ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

หนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก : จากพระราชดำริพระปกเกล้าฯสู่ปัจจุบัน


พระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 7 ตอนทรงผนวช และเคยทรงได้รับรางวัลการประกวดเรียงความกระทู้ธรรม
ขอบคุณภาพจากห้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มสธ.

 โดย ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร
(ตีพิมพ์ครั้งแรกในรายงานกิจการประจำปี 2549 มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี)

          พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์เผยแพร่หนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กเป็นครั้งแรกเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๗๑ เพื่อพระราชทานในงานพระราชกุศลวิสาขบูชา และที่สำคัญคือพระองค์ทรงพระราชนิพนธ์คำนำในหนังสือดังกล่าวด้วยพระองค์เอง นับแต่เล่มแรก คือหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กเรื่องพุทธมามกะ (๒๔๗๑) ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระอุปัชฌาย์ จนถึงเล่มที่ ๖ คือหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก เรื่องทิฏฐธรรมิกัตถะประโยชน์ ๔ ประการ (๒๔๗๖) ของนายจั๊บ อึ๊งประทีป ครูโรงเรียนมัธยมหอวัง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นปีที่ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังทวีปยุโรปเพื่อทรงเจริญพระราชไมตรีและไปรักษาพระเนตร จนถึงทรงสละราชสมบัติเมื่อปีพ.ศ. ๒๔๗๗

“พุทธมามกะ” กับแรงบันดาลพระทัยในการจัดพิมพ์หนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก

พระราชกรณียกิจข้างต้นนับเป็นพระราชกุศลจริยาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มให้มีขึ้น เพื่อเป็นกิจกรรมส่งเสริมเผยแผ่พระพุทธศาสนา ดังปรากฏในพระราชนิพนธ์คำนำ ตอนหนึ่งว่า

“...การที่ข้าพเจ้าได้ให้จัดพิมพ์หนังสือนี้ขึ้นคราวนี้ก็โดยที่ข้าพเจ้าระลึกถึงเมื่อเวลาที่ข้าพเจ้าบวชอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร เสด็จอุปัชฌาย์เคยประทานโอกาสให้ข้าพเจ้ากราบทูลความเห็นของข้าพเจ้าในเรื่องสาสนาต่างๆ ตามใจนึกเป็นเนืองนิตย์ ข้าพเจ้าเคยกราบทูลแก่ท่านว่า ข้าพเจ้าเห็นว่าพระพุทธสาสนานั้นเป็นสาสนาที่ดีเยี่ยมและน่าเลื่อมใสที่สุดก็จริง แต่เป็นสาสนาที่

ทำการเผยแผ่น้อยมากและวิธีสั่งสอนก็สู้เขาไม่ได้…”

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้องพระราชประสงค์ชัดเจนในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ด้วยเหตุที่ทรงตระหนักถึงปัญหาความตกต่ำทางจริยศึกษาและศาสนศึกษาในหมู่เยาวชนไทยกว่า ๗๐ปีมาแล้ว โดยทรงวิเคราะห์ถึงสาเหตุของปัญหาไว้ดังนี้

“ …การสอนเด็กต้องนับว่าบกพร่องที่สุด เมื่อก่อนนี้ยายแก่หรือพี่เลี้ยงในบ้านก็ได้พยายามสอนบ้างอย่างงูๆ ปลาๆ ครั้นมาบัดนี้ต้องนับว่ากลับซุดโซมลงไปอีก เพราะการสอนในบ้านก็เกือบจะไม่มี การสอนในวัดก็น้อยลง เพราะมีโรงเรียนอื่นๆแทนพระสอนหนังสือ ตามโรงเรียนก็หาได้สอนสาสนาอย่างจริงจังไม่ จนเด็กที่สวดมนต์ได้มีน้อยที่สุด ไหว้พระไม่เป็นก็มี...”

ในปัจจุบัน ภาวะวิกฤตทางจริยธรรมในสังคมไทยมีความรุนแรงยิ่งกว่าสมัยของพระองค์หลายเท่านัก ทั้งผู้ใหญ่ เด็กและเยาวชนไทยต่างหมกหมุ่นอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ห่างไกลจากพระพุทธ

ศาสนามากจนน่าเป็นห่วง มีคดีฆ่า ข่มขืน คดียาเสพติด การพนันและปัญหาอาชญากรรมสืบเนื่องมากมาย ดังปรากฏเป็นข่าวในสื่อมวลชนแทบไม่เว้นวัน ดังนั้นการย้อนกลับไปพิจารณาถึงพระราชกุศลจริยาในการที่โปรดเกล้าให้เผยแพร่พระพุทธศาสนาโดยการจัดพิมพ์หนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กจึงน่าจะให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่งต่อเยาวชนในสังคมไทย



สถานภาพของการศึกษาที่ผ่านมา

หนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พิมพ์พระราชทานในงานพระราชกุศลวิสาขบูชา ระหว่างปีพ.ศ. ๒๔๗๑ -๒๔๗๗ มีการรื้อฟื้นมาตีพิมพ์ซ้ำ และอ้างอิงถึงในบทความต่างๆ ดังนี้

๑) ประมวลหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดพิมพ์เป็นที่ระลึกครบรอบ ๑๐๐ ปี แห่งพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ในพิธีเปิดอาคาร ประชาธิปก-รำไพพรรณี วันพฤหัสบดีที่ ๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗ ข้อดีของการตีพิมพ์ครั้งนี้คือ การนำหนังสือสอนพระพุทธศาสนาในรัชสมัยของพระองค์มาตีพิมพ์รวมเล่มอีกครั้งในคราวเดียวกัน ส่วนข้อด้อยคือ ไม่สามารถเผยแพร่สู่สาธารณชนได้อย่างกว้างขวางพิมพ์เพียง ๓๐๐ เล่ม

