ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

พระราชกรณียกิจในการเสด็จประพาสสิงคโปร์ ชวา และบาหลี






ขอบคุณเนื้อหาจากดร. ดินาร์ บุญธรรม
 ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์
 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การเสด็จพระราชดำเนินเยือนสิงคโปร์ ชวา และบาหลี
(๓๑ กรกฎาคม – ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๒)

          การเสด็จพระราชดำเนินเยือนสิงคโปร์และอาณานิคมอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์(เฉพาะเกาะชวาและบาหลี) เป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศครั้งแรกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงเน้นความสำคัญของการเสด็จฯเยือนเกาะชวาซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองอาณานิคมอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ ทรงแสดงพระราชปรารภในการเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้ว่าต้องพระราชประสงค์จะทอดพระเนตรภูมิประเทศและการบริหารจัดการปกครองเกาะชวา และเป็นการส่งเสริมสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างสยามประเทศกับรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมด้วย

          อันที่จริงแล้วพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกำหนดการเสด็จพระราชดำเนินเยือนชวาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๗๑ เป็นระยะเวลานานประมาณ ๒ เดือน แต่มีเหตุขัดข้องทำให้ต้องเลื่อนการเสด็จพระราชดำเนินออกไปในปีถัดไปคือการเสด็จทิวงคตของสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช ในที่สุดเมื่อได้เสด็จพระราชดำเนินไปจริงๆก็ถึงกับมีรับสั่งว่าการเสด็จพระราชดำเนินเยือนชวานี้
“ได้คิดเตรียมมานานด้วยปรีดาปราโมทย์จนได้มาจริงๆ ณ บัดนี้...”

          การเสด็จพระราชดำเนินเยือนชวาครั้งนี้เป็นการเสด็จพระราชดำเนินทางเรือโดยมีเรือพระที่นั่งมหาจักรีเป็นพระราชพาหนะ โดยเสด็จพระราชดำเนินออกจากกรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ ทรงมีกำหนดการแวะเยือนเกาะสิงคโปร์ซึ่งเป็นอาณานิคมอังกฤษ ๓ วันแล้วเสด็จต่อไปยังเกาะชวา

          เรือพระที่นั่งมหาจักรีถึงเกาะสิงคโปร์เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ ผู้สำเร็จราชการอังกฤษได้รับเสด็จพระราชดำเนินอย่างเป็นทางการ แล้วนำเสด็จพระราชดำเนินทั้งสองพระองค์ไปยังจวนผู้สำเร็จราชการซึ่งจัดถวายเป็นที่ประทับ ในระหว่างการเยือนเกาะสิงคโปร์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรฐานทัพเรือ และได้ทรงกอล์ฟอันเป็นกีฬาที่ทรงโปรดพร้อมกับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี

          พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีเสด็จออกจากสิงคโปร์เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ เรือพระที่นั่งมหาจักรีมุ่งหน้าต่อไปยังเกาะชวา ถึงเขตเส้นศูนย์สูตรโลก (Equator) เมื่อเวลา ๐๗.๐๐ น. ของวันที่ ๓ สิงหาคม และผ่านเขตศูนย์สูตรโลกเมื่อเวลา ๑๐.๐๐ น. ในระหว่างที่เรือพระที่นั่งมหาจักรีเข้าเขตศูนย์สูตรโลกได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้มีการทำพิธีข้ามเส้นอิเควเตอร์ตามประเพณีชาวเรือสากล๙ สิ่งนี้เป็นการแสดงให้เห็นพระราชนิยมใน “ความเป็นสากล” ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แม้แต่ในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆในระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินนอกราชอาณาจักรก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้อนุโลมใช้ธรรมเนียมการเดินทางตามแบบสากล ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าทั้งพระองค์และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีเป็นพระมหากษัตริย์และพระราชินีที่ทรงตั้งพระราชหฤทัยจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของพระมหากษัตริย์สยามให้มีความเป็นสากลทัดเทียมภาพลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ของนานาอารยประเทศ ซึ่งภาพสะท้อนดังกล่าวนี้จะปรากฏขึ้นตลอดระยะเวลาการเสด็จพระราชดำเนินเยือนชวา และในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศอีก ๓ ครั้ง

