ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

๒๕ กุมภาพันธ์ วันฉัตรมงคลในสมัยรัชกาลที่ ๗: จากการสื่อสารทางการเมืองทางวิทยุกระจายเสียงครั้งแรกในประวัติศาสตร์สู่บทบาทของสังคมออนไลน์


              เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๘ มากกว่า ๘๐ ปีมาแล้ว คณะโหรคำนวณพระฤกษ์บรมราชาภิเษกถวาย ดังนั้นวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๘ (นับวันที่ ๑ เมษายนเป็นวันปีใหม่) พระราชพิธีบรมราชาภิเษกจึงได้จัดขึ้นอย่างสมบูรณ์ตามแบบโบราณราชประเพณี โดยเริ่มด้วยการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระที่นั่งไพศาลทักษิณ และพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียรในพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานในพระบรมมหาราชวัง


          วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ จึงนับเป็นวันฉัตรมงคลในสมัยรัชกาลที่ ๗ เพราะเป็นวันอภิลักขิตสมัยคล้ายวันบรมราชาภิเษกซึ่งทรงมีพระปฐมบรมราชโองการ ความว่า

          “ดูกรพราหมณ์ บัดนี้เราทรงราชภาระ ครองแผ่นดินโดยธรรมสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและสุขแห่งมหาชน เราแผ่ราชอาณาเหนือท่านทั้งหลายกับโภคสมบัติ เป็นที่พึ่งจัดการปกครองรักษาป้องกันอันเป็นธรรมสืบไป ท่านทั้งหลายจงวางใจอยู่ตามสบาย เทอญฯ”

           คนในสมัยปัจจุบันเมื่อได้อ่านข้อความข้างต้น ย่อมระลึกถึงพระปฐมบรมราชโองการซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันพระราชทานเมื่อกว่า ๖๐ ปีมาแล้วว่า

            “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

             พึงสังเกตว่าในรัชกาลปัจจุบันมิได้รับสั่งว่าจะทรง “จัดการปกครอง” ด้วยทรงเป็น พระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ มิได้ต้องทรงรับผิดชอบการปกครองด้วยพระองค์เอง

           จากการศึกษาพระราชดำรัสของรัชกาลที่๗  ที่พระราชทานทุกปีแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายใน นอกจากจะทรงขอบใจพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการที่ไปร่วมถวายพระพรแล้ว พบว่าสิ่งที่สำคัญคือเป็นการกล่าวถึงข้อราชการต่างๆที่ผ่านมาในรอบหนึ่งปีคล้ายกับเป็นการประเมินผล(Evaluation) และสรุปผลของการบริหารราชการแผ่นดินในรอบปี (Annual report) แก่ประชาชน และตรัสถึงกิจการที่จะต้องทรงทำต่อไปด้วย

พระราชดำรัสในวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๙ มีใจความสำคัญดังนี้