๒) บทความในวารสารไทย ปีที่ ๒๑ ฉ.๗๔ เรื่อง “พุทธมามกะพิธี : พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว” โดย ท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา ได้ยกพระราชนิพนธ์คำนำของหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กเรื่องพุทธมามกะมาแสดง โดยระบุว่าสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระวชิรญาณวโรรสได้เคยทรงพระนิพนธ์หนังสือ ”พุทธมามกะ”มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ในบทความ “พุทธมามกะพิธี” ท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา ได้อัญเชิญพระราชนิพนธ์คำนำของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กเรื่องพุทธมามกะมาแสดงทั้งหมดในบทความ ซึ่งอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจสับสนว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นมาใหม่อีกเล่มหนึ่งต่างหากได้

๓) บทความในวารสารศิลปกรรมปริทรรศน์ ปีที่ ๑๐ ฉ. ๑ (ส.ค. ๒๕๓๘) เรื่อง “ หนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก” โดย พันเอก(พิเศษ) วัชระ คงอดิศักดิ์ ภาคีสมาชิกสำนักศิลปกรรม ราชบัณฑิตยสถาน ข้อดีของบทความนี้คือ ให้ข้อมูลประวัติของหนังสือและข้อเสนอแนะแต่ยังขาดการนำเสนอเนื้อหาอันทรงคุณค่าในพระราชนิพนธ์คำนำมาวิเคราะห์อย่างเหมาะสมเพียงพอ

๔) บทความในวารสารศิลปากร ปีที่ ๔๖ ฉ.๓ (พ.ค.-มิ.ย.๒๕๔๖) เรื่อง “หนังสือสอนพระพุทธศาสนาสำหรับเด็ก” โดยลำดวน เทียรฆนิธิกุล บรรณารักษ์ ๗ สำนักหอสมุดแห่งชาติ มีเนื้อหาคล้ายคลึงกับบทความของพันเอกวัชระ คงอดิศักดิ์ และได้เพิ่มรายชื่อหนังสือที่ได้รับรางวัลในแต่ละปี แต่ก็ยังคงขาดการวิเคราะห์เนื้อหาในพระราชนิพนธ์คำนำเช่นเดียวกัน

๕) เอกสารประกอบการสัมมนาวันอาทิตย์ที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๔๘ ณ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง “ หนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กเนื่องในวันวิสาขบูชา” โดย รศ. ม.ร.ว พฤทธิสาณ ชุมพล ข้อดีมีการนำพระราชนิพนธ์คำนำมาวิเคราะห์บ้างแล้ว แต่ยังไม่ครบทุกเล่มเพราะเป็นส่วนประกอบของการสัมมนาวิชาการ เรื่องการส่งเสริมพระพุทธศาสนาและประชาธิปไตย

         วรรณกรรมข้างต้นที่กล่าวถึง ส่วนหนึ่งมีลักษณะเป็นเอกสารที่รวบรวมหนังสือเก่ามาตีพิมพ์ใหม่เพื่อรักษาของเก่าเอาไว้มิให้สูญหาย ส่วนหนึ่งเป็นบทความเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว อีกส่วนหนึ่งเป็นบทความที่มุ่งกล่าวถึงความเป็นมาและคุณค่าของหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กจากอดีตจนถึงปัจจุบัน

          สำหรับบทความชิ้นนี้ ผู้เขียนมุ่งที่จะอธิบายบทพระราชนิพนธ์คำนำของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก เฉพาะเล่มที่ตีพิมพ์ขึ้นในรัชสมัยของพระองค์เท่านั้น เพื่อขยายองค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับพระปกเกล้าศึกษาในด้านการสนับสนุนและเผยแพร่การสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก เพื่อชี้ให้เห็นถึงพระราชศรัทธา พระมหากรุณาธิคุณและพระราชวิสัยทัศน์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มีต่อพระพุทธศาสนาและพสกนิกรของพระองค์

การเริ่มต้นประกวดแต่งหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก : กรอบโครงและหลักเกณฑ์

          เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานหนังสือพุทธมามกะแก่คณะองคมนตรี เสนาบดี ข้าราชบริพาร และบุคคลผู้สนใจอื่นๆ ปรากฏว่ามีผู้สนใจอนุโมทนาพระราชดำริของพระองค์เป็นอันมาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ราชบัณฑิตยสภาดำเนินการจัด

ประกวดแต่งหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กขึ้น โดยทรงพระราชทานกรอบโครงในการจัดประกวดดังนี้

“... หนังสือสำหรับสอนพระสาสนาแก่เด็ก กระบวนแต่งต้องให้เหมาะแก่อายุ ทั้งถ้อยคำและเรื่องก็ให้พอแก่ความสามารถของเด็กจะเข้าใจได้จึ่งจะสมควรแก่การ มิใช่แต่ว่าเป็นนักปราชญ

แล้วจะสามารถแต่งหนังสือเช่นนั้นได้จึ่งมีพระราชดำริสั่งราชบัณฑิตยสภาให้ประกาศการประกวด

แต่งหนังสือสอนพระพุทธสาสนาแก่เด็ก สำหรับจะได้เลือกที่ตีพิมพ์พระราชทานในวันวิศาขบูชา

โดยข้อบังคับการประกวดดังกล่าวต่อไปนี้

ข้อ ๑ ใครๆ (นอกจากเป็นพนักงานตัดสิน) จะแต่งก็ได้ แต่กำหนดให้ส่งเข้าประกวดปี

หนึ่งเพียงคนละเรื่อง

ข้อ ๒ ให้ส่งหนังสือประกวดยังราชบัณฑิตสภาในระวางพรรษกาล คือ ตั้งแต่วันเข้าพระ

วรรษาเป็นที่สุด

ข้อ ๓ ขนาดหนังสือที่ส่งเข้าประกวดนั้นว่าโดยกำหนดพิมพ์ดีดในกระดาษฟลุสแคปหน้า

ละ ๒๐ บรรทัดเป็นเกณฑ์ ให้มีจำนวนอยู่ในระหว่างตั้งแต่ ๒๕ หน้าเป็นอย่างน้อยจนถึง ๓๐ หน้า

เป็นอย่างมากและฉะบับที่ส่งเข้าประกวดนั้นจะดีดพิมพ์หรือจะเขียนตัวบรรจงก็ได้

ข้อ ๔ ต้องแต่งเป็นภาษาไทยและอธิบายความให้ง่ายพอเด็กขนาดอายุ ๑๐ ขวบ

อ่านเข้าใจความได้

ข้อ ๕ เรื่องที่แต่งให้เป็นการสอนพระพุทธสาสนาตามหลักในพระไตรปิฎก และมิให้

กล่าวอธิบายความย่ำยีสาสนาอื่น...”