          เรือพระที่นั่งมหาจักรีถึงเกาะชวาเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ขณะนั้นกำลังอยู่ในระหว่างการเฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระราชินีนาถวิลเฮมินาแห่งเนเธอร์แลนด์ มีการประดับตกแต่งประทีปโคมไฟตามชายฝั่งอย่างงดงาม ทางรัฐบาลอาณานิคมอินเดียตะวันออกได้จัดการรับเสด็จพระราชดำเนินอย่างสมพระเกียรติยศพระมหากษัตริย์ของประเทศที่เป็นเอกราช ตั้งแต่เมื่อเรือพระที่นั่งมหาจักรีแล่นเข้าเขตน่านน้ำเกาะชวา ได้จัดเรือรบของราชนาวีเนเธอร์แลนด์มารับเสด็จฯ ๒ ลำ ซึ่งได้แล่นเคียงข้างเรือพระที่นั่งมหาจักรีเข้าสู่อ่าวปัตตาเวีย และ ณ ท่าเรือตันจุงปริอ็อก (Tanjung Priok) นั้นผู้สำเร็จราชการอาณานิคมอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ได้ทำพิธีรับเสด็จพระราชดำเนินตามแบบพิธีการทูตอย่างสมพระเกียรติ

          ในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนเกาะชวานั้นรัฐบาลอาณานิคมได้จัดให้เสด็จพระราชดำเนินทั้งทางรถไฟและด้วยกระบวนรถยนต์ สถานที่ต่างๆที่ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนในระหว่างที่ประทับ ณ เกาะชวา มีรายละเอียดดังสามารถแสดงเป็นตารางได้ดังนี้

เวลา เมืองที่เสด็จฯเยือน การปฏิบัติพระราชกรณียกิจ

๕ สิงหาคม ปัตตาเวีย (Batavia) - ทอดพระเนตรพิพิธภัณฑ์ของสมาคมศิลปวิทยา

- ผู้สำเร็จราชการถวายเลี้ยงพระกระยาหารค่ำ

๖ สิงหาคม ปัตตาเวีย (Batavia) - เสด็จตรวจพลสวนสนามที่จัตุรัสวอเตอร์ลู (Waterloo Ground)

- ทอดพระเนตรโรงเรียนแพทย์ชั้นสูง

- ทอดพระเนตรโรงงานทำยาสูบ

- ทอดพระเนตรสถานีการบินของบริษัท Royal Dutch East Indian Flying และเสด็จประทับเครื่องบินร่อนเพื่อทอดพระเนตรเมืองปัตตาเวีย

๗ สิงหาคม บุยเต็นซอร์ก (Buitensorg) - ประทับที่วังฤดูร้อนของผู้สำเร็จราชการ

๘ สิงหาคม บุยเต็นซอร์ก (Buitensorg) - ทอดพระเนตรสวนพฤกษศาสตร์

๙ สิงหาคม บุยเต็นซอร์ก (Buitensorg) - ทอดพระเนตรบ่อน้ำพุร้อนที่วิโซโล (Wisolo)

- ทอดพระเนตรสถานีผลิตกระแสไฟฟ้าพลังน้ำที่วินาดะ (Winada)

๑๐ สิงหาคม บุยเต็นซอร์ก (Buitensorg) - ทอดพระเนตรโรงงานผลิตยางพารา

๑๑ สิงหาคม บันดุง (Bandung) - ประทับ ณ โรงแรมโฮมานน์ (Hotel Homann)

- ทอดพระเนตรโรงงานผลิตยาควินิน

๑๒ สิงหาคม บันดุง (Bandung) - เสด็จประพาสน้ำตกดาโก้ (Dago) และสวนดาโก้ (Dago Park) ทอดพระเนตรอักษรพระบรมนามาภิไธยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงจารึกอักษรพระบรมนามาภิไธย ปปร.

๑๓ สิงหาคม บันดุง (Bandung) - ทอดพระเนตรไร่ซินโคนา

๑๔ สิงหาคม บันดุง (Bandung) - ทอดพระเนตรไร่กาแฟและไร่ชา

๑๕ สิงหาคม บันดุง (Bandung) - ทอดพระเนตรภูเขาไฟตังกูบันปราฮู (Mount Tangkuban Perahu)

๑๖ สิงหาคม บันดุง (Bandung) - ทอดพระเนตรสถานีวิทยุโทรเลขที่มาลาบาร์ (Malabar)

๑๘ สิงหาคม การุต (Garut) - ประทับ ณ โรงแรมปาบันลาบัน สูงจากระดับน้ำทะเล ๒,๓๐๐ ฟุต

๑๙ สิงหาคม การุต (Garut) - ทอดพระเนตรบ่อน้ำร้อนที่ตำบลชีปานัส (Ci Panas)

