “ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” มากกว่าการสถาปนาสมเด็จพระอัครมเหสี เพราะสังเกตจากประกาศพระบรมราชโองการสถาปนาแล้วไม่มีข้อความตอนใดเลยที่เน้นว่าพระราชพิธีนี้เป็นการเฉลิมพระยศสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีขึ้นเป็นสมเด็จพระอัครมเหสี แต่เน้นความสำคัญและพระราชกำหนดต่างๆที่พึงปฏิบัติต่อสมเด็จพระบรมราชินีนาถผู้จะทรงสำเร็จราชการแทนพระองค์ นอกจากนั้นหลังขั้นตอนการสถาปนาแล้ว สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรียังต้องทรงกราบบังคมทูลถวายสัตย์ปฏิญาณพระองค์ต่อหน้าพระที่นั่งในการที่จะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ด้วย ยิ่งเป็นการเน้นให้เห็นว่าพระราชพิธีนี้มิใช่พระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระอัครมเหสี
การสถาปนาพระชายาเดิมขึ้นเป็นสมเด็จพระอัครมเหสีนั้นในรัชกาลก่อนๆน่าจะมีเพียงการออกประกาศพระบรมราชโองการและการสร้างเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศพระราชทานเท่านั้น ไม่ได้มีการประกอบพิธีใดๆเป็นทางการเพราะไม่ปรากฏการพระราชพิธีใดๆในเอกสารรัชกาลก่อนๆ ส่วนในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นปรากฏว่าในช่วงบ่ายของวันบรมราชาภิเษกได้เสด็จออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ให้พระราชวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายหน้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล จากนั้นจึงเสด็จฯ ขึ้นพระที่นั่งไพศาลทักษิณ เสด็จออกมหาสมาคมสำหรับพระราชวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายใน โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในฉลองพระองค์เครื่องบรมราชภูษิตาภรณ์ตามโบราณราชประเพณี ทรงพระชฎามหากฐิน เสด็จขึ้นประทับพระที่นั่งภัทรบิฐซึ่งเป็นพระราชบัลลังก์ประจำพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ภายใต้นพปฎลมหาเศวตรฉัตร (พระราชบัลลังก์องค์นี้ในภาคเช้าได้เสด็จประทับรับบรมราชาภิเษก) ในคราวนี้มีธรรมเนียมใหม่เกิดขึ้นคือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทอดพระราชอาสน์สำหรับหม่อมเจ้ารำไพพรรณี พระชายา ไว้ข้างซ้ายพระราชบัลลังก์ เพื่อประทับแยกต่างหากจากพระราชวงศ์ทั้งหลาย เมื่อทั้งสองพระองค์เสด็จออกแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพอ่านประกาศพระบรมราชโองการสถาปนาหม่อมเจ้ารำไพพรรณีพระชายาขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมราชินี จบแล้วหม่อมเจ้ารำไพพรรณีเสด็จจากพระราชอาสน์ไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทหน้าพระที่นั่งภัทรบิฐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานน้ำพระมหาสังข์ทักษิณาวัตรแล้วทรงเจิมพระนลาฏ พระราชทานเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสมเด็จพระบรมราชินี แล้วพระราชทานเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ และเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตน์ราชวราภรณ์แก่สมเด็จพระบรมราชินี แล้วสมเด็จพระบรมราชินีเสด็จกลับไปประทับพระราชอาสน์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตน์กิริฏกุลินี ผู้ทรงกำกับราชการฝ่ายในกราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคลในนามพระราชวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายใน จบแล้วพระราชทานพระราชดำรัสตอบ แล้วเสด็จลุกจากพระที่นั่งภัทรบิฐ สมเด็จพระบรมราชินีทรงประคองขันใส่ดอกพิกุลเงินทองเข้าไปทูลเกล้าฯ ถวายให้ทรงโปรยพระราชทานรายทางเสด็จพระราชดำเนิน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรยดอกพิกุลเงินทองให้พระราชวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายในเก็บเป็นที่ระลึก