สำหรับกระบวนการพิจารณานั้น หนังสือราชกิจจานุเบกษาระบุว่า“ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ราชบัณฑิตสภาเป็นพนักงานตรวจตัดสินตามวิธีซึ่งเห็นสมควร แล้วตัดสินตามวิธีซึ่งเห็นสมควร แล้วคัดที่ดีที่สุดขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ๓ ราย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดรายใดยิ่งกว่าเพื่อน จะทรงเลือกพิมพ์เป็นหนังสือพระราชทานในวันวิศาขบูชา และจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานรางวัลที่ ๑ ราคา ๒๐๐ บาท แก่ผู้แต่ง อีก ๒ ราย ที่รองลงมานั้นจะพระราชทานรางวัลที่ ๒ ราคารายละ ๑๐๐ บาท แล้วส่งหนังสือไปยังกระทรวงธรรมการ


หนังสือสาสนคุณ

"สาสนคุณ” พระนิพนธ์พระธิดาขององค์นายกราชบัณฑิตยสภาได้รับรางวัลที่ ๑ จากการประกวดหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กครั้งแรก

          การประกวดหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กครั้งแรกในปีพ.ศ.๒๔๗๒ มีผู้ส่งผลงานเข้าประกวด ๒๔ ราย จำแนกเป็นพระภิกษุ ๕ รูป บุคคลทั่วไปชาย ๑๖ คน บุคคลทั่วไปหญิง ๓ คน หญิงหนึ่งในสามคนนั้น คือ หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล

หนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กเรื่องแรกที่ได้รับคัดเลือกให้รับพระราชทานรางวัลที่ ๑ คือ หนังสือเรื่องสาสนคุณ พระนิพนธ์ของหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล เนื้อหาแบ่งออกเป็น ๗ บท คือ บทที่ ๑ คุณพระพุทธเจ้า บทที่ ๒ คุณพระธรรม บทที่ ๓ คุณพระสงฆ์ บทที่ ๔ ศีลห้า บทที่ ๕ คุณบุรพการี บทที่ ๖ คุณของศาสนา และบทที่ ๗ คุณพระมหากษัตริย์ พร้อมคำถามประจำแต่ละบท รวม ๖๗ หน้า มีสำนวนอ่านเข้าใจง่ายเหมาะสำหรับเด็ก

หลักฐานเอกสารของหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ผู้นิพนธ์หนังสือสอนศาสนาแก่เด็กเรื่องสาสนคุณ ทรงอธิบายไว้ว่า

“...ส่วนรางวัลเรื่องสอนเด็ก, เผอิญข้าพเจ้าเขียนไว้ให้หลานๆอ่านในวันเสาร์วันอาทิตย์ว่า เราไหว้พระทำไมอยู่แล้ว ๙ -๑๐ หน้า พอประกาศชิงรางวัลออกมาก็เลยเขียนต่อให้ครบตามกำหนด จึงส่งเข้าประกวดได้เร็วทันเป็น No.๒ . เมื่อส่งแล้วก็ไม่ได้นึกว่าจะได้รางวัลนั้น, เป็นแต่ไม่สนุกที่ต้องปิดเสด็จพ่อ, เพราะท่านเป็นนายกกรรมการ ข้าพเจ้ารู้สึกอึดอัดด้วยไม่เคยทำเช่นนั้น จวนจะถึงวันตัดสินชี้ขาดว่าใครควรจะได้ที่ ๑ เขาก็ส่งมาแจกตามกรรมการใหญ่ ๓ ฉะบับที่อนุกรรมการเลือกขึ้นเสนอ. เสด็จพ่อทรงแล้วสรงน้ำมาเสวยเย็นกับลูกๆที่ข้างล่าง พอถึงโต๊ะท่านก็เล่าว่าตรวจหนังสือเด็กเพิ่งจบ แล้วตรัสต่อไปว่า’ใครหนอเขียน No ๒?’ เขาช่างร่อนมาให้เด็กเข้าใจดีจริงๆ พ่อตกลงใจให้ No.๒ เป็นที่ ๑ ข้าพเจ้ามือเย็นใจเต้นจนไม่รู้จะทำอย่างไร ... ข้าพเจ้าตื่นเต้นจนรู้สึกกลัวเสด็จพ่อ เหมือนเด็กที่ขโมยขนมกิน …”

จากบันทึกเรื่องสิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็นของหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุลข้างต้น ชี้ให้เห็นว่าการตัดสินการประกวดหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กในสมัยนั้นมีความเที่ยงตรงอยู่พอควร เพราะนายกกรรมการผู้ตัดสินไม่ทราบมาก่อนว่าใครบ้างป็นผู้แต่งส่งเข้าประกวด

พระราชนิพนธ์คำนำของรัชกาลที่ ๗ ในหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก “สาสนคุณ”

           พระราชนิพนธ์คำนำของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหนังสือสาสนคุณมีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง” วัฏฏะสงสาร” และ “กรรม” ดังนี้