- ทอดพระเนตรทะเลสาบเลเล (Lele) และมาเก็นดิก (Magendik)

๑๐ สิงหาคม การุต (Garut) - ทอดพระเนตรภูเขาไฟกาวากาไมยัน (Gawa Gamaian)

๒๒สิงหาคม การุต (Garut) - ทอดพระเนตรภูเขาไฟปาปันดายัน (Papandayan)

๒๔ สิงหาคม โวโนโซโบ (Wonosobo) - ประทับ ณ โรงแรมเดียง บนที่ราบสูงเดียง (Dieng) สูงจากระดับน้ำทะเล ๔,๐๐๐ ฟุต

๒๖ สิงหาคม โวโนโซโบ (Wonosobo) - ทอดพระเนตรภูมิทัศน์ของที่ราบสูงเดียง (Dieng Plateau) สูงเหนือระดับน้ำทะเล ๗,๐๐๐ ฟุต

- ทอดพระเนตรกลุ่มเทวสถานในศาสนาฮินดูรุ่นแรกสุดในเกาะชวา บนที่ราบสูงเดียง

๒๘ สิงหาคม – ๑ กันยายน สุระการ์ตา (Surakarta) หรือ โซโล (Solo) - ทอดพระเนตรสวนกุหลาบที่ใหญ่ที่สุดในเกาะชวา

- ซูซูฮูนัน (Susuhunan) เจ้าผู้ครองนครสุระการ์ตารับเสด็จฯที่พระราชวังกาสุนานัน (Kasunanan)

- เจ้าชายมังกู เนการา วังหน้านครสุระการ์ตา ถวายพระกระยาหารค่ำ ณ วังมังกู เนการา (Pura Mangku Negara)

๑- ๕ กันยายน ยอกยาการ์ตา (Yogyakarta) - ประทับ ณ แกรนด์โฮเต็ล (Grand Hotel)

- ทอดพระเนตรเทวสถานปรัมบานัน (Candi Prambanan)

- ทอดพระเนตรมหาสถูปโบโรบูดูร์ (Candi Borobudur) และจัณฑิ เมนดุต (Candi Mendut)

- ศรีสุลต่านแห่งนครย็อกยาการ์ตารับเสด็จฯ ณ พระราชวังกาซุลตานัน (Kasultanan)

- เจ้าปากูอาลาม วังหน้านครย็อกยาการ์ตา รับเสด็จฯ ณ วังปากูอาลาม (Pakualaman)

๖ กันยายน เคอดีรี (Kediri) - ทอดพระเนตรโรงงานทำน้ำตาลของนักธุรกิจชาวจีน

๗ กันยายน ซองโกริดี - ประทับแรม ณ โรงแรมซองโกริดี

๘ กันยายน บลิตาร์ (Blitar) - ทอดพระเนตรเทวสถานปานาตารัน (Panataran)

๑๐ กันยายน นองโดบัดยาร์ - ทอดพระเนตรแหล่งโบราณสถานนครสิงหัดส่าหรี (Singosari)

- ประทับ ณ แกรนด์โฮเต็ล

๑๓ กันยายน โตสารี (Tosari) - ประทับแรม ณ แกรนด์โฮเต็ล สูงจากระดับน้ำทะเล ๕,๐๐๐ ฟุต

๑๕ กันยายน โตสารี (Tosari) - เสด็จฯ ทอดพระเนตรภูเขาไฟโบรโม (Bromo)

- ทอดพระเนตรทะเลทราย

๑๗ กันยายน โตสารี (Tosari) - เสด็จฯทอดพระเนตรเปนันดายนพาโนรามา

๒๙ กันยายน เดนปาซาร์ (Denpasar)

เกาะบาหลี - เสด็จฯยอดเขาคินตามานี (Kintamani) สูง ๕,๐๐๐ ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล

๓๐ กันยายน ตัมปักซิริง (Tampak Siring) เกาะบาหลี

๓ ตุลาคม บูเลเล็ง (Buleleng) เกาะบาหลี - ประทับเรือพระที่นั่งมหาจักรี ไปยังนครสุราบายา (Surabaya) เกาะชวา