          “สิ่งแรกที่ทรงกระทำคือ การตั้งอภิรัฐมนตรีขึ้นเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้มีการแก้ไขหนังสือสัญญาที่คืนเสรีภาพการภาษีอากรและอำนาจทางการศาลรวมทั้งอนุสัญญาวางระเบียบความเกี่ยวพันธ์ระวางสยามกับอินโดจีนฝรั่งเศสก็ได้ลงนามกันเพื่อจะบำบัดบรรดาสาเหตุอันอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดกับเพื่อนบ้านให้สูญสิ้นไป รวมทั้งตั้งใจอุดหนุนสันนิบาตชาติเพื่อผดุงความยุติธรรมและสันติภาพโลก ส่วนเรื่องการเงินที่ประเทศมีรายจ่ายมากกว่ารายรับมา ๔ ปีแล้ว จึงต้องตัดทอนรายจ่ายเงินแผ่นดินบางประเภทและปลดข้าราชการตามกระทรวงทบวงกรมออกรับพระราชทานเบี้ยบำเหน็จบำนาญ ส่วนการพาณิชย์และคมนาคมนั้นทรงตรวจกิจการของกรมรถไฟ และกรมทางได้สร้างเสร็จตลอดภาคเหนือในมณฑลพายัพแล้วซึ่งจะนำความเจริญมาสู่บ้านเมืองให้แก่พ่อค้าและประชาชน และได้เปิดรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งแต่บุรีรัมย์ถึงสุรินทร์ และรถไฟสายตะวันออกก็เปิดใช้จนสุดทางที่อรัญประเทศ การสร้างสะพานพระราม ๖ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาได้สำเร็จลงเป็นการเชื่อมทางรถไฟสายเหนือสายใต้ทุกแห่งให้มารวมอยู่สถานีเดียว และมีการเปิดทางหลวงจากควนเนียงถึงสตูล บ้านโป่งถึงกาญจนบุรี ส่วนการไปรษณีย์โทรเลขได้รวมสถานีวิทยุโทรเลขเข้าอยู่ในกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม เพื่อสะดวกแก่กิจการของประชาชนส่วนเรื่องการทำประมวลกฎหมายนั้น เรื่องใดที่เป็นประโยชน์ก็จะออกใช้เป็นกฎหมายเสียส่วนหนึ่งก่อน และกำลังมีพระราชดำริที่จะออกพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัวและระเบียบข้าราชการพลเรือน เพื่อมุ่งหมายให้คนที่มีภูมิความรู้สมควรแก่ตำแหน่งเข้ามาสู่ราชการ และเนื่องจากมีคนต่างด้าวเข้ามาจำนวนมากจึงมีพระราชดำริที่จะมีพระราชบัญญัติระเบียบการตรวจตราคุ้มครองกรรมกรแรงงานในบ้านเมืองให้ดีขึ้น แล้วยังทรงกล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญๆในช่วงต้นปี เช่น รัชกาลที่๗ ทรงเสียพระทัยกับการเกิดอหิวาตกโรคระบาดขึ้นทำให้ราษฎรล้มตายไปหลายพันคน รวมทั้งกล่าวถึงการทำนาในปีนี้ได้ผลดีและการที่เสด็จเลียบมณฑลฝ่ายเหนือได้ไปทอดพระเนตรการสหกรณ์ที่เมืองพิษณุโลกมีความเจริญเป็นที่น่าพอพระราชหฤทัย นอกจากนี้ทรงเห็นความเจริญของการกสิกรรมและการพาณิชยกรรมเป็นข้อสำคัญในรัฐประสาสโนบาย”


          พระบรมราโชวาทในงานพระราชพิธีฉัตรมงคลในวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๐ ถึง พ.ศ. ๒๔๗๒ เป็นไปในรูปแบบเดียวกัน เช่นในพ.ศ. ๒๔๗๐ มีความโดยสรุปว่า