“... วัฎฎะสงสาร และกรรมนี้เป็นความเชื่อที่เก่ากว่าพระพุทธสาสนา และเป็นของพราหมณ์ก็จริง แต่เป็นหลักสำคัญของพระพุทธสาสนา เพราะหนทางปฏิบัติของพระพุทธสาสนาก็เพื่อให้พ้นจากวัฏฏะสงสารอันเป็นความทุกข์ แต่สิ่งที่ดีประเสริฐยิ่งนั้นคือความเชื่อใน “กรรม” …ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นของประเสริฐยิ่ง ควรเพาะให้มีขึ้นในใจของคนทุกคน และถ้าคนทั้งโลกเชื่อมั่นใน “กรรม”แล้ว ข้าพเจ้าเชื่อว่า มนุสส์ในโลกจะได้รับความสุขใจขึ้นมาก ความเชื่อในกรรมนี้ไม่ใช่ความเชื่ออย่าง “Fatalist” และ.ไม่ควรจะเป็นอย่างที่เรียกกันว่า “แล้วแต่บุญแต่กรรม” เลยตรงกันข้ามควรจะเป็นสิ่งที่จะทำให้คนขวนขวายทำแต่กรรมดีโดยหวังผลที่ดี...เราเห็นได้ง่ายๆว่า ความผิดของเรานั้นได้รับผลทันที อย่างที่เรียกว่า ‘ กรรมตามทัน’ ...นอกจากนี้ควรสอนให้เด็กเคารพต่อ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ …”

พระบรมราโชบายข้างต้น แสดงให้เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเชื่อในคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรื่องกฎแห่งกรรม และต้องพระประสงค์จะให้ประชาชนของพระองค์เชื่อมั่นเช่นนั้นด้วย


“อริยทรัพย์” ผลงานชนะเลิศของกรรมการราชบัณฑิตยสภาผู้ปฏิเสธการรับพระราชทานรางวัลอันทรงเกียรติ

           หนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก เรื่องต่อมาที่ได้รับรางวัลในปีพุทธศักราช ๒๔๗๓ คือ “อริยทรัพย์”

“อริยทรัพย์” สำนวนของพระพินิจวรรณการ (แสง สาลิตุล) ศาสตราจารย์ภาษาไทยและภาษาบาลีในราชบัณฑิตยสภาเป็นผู้แต่ง ได้รับพระราชทานรางวัลที่ ๑ เนื้อหาแบ่งออกเป็นอริยทรัพย์หรือทรัพย์อันประเสริฐ ๗ ข้อ ได้แก่ ความเชื่อ ศีล ความอาย ความกลัว การฟัง การให้ และปัญญา

การประกวดหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กครั้งที่ ๒ ในพุทธศักราช ๒๔๗๓ นี้ มีผู้แต่งหนังสือเข้ามา ๑๓ สำนวน แต่คณะอนุกรรมการราชบัณฑิตยสภา ซึ่งประกอบด้วยพระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ หม่อมเจ้าพร้อม ลดาวัลย์ และเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีตรวจแล้วเห็นว่าใช้ไม่ได้ เพราะรูปความซ้ำกับหนังสือซึ่งพิมพ์ แล้วต่างกันแต่ถ้อยคำ จึงประกาศออกไปใหม่ให้แต่งหมวดธรรมที่เรียกว่า “อริยทรัพย์”ครั้งนี้มีผู้แต่งส่งมา ๓๐ สำนวน คณะอนุกรรมการตรวจแล้วเห็นว่าใช้ได้สำนวนเดียว คือ สำนวนของพระพินิจวรรณการ ในการนี้พระพินิจวรรณการเกรงจะมีเสียงติเตียนว่าราชบัณฑิตยสภาแต่งเอง จึงขอพระราชทานทูลเกล้าฯ ถวายเป็นส่วนช่วยในพระราชกุศล ไม่รับพระราชทานรางวัล

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชาธิบายเกี่ยวกับเรื่องความเข้าใจสับสนนี้ว่า “ข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้าเป็นต้นเหตุอยู่บ้าง คือในคำนำหนังสือเล่มก่อนเรื่อง “สาสนคุณ” ที่ได้รับรางวัลนั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ว่า’ หนังสือเล่มนั้นเป็นตัวอย่างของหนังสือที่ต้องการ’ ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ที่ส่งเข้าประกวดในปีนี้จึ่งแต่งเรื่องส่งขึ้นมาเป็นแบบเดียวกับหนังสือ ‘สาสนคุณ’ ทั้งหมด กรรมการผู้ตัดสินเห็นว่าเป็นหนังสือที่ซ้ำกันไป ไม่ควรได้รางวัล จึ่งเป็นอันประกาศให้ประกวดกันใหม่ ยกธรรมข้อหนึ่งให้บรรยาย การที่ข้าพเจ้ากล่าวว่าหนังสือ ‘สาสนคุณ’เป็นตัวอย่างนั้นมิได้หมายความว่าต้องการแต่งฉะเพาะหนังสือเรื่องนั้น ข้าพเจ้าหมายถึงวิธีแต่งที่เข้าใจง่ายอย่างนั้น ส่วนเนื้อเรื่องนั้นย่อมควรยักย้ายไปต่างๆ จึ่งจะเป็นประโยชน์...”

กรณีดังกล่าวข้างต้นเป็นที่น่าสนใจและน่าชื่นชมในความเป็นสุภาพบุรุษของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่กล่าวถึงในพระราชนิพนธ์คำนำถึงสาเหตุแห่งความเข้าใจผิด ส่วนคณะกรรมการจัดการประกวดแต่งหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กในสมัยนั้นก็มีจริยธรรมในการดำเนินงานโดยไม่รับพระราชทานรางวัล

เด็กควรรู้ภาษาบาลี : พระราชกระแสรัชกาลที่ ๗ ในพระราชนิพนธ์เรื่องอริยทรัพย์

           พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานข้อคิดเห็นในการสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กในพระราชนิพนธ์คำนำหนังสืออริยทรัพย์ ความว่า

“...ปัญหาอันหนึ่งซึ่งผู้แต่งหนังสือสอนเด็กคงจะต้องถามตนเอง คือจะควรใช้ศัพท์บาลีบ้างหรือไม่เพียงไร ในข้อนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าจำต้องใช้ เพราะจะต้องสอนให้เด็กรู้จักศัพท์เหล่านั้นด้วย จะแปลออกเป็นไทยทั้งหมดอาจเป็นการบกพร่องในทางสอนอย่างหนึ่งก็ได้ เพราะการใช้ศัพท์เป็นของสะดวก ไม่ว่าวิชชาใดๆก็ต้องมีศัพท์พิเศษสำหรับวิชชานั้น...การสอนพระพุทธศาสนาก็จำเป็นที่จะต้องสอนให้เด็กรู้จักศัพท์ที่ใช้ในพระพุทธศาสนาเสียให้ซึมซาบด้วย จึ่งควรใช้ แต่ต้องอธิบายให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง...”