ขั้นตอนการสถาปนาสมเด็จพระบรมราชินีในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ ๗ นั้น เป็นขั้นตอนที่เสริมเข้ามาใหม่ โดยน่าจะทรงอนุโลมตามพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ทรงปรับวัตถุประสงค์จากการสถาปนาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการสถาปนาสมเด็จพระอัครมเหสีในท่ามกลางมหาสมาคม ซึ่งอาจจะเป็นพระราชประสงค์ที่จะทรง “ให้เกียรติ” พระภรรยาเจ้าพระองค์เดียวของพระองค์ท่านเป็นการพิเศษ และอาจทรงทรงได้แนวคิดมาจากขั้นตอนการสถาปนาสมเด็จพระบรมราชินีซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญขั้นตอนหนึ่งในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก (Coronation) ของกษัตริย์อังกฤษ ซึ่งมีการอ่านประกาศสถาปนาและการถวายน้ำมันศักดิ์สิทธิ์เพื่อเจิมพระหัตถ์สมเด็จพระบรมราชินีโดยอัครสังฆราชแห่งแคนเทอเบอรี (Archbishop of Canterbury) ซึ่งขั้นตอนต่างๆในการพระราชพิธีนี้เป็นที่ทรงทราบพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งประทับอยู่ในประเทศอังกฤษเป็นเวลานาน และน่าจะมีพระราชประสงค์จะนำมาประยุกต์เข้ากับราชประเพณีโบราณในราชสำนักสยามคือการสถาปนาพระอิสริยยศเจ้านายด้วยการพระราชทานน้ำพระมหาสังข์และทรงเจิม
อีกขั้นตอนหนึ่งของการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่ได้รับการปรับรูปแบบให้เหมาะแก่กาลสมัยและเน้นบทบาทสำคัญของสมเด็จพระบรมราชินีในฐานะ “องค์เอกอัครมเหสี” คือขั้นตอนการเฉลิมพระราชมณเฑียรซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญอีกขั้นตอนหนึ่งในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก คือการนำเสด็จองค์พระมหากษัตริย์เข้าประทับในพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานองค์ตะวันออกซึ่งเป็นพระวิมานบรรทมเป็นวาระแรก ในการนำเสด็จพระราชดำเนินนั้นตามราชประเพณีโบราณกำหนดให้จัดเป็นกระบวนพระราชวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ฝ่ายในเชิญเครื่องบรมราชูปโภคและสิ่งของมงคลเครื่องเฉลิมพระราชมณเฑียรนำเสด็จพระราชดำเนินประทักษิณพระมหามณเฑียรรอบหนึ่งแล้วนำเสด็จพระราชดำเนินเข้าไปประกอบพระราชพิธีในพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานองค์ตะวันออก ซึ่ง ณ ที่นั้นพระราชวงศ์ฝ่ายในซึ่งสูงพระชนมายุได้ทรงลาดที่พระบรรทมบนพระแท่นราชบรรจถรณ์ถวายไว้แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นประทับบนพระแท่นราชบรรจถรณ์ ทรงรับเครื่องมงคลสำหรับเฉลิมพระราชมณเฑียรจากท้าวนางผู้ใหญ่ มีกุญแจทอง จั่นหมากทองคำ และพระแส้หางช้างเผือก แล้วทรงเอนพระองค์ลงบรรทมเป็นปฐมฤกษ์ ชาวพนักงานประโคมฆ้องชัย สังข์ แตร ดุริยางค์ จากนั้นพระราชวงศ์ฝ่ายในผู้สูงพระชนมายุนำถวายพระพรชัยมงคล เป็นเสร็จการ ในการเฉลิมพระราชมณเฑียรที่เกิดขึ้นในรัชกาลก่อนๆนั้นก็ไม่ปรากฏว่าสมเด็จพระอัครมเหสีหรือพระภรรยาเจ้าพระองค์ใดที่มีฐานะสูงสุดจะได้รับพระบรมราชานุญาตให้ร่วมพระราชพิธีด้วย แต่ในการบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น เป็นครั้งแรกที่สมเด็จพระบรมราชินีโดยเสด็จพระราชดำเนินในกระบวนเฉลิมพระราชมณเฑียรด้วย โดยทรงประคองขันทรงโปรยบรรจุดอกพิกุลเงินทอง เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรยพระราชทานพระราชวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายในตามรายทางที่ทรงพระดำเนิน และเป็นครั้งแรกที่ใช้พระราชวงศ์ฝ่ายในชั้นพระองค์เจ้าและหม่อมเจ้าล้วนๆ ซึ่งยังมิได้ทรงเสกสมรส ตั้งกระบวนเชิญเครื่องบรมราชูปโภคและเครื่องเฉลิมพระราชมณเฑียรนำเสด็จพระราชดำเนินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินี
ในงานพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร ซึ่งเป็นงานขั้นสุดท้ายของงานบรมราชาภิเษกนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลือกพระองค์เจ้าและหม่อมเจ้าหญิงสาวๆ ๑๖ องค์ ให้เป็นผู้เชิญพระแสงเครื่องยศ และเครื่องที่ต้องใช้ในพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียรนั้น เดินเป็นขบวนตามเสด็จจากพระที่นั่งพิมานรัตยาไปยังพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานอันเป็นที่ประกอบพระราชพิธี โดยมีสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีเสด็จพระราชดำเนินไปหน้าขบวน ทรงถือขันทองใส่ดอกพิกุลทอง-เงิน และทรงโปรยดอกพิกุลนี้ไปตลอดทางระหว่างผู้ที่นั่งเฝ้าชมพระบารมีอยู่เนืองแน่น พระองค์เจ้าและหม่อมเจ้าหญิงทั้งหลายนี้เป็นพระราชนัดดาในรัชกาลที่ ๔ บ้าง ในรัชกาลที่ ๕ บ้าง ต่อมาทั้ง ๑๖ พระองค์นี้ได้รับพระราชทานเสมาทองคำห้อยคอ มีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เป็นรูปนูนอยู่ตรงกลาง นับเป็นเกียรติยศพิเศษอย่างหนึ่ง๓
การเฉลิมพระราชมณเฑียรของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นดังสัญลักษณ์แสดงให้เห็นว่าทรงยืนยันพระราชสถานะของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีเป็น “เอกอัครมเหสี” และการเฉลิมพระราชมณเฑียรครั้งนี้เป็นการที่ทั้งสองพระองค์ทรงเฉลิมพระราชมณเฑียรคู่กันในฐานะ “พระราชาและพระราชินี” อันเป็นแนวคิดการครองคู่ของพระมหากษัตริย์ในแบบสากล มิใช่การเฉลิมพระราชมณเฑียรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพียงพระองค์เดียวดังเช่นในสมัยจารีต
“วิถีใหม่” ในการปรับรูปแบบของพระราชพิธีบรมราชาภิเษกบางขั้นตอนให้เหมาะสมแก่กาลสมัยทั้งขั้นตอนการสถาปนาสมเด็จพระบรมราชินีและการเฉลิมพระราชมณเฑียรนั้นได้รับการถ่ายทอดไปปฏิบัติทั้งหมดในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ด้วยขั้นตอนที่เหมือนกันทุกประการกับการสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีก็ได้ทรงประคองขันทรงโปรยบรรจุดอกพิกุลเงินทองโดยเสด็จพระราชดำเนินในกระบวนเฉลิมพระราชมณเฑียรซึ่งประกอบด้วยพระราชวงศ์ฝ่ายในชั้นหม่อมเจ้าและราชนิกุลชั้นหม่อมราชวงศ์ ผู้ที่ทรงเป็นผู้อำนวยการขั้นตอนที่สำคัญสองขั้นตอนนี้ คือการฝึกซ้อมการรับพระราชทานสถาปนาพระอิสริยยศให้แก่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร การคัดเลือกพระราชวงศ์และราชนิกุลฝ่ายในที่จะเข้ากระบวนเฉลิมพระราชมณเฑียร รวมทั้งอำนวยการฝึกซ้อมการเฉลิมพระราชมณเฑียรด้วยนั้นก็หาใช่ผู้อื่นใดไม่นอกจากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ สมเด็จพระบรมราชินีพระองค์แรกของกรุงรัตนโกสินทร์ผู้ทรงเข้าพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระบรมราชินี และพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียรตาม “วิถีใหม่” ของการปรับรูปแบบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