๔ ตุลาคม สุราบายา (Surabaya) เกาะชวา - เรือพระที่นั่งจอดเติมน้ำมัน

๕-๙ ตุลาคม ระหว่างการเดินเรือ - ประทับแรมในเรือพระที่นั่ง

๑๐ ตุลาคม เกาะปีนัง (Penang) คาบสมุทรมลายู - เสด็จฯขึ้นจากเรือพระที่นั่ง

- เสด็จฯโดยกระบวนรถยนต์จากเมืองบัตเตอร์เวิร์ธไปยังหาดใหญ่

- แวะเสวยพระกระยาหารกลางวันที่อำเภอสะเดา

- เสด็จฯถึงหาดใหญ่ ประทับรถไฟพระที่นั่งกลับกรุงเทพมหานคร

๑๑ ตุลาคม กรุงเทพมหานคร - รถไฟพระที่นั่งถึงสถานีจิตรลดา

           จากตารางการเสด็จพระราชดำเนินจะเห็นได้ว่าในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนเกาะชวาและบาหลีนี้ทั้งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงมีโอกาสได้ทอดพระเนตรสถานที่สำคัญในเกาะทั้งสองอย่างทั่วถึง ในขณะเดียวกันก็ทรงมีเวลาได้พักผ่อนพระอิริยาบถ ณ แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่งดงาม การเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศครั้งแรกในรัชกาลนี้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ทรงตั้งไว้เป็นอย่างดี คือได้ทรงมีโอกาสกระชับสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างสยามประเทศกับเจ้าอาณานิคมทั้งอังกฤษและเนเธอร์แลนด์ ทั้งยังได้ทรงมีโอกาสพบกับเจ้าพื้นเมืองผู้ครองนครต่างๆทั้งบนเกาะชวาและบาหลี การที่ได้ทรงมีโอกาสประทับอยู่ในเกาะทั้งสองรวมเป็นระยะเวลานานกว่า ๒ เดือน ทำให้ทั้งสองพระองค์ทรงมีโอกาสได้รู้จักและได้สัมผัสเกาะชวาและบาหลีด้วยพระองค์เองในหลายแง่มุม

          พระราชดำรัสตอบผู้สำเร็จราชการเนเธอร์แลนด์ตอนหนึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศครั้งแรกในรัชกาลได้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ทรงตั้งไว้เป็นอย่างดี

          “...ในการมานี้ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้าได้สำเร็จกรณียกิจกว่าอย่างเดียว กล่าวคือ ข้าพเจ้าได้มาเห็นมารู้จักประเทศเพื่อนบ้านอันสำคัญประเทศหนึ่งด้วยตนเองดีขึ้น กับทั้งได้มาส่งเสริมสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศของเราทั้งสองให้สนิทสนมยิ่งขึ้น และให้คงถาวรอยู่ชั่วกัลป์ปาวสาน เป็นการเสริมฐานรากแห่งสัมพันธไมตรีอันสมเด็จพระบรมชนกนาถของเราได้ทรงสร้างไว้แน่นหนาห้าสิบแปดปีกว่ามาแล้วนั้นให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น”

          ผลของการเสด็จพระราชดำเนินที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการได้ทอดพระเนตรความเจริญต่างๆที่เนเธอร์แลนด์สร้างไว้ในอาณานิคมอินเดียตะวันออก โดยเฉพาะในเกาะชวา เช่นถนนหนทางที่ทันสมัย การเพาะปลูกพืชแบบไร่ขนาดใหญ่ (Plantation) การจัดการชลประทาน และโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรต่างๆ เช่นโรงงานยางพารา โรงงานผลิตยาสูบ โรงงานผลิตใบชา รวมถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น โรงไฟฟ้าพลังน้ำ สถานีวิทยุโทรเลขและสถานีการบิน ซึ่งเป็นแบบอย่างอันดีที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาประเทศสยามได้

          อย่างไรก็ดีในขณะที่กำลังประทับอยู่ ณ พระราชวังซิงการัดยาในเกาะบาหลี ทั้งสองพระองค์ทรงได้รับข่าวอันเป็นที่เศร้าสลดพระราชหฤทัยยิ่งคือการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์๑๑ เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๒

          ในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนสิงคโปร์ ชวา และบาหลีครั้งนี้ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีได้โดยเสด็จพระราชดำเนินในฐานะสตรีหมายเลขหนึ่งของสยามประเทศอย่างสมพระเกียรติยศ เป็นการแสดงพระองค์ในฐานะสมเด็จพระบรมราชินีเป็นครั้งแรกในต่างแดน และแม้จะเป็นครั้งแรกแต่ก็ปรากฏว่าทรงปฏิบัติพระองค์ได้ถูกต้องตามแบบพิธีการทูตทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นการทรงฉลองพระองค์ในโอกาสต่างๆ ก็ทรงใช้ฉลองพระองค์แบบต่างๆตามธรรมเนียมสากลได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและสง่างาม ทั้งได้โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไปในทุกโอกาส และทุกสถานที่ แม้จะมีรายการเสด็จพระราชดำเนินค่อนข้างมาก จึงนับว่าในส่วนพระองค์สมเด็จพระบรมราชินีเองก็ทรงประสบความสำเร็จในการทรงแสดงออกถึงบทบาทความเป็นพระราชินีตามแบบสากล โดยเฉพาะการแสดงถึงภาพลักษณ์ของภริยาประมุขของประเทศเอกราชในต่างแดน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่สมเด็จพระอัครมเหสีทรงปฏิบัติหน้าที่ภริยาประมุขของรัฐในการเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการได้โดยสมบูรณ์แบบ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัย : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว - 26 พฤศจิกายน 2468   : สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนศุโขทัยธรรมราชาเสด็จขึ้นครองราชย์ - 25 กุมภาพันธ์ 2468 :  พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาพระวรชายาเป็นสมเด็จพระบรมราชินี และเสด็จไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถาน (ร.7 พระชนม์ 32 พรรษา,สมเด็จฯ 21 พรรษา) -6 มกราคม -5 กุมภาพันธ์ 2469 : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า รำไพ พรรณีฯ เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพเพื่อเยี่ยมราษฎร -16 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2470 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก -24 มกราคม - 11 กุมภาพันธ์ 2471: เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลภูเก็ต -10 เมษายน-12 เมษายน 2472 : พระราชพิธีราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุข สวนไกลกังวล -พฤษภาคม 2472  : เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลปัตตานี (ทอดพระเนตรสุริยุปราคา) -31 กรกฎาคม -11 ตุลาคม 2472 : เสด็จพระราชดำเนินเยือน สิงคโปร์ ชวา บาหลี -6 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2473 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนอินโดจีน -6 เมษายน - 9 เมษายน 2474 : เสด็จฯเยือนสหรัฐอเมริกาและญี่

ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมสมัยรัชกาลที่ 7

                                                                                                                                   ฉัตรบงกช   ศรีวัฒนสาร [1]                 องค์ประกอบสำคัญในการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของสังคมมนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยสภาวะความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงเป็นพลังสำคัญ ในทัศนะของ อริสโตเติล ( Aristotle) นักปรัชญากรีกโบราณ   ระบุว่า   ศิลปะทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นดนตรี   การแสดง   หรือ ทัศนศิลป์   ล้วนสามารถช่วยซักฟอกจิตใจให้ดีงามได้   นอกจากนี้ในทางศาสนาชาวคริสต์เชื่อว่า   ดนตรีจะช่วยโน้มน้าวจิตใจให้เกิดศรัทธาต่อศาสนาและพระเจ้าได้     การศรัทธาเชื่อมั่นต่อศาสนาและพระเจ้า คือ ความพร้อมที่จะพัฒนาการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ [2]                 ราชบัณฑิตยสถานอธิบายความหมายของศิลปะให้สามารถเข้าใจได้เป็นสังเขปว่า “ศิลปะ(น.)ฝีมือ,   ฝีมือทางการช่าง,   การแสดงออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์เห็น โดยเฉพาะหมายถึง วิจิตรศิลป์ ” [3] ในที่นี้วิจิตรศิลป์ คือ ความงามแบบหยดย้อย   ดังนั้น คำว่า “ศิลปะ” ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถานจึงหมายถึงฝีมือทางการช่างซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา

ห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพ

  ขอบคุณภาพจากพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และขอบคุณเนื้อหาจาก รศ.วุฒิชัย  มูลศิลป์ ภาคีสมาชิกสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง  ราชบัณฑิตยสถาน        พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน รศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี  พระอรรคราชเทวี (ต่อมาคือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ  และสมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ  พระบรมราชชนนี ตามลำดับ)  โดยทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ของสมเด็จพระนางเจ้าฯและองค์ที่ 76 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว     ในห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพนี้  ประเทศไทยหรือในเวลานั้นเรียกว่าประเทศสยาม หรือสยามเพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่มาได้เพียง 1 เดือน 5 วัน  คือ วิกฤตการณ์สยาม ร. ศ. 112 ที่ฝรั่งเศสใช้กำลังเรือรบตีฝ่าป้อมและเรือรบของไทยที่ปากน้ำเข้ามาที่กรุงเทพฯได้  และบีบบังคั