ข้อความดังกล่าวสะท้อนให้เห็นพระราชบุคลิกภาพความเป็น “ครู” ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เป็นอย่างดี


ทิศ ๖ : เกียรติยศ หน้าที่ การรู้จักตนเองและผู้อื่นอย่างถูกกาละเทศะ

            การประกวดหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กในปีพุทธศักราช ๒๔๗๔ มีผู้แต่งเรื่องประกวดทั้งสิ้น ๑๔ สำนวน เป็นพระภิกษุ ๓ รูป บุคคลทั่วไปชาย ๑๐ คน และหญิงมีเพียง ๑ คน

เรื่อง ทิศ ๖ (๒๔๗๔)ของพระครูวิจิตรธรรมคุณ(วาศน์ นิลประภา) เนื้อหาแบ่งออกเป็น ๖ ทิศได้แก่ ปุรัตถิมะทิศคือ ทิศเบื้องหน้าหรือทิศตะวันออก หมายถึง บิดามารดา ทักษิณะทิศเบื้องขวาคือ ทิศใต้ หมายถึงครูอาจารย์ ปัจฉิมะทิศแปลว่าทิศเบื้องหลังหรือทิศตะวันตก คือสามีภรรยา อุตตระทิศแปลว่าทิศเหนือ คือเพื่อน และอุปริมะทิศแปลว่าทิศเบื้องบนคือภิกษุสามเณร ส่วนเหฏฐิมะทิศหมายถึง ทิศเบื้องต่ำคือบ่าวไพร่

หนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กเรื่องทิศ ๖ ซึ่งรัชกาลที่ ๗ โปรดเกล้าฯให้พิมพ์เพื่อพระราชทานในวันวิสาขบูชา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๗๔ ปรากฏพระราชนิพนธ์คำนำของพระองค์ท่าน ซึ่งน่าสนใจมาก ดังนี้

พระราชนิพนธ์คำนำเรื่องทิศ ๖ ตอนหนึ่ง ทรงเน้นว่า “อยากจะขอวิงวอนอาราธนาพระภิกษุสงฆ์ให้เอาธุระในการที่แนะนำสั่งสอนเด็ก ๆ ให้มาก เพราะการภายหน้าประเทศย่อมอยู่ในมือของเด็กที่เรากำลังอบรมอยู่ในเวลานี้ ถ้าเราอบรมดีให้อยู่ในศีลธรรมอันดี เราก็อาจมั่นใจในความเจริญและความมั่นคงของประเทศในภายหน้า” พระบรมราโชบายประการนี้ ดูเหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก ทั้งนี้อาจมีสาเหตุเนื่องมาจากว่ารัฐบาลได้แยกโรงเรียนออกมาจากวัดนานแล้วก็เป็นได้ ทำให้พระภิกษุมีโอกาสน้อยในการสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก แต่พระราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวยังใช้ได้ในสมัยปัจจุบัน

อีกประเด็นหนึ่งในพระราชนิพนธ์คำนำเรื่องทิศ ๖ ปรากฏข้อความวิจารณ์แนวคิดของคาร์ล มาร์กซ เกี่ยวกับหน้าที่หรือบทบาทของศาสนา พร้อมทั้งทรงเสนอข้อคิดเห็นของพระองค์ประกอบไว้ดังนี้

“มีบุคคลบางจำพวกเช่นพวกบอลเชวิก กล่าวว่า “ศาสนานั้น คือฝิ่นสำหรับประชาชน”คือหาว่าทำให้โง่มึนและงมงายต่างๆ การสอนศาสนาในทางที่ผิด บางทีจะมีผลเช่นนั้นได้จริงแต่ถ้าสอนให้ถูกทาง ศาสนาจะเป็นยาบำรุงกำลังบำรุงน้ำใจให้ทนความลำบากได้ ให้มีแรงที่จะทำการงานของตนเป็นผลสำเร็จได้ และยังเป็นยาที่จะสมานหัวใจให้หายเจ็บปวดในยามทุกข์ได้ด้วยอันที่จริงฝิ่นนั้นเมื่อใช้ถูกทางก็เป็นยาที่สำคัญเหมือนกัน อาจจะระงับทุกขเวทนาได้มาก พวกเราทุกๆคนควรพยายามให้เด็กๆ ลูกหลานของเรามียา สำคัญ คือ คำสั่งสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าติดตัวไว้เป็นกำลัง เพราะ “ยา” อย่างนี้เป็นทั้ง “ยาบำรุงกำลัง” และ “ยาสมานหรือระงับความเจ็บปวด”

“ อบายมุข ๖” : ความคึกคักของการประกวดหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก ก่อนการปฏิวัติ ๒๔๗๕

           หนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก เรื่องอบายมุข ๖ เขียนเป็นจดหมาย ของรองอำมาตย์เอกพล้อย พรปรีชา ได้รับพระราชทานรางวัลที่ ๑ ในปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ มีพระราชนิพนธ์คำนำลงวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๔๗๕ ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ประมาณเดือนเศษ สิ่งน่าสนใจคือในปีนี้มีผู้ส่งสำนวนเข้าประกวดเป็นจำนวนมากถึง๘๔ ราย มากกว่าการประกวดครั้งก่อนๆ สถิติผู้ส่งหนังสือเข้าประกวดประกอบด้วย พระภิกษุสงฆ์จำนวน ๕๔ ราย สามเณร ๗ ราย คฤหัสถ์ชาย ๒๑ ราย หญิง ๒ ราย ส่งมาจากจังหวัดพระนคร ๕๘ ราย จังหวัดธนบุรี ๗ ราย จังหวัดนนทบุรี ๒ ราย จังหวัดมินบุรี ๑ ราย จังหวัดอยุธยา ๑ ราย จังหวัดนครราชสีมา ๑ ราย จังหวัดอุบลราชธานี ๑ ราย จังหวัดบุรีรัมย์ ๑ ราย จังหวัดอุตรดิดต์ ๑ ราย จังหวัดเชียงราย๑ราย จังหวัดราชบุรี ๑รายจังหวัด เพ็ชรบุรี ๑ราย จังหวัดสุมทรสาคร ๓ ราย จังหวัดนครนายก ๔ ราย จังหวัดนครศรีธรรมราช ๑ ราย