            “การแก้ไขสัญญากับนานาประเทศเป็นที่น่าพอใจเป็นผลให้แก้ไขพิกัดอัตราภาษีสินค้าเข้าออก และตราพระราชบัญญัติพิกัดภาษีศุลกากรทำให้เหมาะแก่พาณิชยกรรมและอุตสาหกรรมของชาติ เรื่องการลงทุนสร้างสาธารณประโยชน์ เช่น การก่อสร้างรถไฟ และทำการทดระบายน้ำไม่ต้องกู้เงินจากต่างประเทศมาใช้สอย มีการสร้างถนนเพื่อเพิ่มความสะดวกในทางคมนาคม ด้านการจัดการศึกษาทรงมีหลักการเบื้องต้นในสามข้อใหญ่ คือ ๑) จะต้องบ่มเพาะครูและอบรมครูดีๆขึ้นไว้มากๆ จัดการเปลี่ยนแปลงระเบียบฝึกหัดครูประถม และจะเปิดแผนกครูมัธยมในมหาวิทยาลัยต่อไป ๒) ต้องจัดหาตำราภาษาไทยให้เพียงพอ และวางระเบียบบำเหน็จให้กับผู้แต่งตำรา ๓) การแก้ไขหลักสูตรให้กว้างขวาง คือ การอบรมเด็กให้เป็นพลเมืองดีที่มั่นคงอยู่ในความนับถือตนเองและชาติของตนเอง สามารถประกอบอาชีพให้เกิดประโยชน์เลี้ยงตัวเมื่อเติบใหญ่ และเป็นกำลังแก่ชาติบ้านเมือง ส่วนการมหาวิทยาลัยในสมัยนั้น ยังทรงมีพระราชวินิจฉัยว่ายังไม่เจริญเท่าที่ทรงปรารถนาให้เป็น ส่วนเรื่องการปกครองมีพระราชดำริในการออกพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน และพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองนั้น ได้ออกพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองและตั้งกรมตรวจคนเข้าเมืองขึ้นในกระทรวงมหาดไทยแล้ว พระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัวทรงดำริว่า เกี่ยวข้องกับคนส่วนมากจึงส่งไปปรึกษากรรมการองคมนตรีก่อน ส่วนพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนนั้นร่างแล้วแต่ยังไม่พร้อมที่จะประกาศ นอกจากนี้ยังทรงออกพระราชบัญญัติจัดตั้งพิพิธภัณฑสถาน เพื่อเก็บสงวนไว้ซึ่งโบราณวัตถุและศิลปวัตถุอันเป็นของมีค่าแห่งชาติ พระราชบัญญัติแก้ไขลักษณะล้มละลายและกฎหมายอาญาให้เหมาะแก่กาลสมัย พระราชบัญญัติองคมนตรี อันจักเป็นกำลังในการทรงมีพระราชดำริจัดราชการแผ่นดิน และยังได้ออกพระราชบัญญัติสมุดเอกสารและหนังสือพิมพ์ใหม่เพื่อจัดระเบียบมิได้มุ่งหมายจะตัดเสรีภาพแห่งปากเสียงไม่ แต่เป็นการควบคุมไว้พอสมควรมิให้เสื่อมเสียแก่ความสงบและศีลธรรมอันดีของประชาชน มีการออกพระราชบัญญัติหางนม เพื่อประโยชน์แก่การบริโภคนมของเด็ก ในกาลต่อไปยังทรงมีพระราชดำริที่จะแก้พระราชบัญญัติเบี้ยบำนาญ เรื่องน้ำมันเชื้อเพลิง เรื่องที่พักคนเดินทาง และเรื่องป้องกันการค้าหญิงและเด็ก และมีการรายงานเหตุการณ์ว่า น้ำท่วมมากในต้นเดือนตุลาคมที่มณฑลฝ่ายเหนือเป็นเหตุให้บ้านเรือนราษฎรเสียหาย การทำนาในปีนี้น้ำมากเกินต้องการ...”

             ต่อมาในวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๓ มีนวัตกรรมใหม่ที่เกิดขึ้นในวันฉัตรมงคลสมัยรัชกาลที่ ๗ คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคมได้ทรงเปิดการส่งวิทยุกระจายเสียงเป็นปฐมฤกษ์ โดยใช้ชื่อสถานีว่า “สถานีวิทยุกรุงเทพฯ ที่พญาไท” ตั้งสถานีเครื่องส่งที่วังพญาไท (บริเวณโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าในปัจจุบัน) พิธีเปิดสถานีวิทยุได้อัญเชิญกระแสพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จากพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยในพระบรมมหาราชวังมาเข้าเครื่องส่งที่สถานีพญาไท แล้วออกอากาศไปสู่ประชาชน นับเป็นการถ่ายทอดพระสุรเสียงทางวิทยุกระจายเสียงเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และยังถือเป็นการสื่อสารทางการเมืองเป็นครั้งแรกด้วยสื่อดังกล่าวในประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งในเวลาต่อมาได้พัฒนาเป็นสื่อต่างๆที่ทรงอิทธิพลในปัจจุบัน อาทิ สื่อภาพยนตร์ สื่อวิทยุโทรทัศน์ จนถึงสื่อเครือข่ายทางสังคม (Social network) เช่น เฟสบุ๊ค ทวิสเตอร์ และเว็บบล็อกในปัจจุบัน

