เสด็จฯมณฑลภูเก็ต |
พระราชจริยาวัตรประการหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ซึ่งแสดงถึงพระราชประสงค์ที่จะไม่ทรงแสดงพระองค์เป็น “สมมติเทพ” ก็คือการเสด็จพระราชดำเนินออกไปเยี่ยมราษฎรในส่วนภูมิภาค ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่างๆ ที่ห่างไกลจากกรุงเทพมหานคร คือเสด็จพระราชดำเนินทั่วมณฑลพายัพ จังหวัดต่างๆริมฝั่งทะเลอ่าวไทย และทั่วมณฑลทักษิณ เพื่อให้ราษฎรมีโอกาสได้เห็นพระองค์และสมเด็จพระบรมราชินี นอกจากนั้นยังมีพระราชประสงค์ที่จะทอดพระเนตรภูมิประเทศถิ่นฐานบ้านเมือง ทรงทราบความเป็นไปอันเนื่องด้วยสุขด้วยทุกข์ตลอดถึงการทำมาหาเลี้ยงชีพของข้าขอบขัณฑสีมาอาณาจักรทั่วไป ได้ทรงพบเห็นสิ่งต่างๆ มากอย่างสำหรับจะได้มาเป็นเครื่องทรงพระราชดำริดัดแปลงแก้ไขสิ่งที่พ้นสมัย ผดุงสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้คงดีตลอดไปและพยายามให้ดียิ่งขึ้นสมกับที่ทรงดำรงตำแหน่งเป็นประมุขของชาติ
ดังพระราชดำรัสที่เมืองภูเก็ต ดังนี้
" ...ที่เราลงมาเลียบมณฑลภูเก็ตครั้งนี้ มีความประสงค์อันเป็นข้อสำคัญก็คือ เพื่อจะได้เห็นภูมิสถานบ้านเมืองแลรู้กิจการต่างๆ ทางหัวเมืองมณฑลนี้ด้วยตนเอง กับอิกข้อหนึ่งซึ่งจะได้คุ้นเคยกับพวกชาวเมืองในมณฑล เป็นต้นแต่ข้าราชการ ตลอดจนสมณะคณาจารย์พ่อค้าพาณิชย์แลราษฎรพลเมือง ด้วยประเพณีการปกครองประเทศสยามถือสืบมาแต่โบราณ ว่าพระเจ้าแผ่นดินกับประชาชนย่อมร่วมทุกข์สุขเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จึงเห็นว่าถ้าเราได้มารู้เห็นถึงท้องที่ย่อมจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปกครองบ้านเมืองให้ประชาชนทั้งหลายในมณฑลนี้มีความเจริญสุขยิ่งขึ้นสืบไป..."
"...เรามีความยินดีอยู่อย่างหนึ่งซึ่งได้ทราบจากเทศาภิบาลผู้ปกครองมณฑลต่างหูต่างตาเรา ว่าบรรดาพวกชนต่างชาติต่างภาษาที่มาทำการอยู่ในมณฑลภูเก็ตปรองดองเข้ากันกับข้าราชการเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี แลมีแก่ใจช่วยราชการบ้านเมืองอยู่เสมอ ที่เป็นเช่นนั้นสมควรยิ่งนัก ด้วยประโยชน์ของรัฐบาลกับประโยชน์ของพ่อค้านายเหมืองในมณฑลนี้ที่จริงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถ้าการค้าแลการทำเหมืองแร่ได้ผลมาก รัฐบาลก็ได้ประโยชน์มากขึ้นด้วย ถ้าผลตกต่ำก็ต่ำลงด้วยกัน สำคัญอยู่แต่ให้มีความปรองดองด้วยเห็นอกกันในระวางบุคคลต่างหน้าที่แลต่างจำพวก กับช่วยกันรักษาความเรียบร้อยแลความสุขของบ้านเมือง..."
การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในท้องถิ่นต่างๆของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีนับเป็นการวางรากฐานการปฏิบัติพระราชกรณียกิจประการสำคัญของสมเด็จพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระบรมราชินีในพระบรมราชจักรีวงศ์ที่เสด็จดำรงสิริราชสมบัติต่อเนื่องไปในอนาคต นั่นคือการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในท้องถิ่นห่างไกลอย่างชนิดที่ไม่เพียงเป็นการเสด็จฯไปปรากฏพระองค์ให้ราษฎรได้ชมพระบารมีเท่านั้น แต่เป็นการเสด็จฯเข้าไปถึงราษฎรในทุกท้องที่เพื่อทรงเรียนรู้ปัญหาของราษฎรและพระราชทานความช่วยเหลือได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะเห็นได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถได้ทรงปฏิบัติเป็นพระราชกรณียกิจประจำอันเป็นภาพที่คุ้นตาประชาชนชาวไทยมาจนถึงปัจจุบัน
การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในท้องถิ่นต่างๆของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีนับเป็นการวางรากฐานการปฏิบัติพระราชกรณียกิจประการสำคัญของสมเด็จพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระบรมราชินีในพระบรมราชจักรีวงศ์ที่เสด็จดำรงสิริราชสมบัติต่อเนื่องไปในอนาคต นั่นคือการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในท้องถิ่นห่างไกลอย่างชนิดที่ไม่เพียงเป็นการเสด็จฯไปปรากฏพระองค์ให้ราษฎรได้ชมพระบารมีเท่านั้น แต่เป็นการเสด็จฯเข้าไปถึงราษฎรในทุกท้องที่เพื่อทรงเรียนรู้ปัญหาของราษฎรและพระราชทานความช่วยเหลือได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะเห็นได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถได้ทรงปฏิบัติเป็นพระราชกรณียกิจประจำอันเป็นภาพที่คุ้นตาประชาชนชาวไทยมาจนถึงปัจจุบัน
เสด็จเยือนสหรัฐอเมริกา |
การเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ
พระราชกรณียกิจที่สำคัญยิ่งอีกประการหนึ่งของของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีคือการเสด็จพระราชดำเนินไปเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางราชการเพื่อเป็นการเจริญพระราชไมตรี ซึ่งเป็นธรรมเนียมสากลสำหรับประมุขของรัฐเอกราชทั้งหลาย ทั้งสองพระองค์ทรงเริ่มพระราชภารกิจนี้ด้วยการเสด็จพระราชดำเนินเยือนดินแดนอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อน เพราะดินแดนเหล่านี้เป็นดินแดนที่เป็น “เพื่อนบ้าน” ของสยามประเทศ และมีความสัมพันธ์กับสยามประเทศสืบมาแต่ยุคโบราณ ความเปลี่ยนแปลงใดๆก็ตามที่เกิดขึ้นในดินแดนเพื่อนบ้านเหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบถึงสยามประเทศทั้งสิ้น โดยเฉพาะการที่ดินแดนเหล่านี้ตกเป็นอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตก อันได้แก่อังกฤษ ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์ ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงขึ้นในดินแดนเหล่านี้และสยามประเทศย่อมได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวด้วย ดังนั้นจึงเป็นความจำเป็นที่รัฐบาลสยามจะต้องติดตามเหตุการณ์และรู้ทันความเป็นไปต่างๆที่เกิดขึ้นในดินแดนอาณานิคมรอบด้าน และที่สำคัญคือสยามจำเป็นที่จะต้องรักษาสัมพันธภาพอันดีกับมหาอำนาจตะวันตกซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมเหล่านั้น ดินแดนอาณานิคมตะวันตกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงเป็นดินแดนนอกขอบขัณฑสีมาที่พระมหากษัตริย์สยามต้องเอาพระราชหฤทัยใส่ติดตามความเป็นไปเป็นอันดับแรกๆ และเป็นการสมควรที่พระมหากษัตริย์และพระราชินีสยามจะได้เสด็จพระราชดำเนินออกไปเยี่ยมเยือนถึงราชสำนักของเจ้าพื้นเมืองผู้ครองดินแดนเหล่านั้นเพื่อสานสัมพันธไมตรีและสร้างความเข้าใจอันดีต่อกันให้คงอยู่สืบไป แม้ว่าในระยะเวลาดังกล่าวเจ้าพื้นเมืองเหล่านั้นจะสูญเสียอำนาจการปกครองให้กับมหาอำนาจตะวันตกไปแล้ว นอกจากนั้นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนดินแดนอาณานิคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังถือได้ว่าเป็นการทรงเจริญพระราชไมตรีกับรัฐบาลของประเทศเจ้าอาณานิคมด้วย ดังจะเห็นได้ว่ารัฐบาลอาณานิคมทุกแห่งได้จัดการรับเสด็จพระราชดำเนินอย่างสมพระเกียรติเต็มตามแบบธรรมเนียมทางการทูตอย่างสากลทุกประการ และในการเสด็จพระราชดำเนินทุกครั้งสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีได้โดยเสด็จพระราชดำเนินไปในการทรงปฏิบัติพระราชภารกิจในฐานะ “สมเด็จพระราชินีคู่พระบารมี” หรือคู่สมรสของประมุขแห่งของสยามประเทศอย่างเต็มภาคภูมิ โดยทรงเตรียมพระองค์สำหรับการปฏิบัติพระราชภารกิจในต่างประเทศเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมการศึกษาข้อมูลของประเทศที่จะเสด็จพระราชดำเนินเยือน การศึกษาขนบธรรมเนียมประเพณีของประเทศนั้นๆ การเตรียมฉลองพระองค์ และการศึกษาพิธีการทูตต่างๆ ทำให้การเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศทุกครั้งผ่านไปได้โดยราบรื่น
ในระยะเวลา ๙ ปีแห่งรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๔๖๘-๒๔๗๗) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่างๆรวม ๔ ครั้ง ดังต่อไปนี้
ครั้งที่ ๑
- ๓๑ กรกฎาคม – ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ สิงคโปร์ และอาณานิคมอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ (เฉพาะเกาะชวาและบาหลี)
ครั้งที่ ๒
-๖ เมษายน – ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๓ อาณานิคมอินโดจีนฝรั่งเศส (เฉพาะดินแดนกัมพูชา และ เวียดนาม)
ครั้งที่ ๓
-๖ เมษายน – ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๔ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และแคนาดา
ครั้งที่ ๔
- ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๖ – ๒๗ สิงหาคม ๒๔๗๗ ฝรั่งเศส อิตาลี นครรัฐวาติกัน อังกฤษ เดนมาร์ก เยอรมนี เบลเยี่ยม เชคโกสโลวาเกีย ฮังการี สวิตเซอร์แลนด์
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น