        แสดงให้เห็นว่ามาจากทุกภาคของประเทศ แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นผู้แต่งหนังสือเข้าประกวดจากกรุงเทพฯก็ตาม

         ในส่วนของพระราชนิพนธ์คำนำในเรื่องอบายมุข ๖ มีพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่แสดงให้เห็นถึงหลักขันติธรรมที่พระองค์ทรงยึดมั่นอย่างเด่นชัด แม้จะทรงทราบว่า พระราชกุศลเจตนาของพระองค์ท่านที่พระราชทานต่อนักเรียนไทยในต่างแดนบางคน สะท้อนกลับออกมาในรูปของความหลงผิดก็ตาม กล่าวคือ

“...เมื่อได้พิมพ์ขึ้นคราวไร, ข้าพเจ้าก็ได้ให้แจกจ่ายไปตามบรรดาญาติและมิตร,ได้แจกไปถึงนักเรียนบางคนที่กำลังเล่าเรียนอยู่ในต่างประเทศด้วย. นักเรียนบางคนเมื่อได้รับหนังสือแจกนึกว่าจะเป็นเรื่องสนุกสนาน,แต่พอเปิดออกอ่านเห็นเป็นหนังสือสอนศาสนา ต่างก็ขว้างทิ้งเสีย ,และบางคนก็กล่าวว่า ‘พุทโธ่ หนังสือพรรณนี้มาแจกทำไมกันก็ไม่รู้’ ... ข้าพเจ้าขอแนะนำแก่ผู้ที่ได้รับแจก’หนังสือพรรณนี้’ แม้ในเวลานี้ไม่ยินดีและยังไม่อ่าน ก็ขออย่าให้ขว้างทิ้งเสียเลย ให้เก็บไว้เถิด เพราะอาจเป็นประโยชน์และอาจต้องการในภายหน้าก็เป็นได้ ดั่งข้าพเจ้าเองได้รู้สึกความต้องการมาแล้ว , จึ่งได้จัดให้มีการประกวดกันขึ้น ...”

ทิฏฐธัมมิกัตถะประโยชน์ : สามัญชนคนแรกที่ได้รับพระราชทานรางวัลที่ ๑

          หนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กเรื่อง ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ๔ ประการ หรือแปลว่าประโยชน์ปัจจุบัน ๔ ประการคือ ความหมั่นทำการงานของตน การรักษาทรัพย์ที่หามาได้ การคบคนดีเป็นเพื่อน และการเลี้ยงชีวิตตามกำลังทรัพย์ ผู้ได้รับพระราชทานรางวัลที่ ๑ ในปีพุทธศักราช ๒๔๗๖ คือนายจั๊บ อึ้งประทีป ครูโรงเรียนมัธยมหอวัง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการนี้มีผู้แต่งจำนวน ๖๘ ราย เป็นพระภิกษุ ๓๒ ราย สามเณร ๘ ราย บุคคลทั่วไปชาย ๒๕ ราย และหญิง ๓ ราย
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเลือกพระราชทานรางวัลที่ ๑ แก่สำนวนของนายจั๊บ อึ๊งประทีป ซึ่งพระราชประสงค์ของพระองค์บังเอิญสอดคล้องกับมติส่วนมากของกรรมการราชบัณฑิตยสภา และด้วยเหตุผล ๓ ประการ ตามที่กล่าวถึงในพระราชนิพนธ์คำนำ คือ

๑.มีบทนำกล่าวถึง “กรรม” โดยทั่วไปซึ่งเป็นการเหมาะกับเรื่องอย่างยิ่ง และตรงกับ

ความเห็นของพระองค์ เพราะจะทำให้เด็กเป็นคนดีและเป็นทางระงับความทุกข์

๒.มีใจความที่แต่งดีมาก ยกตัวอย่างที่เหมาะเข้าใจง่าย และชัดเจน

๓. มีสำนวนที่เขียนอ่านง่ายเหมาะสำหรับเด็ก และไม่ทำให้เบื่อหน่ายง่วงเหงา

นอกจากนี้ยังทรงกล่าวชมความพยายามของผู้แต่งและอนุโมทนาในกุศลเจตนาของผู้แต่งว่า ขอกุศลกรรมอันนี้จงเป็นประโยชน์แก่ผู้แต่งให้เห็นทันตา และตลอดไปจนในภพหน้าด้วย

ปรัชญาพุทธศาสนาในพระราชนิพนธ์คำนำ : ทำไมโลกนี้จึงต้องมีศาสนา

          พระราชนิพนธ์คำนำของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก เรื่องทิฏฐธัมมิกัตถะประโยชน์ ๔ ประการ เป็นฉบับสุดท้ายโดยทรงมีพระบรมราชาธิบายต่อคำกราบบังคมทูลถามของเด็กคนหนึ่งว่าทำไมโลกนี้จึงต้องมีศาสนา

“...ศาสนามีขึ้นในโลกเพราะคนเราต้องประสบความทุกข์ และ การมีศาสนานั้นเป็นเครื่องระงับความทุกข์ และ เครื่องเศร้าหมองได้ดีกว่าอย่างอื่น... “

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอธิบายเรื่องความเชื่อในกรรมและคำสอนในพุทธศาสนา ว่า

“ ...ความเชื่อในกรรมนั้นมักจะมีผู้กล่าวอยู่บ้าง ว่าเป็นความเชื่อที่ทำให้ผู้เชื่อเช่นนั้น ‘รามือราเท้า’ ไม่ทำอะไรเลย มัวแต่หวังในบุญในกรรมอย่างที่เรียกว่า ‘ปล่อยไปตามบุญตามกรรม’ บุคคลที่เชื่อในกรรมเช่นนี้ก็เห็นจะมีบ้างแต่เป็นทางเชื่อที่ไม่ตรงกับพระบรมพุทโธวาทเลย เป็นความเชื่ออย่างที่ฝรั่งเรียกว่า ‘ Fatalistic’ ที่จริง ‘กรรม’ นั้นแปลว่า ‘ทำ’ ผู้ที่เชื่อในกรรมจริงๆต้องพยายามทำความดีให้มากที่สุด และละเว้นทำชั่ว เพราะต้องเชื่อว่า ‘ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว’ จึงจะได้ชื่อว่ามีความเข้าใจดีในคำสอนของพระพุทธเจ้า...”