           กล่าวกันว่าใครคุมสื่อได้คนนั้นมีอำนาจ ดังนั้นขณะที่รัฐบาลมีสื่อหลากหลายให้ใช้ นักการเมืองทุกฝ่ายก็พยายามหาทางออกสื่ออย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะมีอิทธิพลต่อความคิดเห็นทางการเมืองของสาธารณชน ประชาชนซึ่งอยู่ตรงกลางจึงต้องกลั่นกรองข่าวสารที่ออกมาจากทุกฝ่ายอย่างใส่ใจจริงจังเช่นเดียวกัน


ฉัตรบงกช  ศรีวัฒนสาร เรียบเรียง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัย : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว - 26 พฤศจิกายน 2468   : สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนศุโขทัยธรรมราชาเสด็จขึ้นครองราชย์ - 25 กุมภาพันธ์ 2468 :  พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาพระวรชายาเป็นสมเด็จพระบรมราชินี และเสด็จไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถาน (ร.7 พระชนม์ 32 พรรษา,สมเด็จฯ 21 พรรษา) -6 มกราคม -5 กุมภาพันธ์ 2469 : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า รำไพ พรรณีฯ เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพเพื่อเยี่ยมราษฎร -16 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2470 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก -24 มกราคม - 11 กุมภาพันธ์ 2471: เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลภูเก็ต -10 เมษายน-12 เมษายน 2472 : พระราชพิธีราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุข สวนไกลกังวล -พฤษภาคม 2472  : เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลปัตตานี (ทอดพระเนตรสุริยุปราคา) -31 กรกฎาคม -11 ตุลาคม 2472 : เสด็จพระราชดำเนินเยือน สิงคโปร์ ชวา บาหลี -6 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2473 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนอินโดจีน -6 เมษายน - 9 เมษายน 2474 : เสด็จฯเยือนสหรัฐอเมริกาและญี่

ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมสมัยรัชกาลที่ 7

                                                                                                                                   ฉัตรบงกช   ศรีวัฒนสาร [1]                 องค์ประกอบสำคัญในการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของสังคมมนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยสภาวะความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงเป็นพลังสำคัญ ในทัศนะของ อริสโตเติล ( Aristotle) นักปรัชญากรีกโบราณ   ระบุว่า   ศิลปะทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นดนตรี   การแสดง   หรือ ทัศนศิลป์   ล้วนสามารถช่วยซักฟอกจิตใจให้ดีงามได้   นอกจากนี้ในทางศาสนาชาวคริสต์เชื่อว่า   ดนตรีจะช่วยโน้มน้าวจิตใจให้เกิดศรัทธาต่อศาสนาและพระเจ้าได้     การศรัทธาเชื่อมั่นต่อศาสนาและพระเจ้า คือ ความพร้อมที่จะพัฒนาการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ [2]                 ราชบัณฑิตยสถานอธิบายความหมายของศิลปะให้สามารถเข้าใจได้เป็นสังเขปว่า “ศิลปะ(น.)ฝีมือ,   ฝีมือทางการช่าง,   การแสดงออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์เห็น โดยเฉพาะหมายถึง วิจิตรศิลป์ ” [3] ในที่นี้วิจิตรศิลป์ คือ ความงามแบบหยดย้อย   ดังนั้น คำว่า “ศิลปะ” ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถานจึงหมายถึงฝีมือทางการช่างซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา

ห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพ

  ขอบคุณภาพจากพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และขอบคุณเนื้อหาจาก รศ.วุฒิชัย  มูลศิลป์ ภาคีสมาชิกสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง  ราชบัณฑิตยสถาน        พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน รศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี  พระอรรคราชเทวี (ต่อมาคือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ  และสมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ  พระบรมราชชนนี ตามลำดับ)  โดยทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ของสมเด็จพระนางเจ้าฯและองค์ที่ 76 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว     ในห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพนี้  ประเทศไทยหรือในเวลานั้นเรียกว่าประเทศสยาม หรือสยามเพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่มาได้เพียง 1 เดือน 5 วัน  คือ วิกฤตการณ์สยาม ร. ศ. 112 ที่ฝรั่งเศสใช้กำลังเรือรบตีฝ่าป้อมและเรือรบของไทยที่ปากน้ำเข้ามาที่กรุงเทพฯได้  และบีบบังคั