นอกเหนือจากการเฉลิมพระราชมณเฑียรแล้ว “วิถีใหม่” อีกวิถีหนึ่งที่เกิดขึ้นในการ พระราชพิธีบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ ๗ คือ การทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะทูตานุทูตต่างประเทศเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคลภายหลังวันบรมราชาภิเษก อันเป็นธรรมเนียมพิธีการทูตตามแบบสากล ที่คณะทูตประเทศต่างๆจะพร้อมเพรียงกันมาแสดงความยินดีต่อประมุขของรัฐที่ตนมาประจำการอยู่ในโอกาสอันสำคัญต่างๆในระดับชาติ การนี้ได้เสด็จออกเป็นการมหาสมาคม ณ ท้องพระโรงกลางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในวโรกาสนี้ได้มีคณะทูตบางประเทศเฝ้าฯ ถวายพระราชสาส์นและสาส์นแสดงความยินดี รวมทั้งเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากสมเด็จพระราชาธิบดี สมเด็จพระราชินีนาถ และประธานาธิบดีของประเทศเหล่านั้นด้วย การเสด็จออกให้คณะทูตเฝ้าฯนี้ก็ได้กลายมาเป็นวิถีปฏิบัติในการบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันด้วยเช่นกัน
การเสด็จออกมหาสมาคมเพื่อทรงรับการถวายชัยมงคลอีกประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวคือการเสด็จออกสีหบัญชร (Balcony) พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีเพื่อทรงรับการถวายชัยมงคลของราษฎรที่เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่ในท้องสนามหน้าองค์พระที่นั่ง การปรากฏพระองค์ทางพระระเบียงหรือพระบัญชรพระที่นั่งของ “พระคู่ขวัญ” เพื่อให้ราษฎรที่มาชุมนุมกันอยู่ได้เฝ้าฯชมพระบารมีนั้นได้ทรงปฏิบัติอีกหลายครั้งในรัชกาลนี้ โดยเฉพาะในโอกาสเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในส่วนภูมิภาค การเสด็จออกให้ราษฎรเฝ้าฯทางสีหบัญชรนี้เป็นราชประเพณีที่ปฏิบัติอยู่เป็นประจำในราชสำนักของทวีปยุโรป ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญในรอบปีที่ประชาชนจะมีโอกาสได้เห็นประมุขของรัฐปรากฏพระองค์ต่อหน้าประชุมชน ทั้งยังเป็นตัวชี้วัดความจงรักภักดีและแรงสนับสนุนที่ประชาชนในประเทศนั้นมีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีน่าจะทรงประยุกต์ราชประเพณีแบบราชสำนักยุโรปเรื่องการเสด็จออกพระบัญชรให้ราษฎรเฝ้าฯชมพระบารมีให้เข้ากับวิถีแบบไทย ซึ่งต้องนับว่าเป็นวิถีปฏิบัติที่ใหม่มากเมื่อเทียบกับคตินิยมแบบไทยในการปรากฏพระองค์ขององค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นสมมติเทพต่อหน้าประชุมชนเรือนพันเรือนหมื่นโดยปราศจากรูปแบบของโบราณคติที่จะแสดงพระองค์เป็น “เทวะ” ดังเช่นการเสด็จออกมหาสมาคมในท้องพระโรงพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยหรือการเสด็จออกมุจเด็จพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทซึ่งถือเป็นการเสด็จออกขององค์สมมติเทพเพียงพระองค์เดียว การเสด็จออกพระบัญชรให้ประชาชนเฝ้าฯในรูปแบบใหม่นี้นับว่าเป็นอุบายอันหนึ่งซึ่งทำให้ประชาชนมีโอกาสได้เห็นพระองค์พระมหากษัตริย์และสมเด็จพระบรมราชินีพร้อมกันในสภาพที่เป็น “สามัญมนุษย์” การที่ทั้งสองพระองค์ทรงสามารถโบกพระหัตถ์ทักทายประชาชนที่อยู่เบื้องล่างนั้นเป็นการแสดงสัญลักษณ์ของความเป็นกันเองขององค์พระมหากษัตริย์กับประชาชนพลเมือง ซึ่งสัญลักษณ์ดังกล่าวนับเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งในการที่จะทรงสามารถเข้าถึงจิตใจของประชาชนกลุ่มใหญ่ได้ การเสด็จออกให้ประชาชนเฝ้าฯทางพระบัญชรนี้ได้กลายมาเป็นราชประเพณีปฏิบัติสืบมาในรัชกาลปัจจุบันด้วย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น