ธ นิราศร้างแดนสยาม : ปิดฉากพระราชนิพนธ์คำนำ

          พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินียังต่างประเทศเพื่อผ่าตัดพระเนตรอีกครั้งและเสด็จฯไปประทับยังพระตำหนักโนล ประเทศอังกฤษ ในระหว่างนั้นความขัดแย้งระหว่างพระองค์กับคณะรัฐบาลก็ยังคงดำเนินต่อไป จนในที่สุดวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ จึงทรงสละราชสมบัติ

          สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ครั้งนั้นทรงเลือกสำนวนที่ ๒๒ ของนายอ่ำ ศรีเปารยะ ให้ได้รับพระราชทานรางวัลที่ ๑ ของการประกวดหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก เรื่องสัมปรายิกัตถะประโยชน์ ๔ ประการแปลว่าประโยชน์ภายหน้า ๔ ประการ ได้แก่ ความมีศรัทธา ศีล ใจสละ และปัญญา ในปีนี้มีผู้ส่งเข้าประกวดน้อยลงเหลือเพียง ๒๙ ราย เป็นพระภิกษุ ๑๘ ราย สามเณร ๑ ราย บุคคลทั่วไปชาย ๘ ราย และหญิง ๒ ราย ูในหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กเรื่องนี้ไม่มีพระราชนิพนธ์คำนำของพระองค์อีกต่อไป

ข้อเสนอที่มีต่อปัจจุบันและอนาคตของหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก

        ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า แม้ในปัจจุบันจะยังคงมีการประกวดแต่งหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กอยู่ก็ตาม แต่ผู้สนใจแต่งหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กกลับมีจำนวนน้อยมาก และผู้แต่งหนังสือเข้าประกวดจะมีความหลากหลายทั้งพระภิกษุ ครู ทหาร ประชาชนทั่วไปทั้งชายและหญิง แต่ผู้แต่งที่ได้รับรางวัลจะจำกัดอยู่ในแวดวงจำกัด และมีผู้ได้รับรางวัลซ้ำกันหลายครั้งอาทิ

        พันเอก (พิเศษ) วัชระ คงอดิศักดิ์ ภาคีสมาชิกสำนักศิลปกรรมราชบัณฑิตยสถาน ได้รับพระราชทานรางวัลที่ ๑ จำนวน ๑๒ ครั้ง รางวัลที่ ๒ จำนวน ๕ ครั้ง รวมได้รับพระราชทานรางวัล ๑๗ ครั้ง

        เกษม บุญศรี เคยได้รับพระราชทานรางวัลที่ ๑ ในปี ๒๕๐๘ เรื่องความเป็นผู้สดับมาก และเรื่องวาจาสุภาษิต ในปี๒๕๑๑

        อดิศักดิ์ ทองบุญ ผู้ได้รับพระราชทานรางวัลที่ ๑ เรื่องการงานไม่อากูล ในการประกวดประจำปี ๒๕๑๕ ก็เคยได้รับพระราชทานรางวัลที่ ๑ เรื่องการสงเคราะห์บุตร ในการประกวดประจำปี ๒๕๑๓

        พระมหาทองสา นาถวิริโย (สิงห์ธนู) น.ธ.เอก, ป.ธ.๖,ศษ.บ ได้รับพระราชทานรางวัลที่ ๑ เรื่องเมตตาบารมี และอธิษฐานบารมี ในปีพ.ศ. ๒๕๔๒ และ ๒๕๔๓

        ล่าสุดในปีพุทธศักราช ๒๕๔๘ หนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กที่ได้รับคัดเลือก คือเรื่อง สัจจบารมี ของนางสาวงามตา กาญจนวสุนธรา กำหนดการพระราชทานรางวัล ในงานพระราชพิธีวิสาขบูชา พุทธศักราช ๒๕๔๘ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เป็นผู้เคยได้รับพระราชทานรางวัลที่ ๑ เรื่อง อุเบกขาบารมี ในการประกวดประจำปี ๒๕๔๗มาแล้ว

      หนังสือสอนพระพุทธศาสนาสำหรับเด็กดังกล่าวมีอายุครบ ๗๗ ปี จากวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๔๗๑ ถึงวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๔๘ นับเป็นหนังสือชุดที่มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจและเป็นหนังสือที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่งต่อเยาวชนในสังคมไทย

        ปัจจุบันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชก็ยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้ราชบัณฑิตยสถานดำเนินตามพระราชปณิธานในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว อย่างต่อเนื่องตลอดมา ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกร สมควรน้อมเกล้าฯร่วมกันเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายกว้างขวางและยั่งยืนยิ่งๆ ขึ้นไปในอนาคต ด้วยการเพิ่มการประชาสัมพันธ์ในสื่อต่างๆที่มีอยู่มากมายอย่างทั่วถึง การเพิ่มแรงจูงใจจากรางวัลชนะเลิศการประกวดแต่งหนังสือสอนพระพุทธศาสนาสำหรับเด็ก ตลอดจนควรมีการเพิ่มช่องทางการแจกจ่ายหนังสือแก่เยาวชนอย่างทั่วถึง ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณทั้งจากรัฐบาลและเอกชนทั่วไป

บรรณานุกรม
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย .ประมวลหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก ที่พระบาทสมเด็จ
พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทาน พุทธศักราช ๒๔๗๑ –๒๔๗๗จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดพิมพ์เป็นที่ระลึก ครบรอบ ๑๐๐ ปีแห่งพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯแทนพระองค์ในพิธีเปิดอาคาร ประชาธิปก–รำไพพรรณี วันพฤหัสบดีที่ ๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗
พฤทธิสาณ ชุมพล, หม่อมราชวงศ์. “ หนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กเนื่องในวันวิสาขบูชา
เอกสารประกอบการสัมมนาวันอาทิตย์ที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๔๘ ณ พิพิธภัณฑ์พระบาท
สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว.
พูนพิศมัย ดิศกุล, หม่อมเจ้าหญิง. สาสนคุณ หนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก. พระนคร
: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร,๒๔๗๒.

---------------------------. สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงการปกครอง

๒๔๗๕. พิมพ์ครั้งที่ ๒ กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, ๒๕๔๔.

พระครูวิจิตรธรรมคุณ. (วาศน์ นิลประภา).ทิศ ๖. หนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก.

พระนคร : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร,๒๔๗๔ .

ลำดวน เทียรฆนิธิกุล. “หนังสือสอนพระพุทธศาสนาสำหรับเด็ก” วารสารศิลปากร ปีที่ ๔๖

.๓(พ.ค. – มิ.ย. ๒๕๔๖) หน้า ๑๕ –๒๕.

วชิรญาณวโรรส ,สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา . พุทธมามกะ. พระนคร :โรงพิมพ์โสภณ

พิพรรฒธนากร,๒๔๗๑. ๓๕ หน้า(พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้พิมพ์พระราชทานในงานพระราชพิธีวิสาขบูชาปีพุทธศักราช ๒๔๗๑)

วัชระ คงอดิศักดิ์, พันเอก(พิเศษ). “หนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก”. ศิลปกรรม

ปริทรรศน์ปีที่ ๑๐ ฉ.๑ (ส.ค. ๒๕๓๘) หน้า ๔๒-๕๒.

สมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา, ท่านผู้หญิง. พุทธมามกะพิธี : “พระราชนิพนธ์ในพระ

บาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว” วารสารไทย ปีที่ ๒๑ ฉ. ๗๔ (เม.ย.-มิ.ย.

๒๕๔๓), หน้า ๑๐-๑๒.





-------------------------------------------------























ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัย : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว - 26 พฤศจิกายน 2468   : สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนศุโขทัยธรรมราชาเสด็จขึ้นครองราชย์ - 25 กุมภาพันธ์ 2468 :  พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาพระวรชายาเป็นสมเด็จพระบรมราชินี และเสด็จไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถาน (ร.7 พระชนม์ 32 พรรษา,สมเด็จฯ 21 พรรษา) -6 มกราคม -5 กุมภาพันธ์ 2469 : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า รำไพ พรรณีฯ เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพเพื่อเยี่ยมราษฎร -16 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2470 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก -24 มกราคม - 11 กุมภาพันธ์ 2471: เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลภูเก็ต -10 เมษายน-12 เมษายน 2472 : พระราชพิธีราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุข สวนไกลกังวล -พฤษภาคม 2472  : เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลปัตตานี (ทอดพระเนตรสุริยุปราคา) -31 กรกฎาคม -11 ตุลาคม 2472 : เสด็จพระราชดำเนินเยือน สิงคโปร์ ชวา บาหลี -6 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2473 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนอินโดจีน -6 เมษายน - 9 เมษายน 2474 : เสด็จฯเยือนสหรัฐอเมริกาและญี่

ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมสมัยรัชกาลที่ 7

                                                                                                                                   ฉัตรบงกช   ศรีวัฒนสาร [1]                 องค์ประกอบสำคัญในการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของสังคมมนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยสภาวะความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงเป็นพลังสำคัญ ในทัศนะของ อริสโตเติล ( Aristotle) นักปรัชญากรีกโบราณ   ระบุว่า   ศิลปะทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นดนตรี   การแสดง   หรือ ทัศนศิลป์   ล้วนสามารถช่วยซักฟอกจิตใจให้ดีงามได้   นอกจากนี้ในทางศาสนาชาวคริสต์เชื่อว่า   ดนตรีจะช่วยโน้มน้าวจิตใจให้เกิดศรัทธาต่อศาสนาและพระเจ้าได้     การศรัทธาเชื่อมั่นต่อศาสนาและพระเจ้า คือ ความพร้อมที่จะพัฒนาการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ [2]                 ราชบัณฑิตยสถานอธิบายความหมายของศิลปะให้สามารถเข้าใจได้เป็นสังเขปว่า “ศิลปะ(น.)ฝีมือ,   ฝีมือทางการช่าง,   การแสดงออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์เห็น โดยเฉพาะหมายถึง วิจิตรศิลป์ ” [3] ในที่นี้วิจิตรศิลป์ คือ ความงามแบบหยดย้อย   ดังนั้น คำว่า “ศิลปะ” ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถานจึงหมายถึงฝีมือทางการช่างซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา

ห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพ

  ขอบคุณภาพจากพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และขอบคุณเนื้อหาจาก รศ.วุฒิชัย  มูลศิลป์ ภาคีสมาชิกสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง  ราชบัณฑิตยสถาน        พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน รศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี  พระอรรคราชเทวี (ต่อมาคือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ  และสมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ  พระบรมราชชนนี ตามลำดับ)  โดยทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ของสมเด็จพระนางเจ้าฯและองค์ที่ 76 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว     ในห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพนี้  ประเทศไทยหรือในเวลานั้นเรียกว่าประเทศสยาม หรือสยามเพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่มาได้เพียง 1 เดือน 5 วัน  คือ วิกฤตการณ์สยาม ร. ศ. 112 ที่ฝรั่งเศสใช้กำลังเรือรบตีฝ่าป้อมและเรือรบของไทยที่ปากน้ำเข้ามาที่กรุงเทพฯได้  และบีบบังคั