ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

“มนุษยธรรม” ในรพินทรนาถปาฐกถา สยาม พ.ศ.2470



ขอบคุณบทความจาก  ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพล*
                ในจดหมายข่าวสถาบันพระปกเกล้า ตุลาคม พ.ศ. 2553 ผมได้เล่าถึงการที่รพินทรนาถ ฐากูร นักคิดนักประพันธ์ชาวอินเดียเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณคดีประจำค.ศ. 1913 มาเยือนสยามระหว่าง 8-16 ตุลาคม 2470 และได้แสดงปาฐกถาหน้าพระที่นั่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและที่อื่นๆ คราวนี้ขอเก็บเล็กประสมน้อยจากการประชุมระหว่างประเทศเพื่อเฉลิมฉลอง 150 ปีวันเกิดของรพินทรนาถ ซึ่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตอินเดียจัดขึ้นภายใต้แนวเรื่อง วิสัยทัศน์ของฐากูรสำหรับเอเชีย : ความเป็นเอกภาพของมนุษย์ที่ก้าวล่วงชาตินิยม[1] มาเล่าสู่กันฟังเพิ่มเติม
                ปาฐกถาที่รพินทรนาถแสดงที่กรุงเทพฯ มี 5 เรื่องด้วยกันคือ 1. India’s Roles  in the World ในงานเลี้ยงรับรองที่จัดโดยชาวอินเดียในสยาม ณ โรงแรมพระราชวังพญาไท 2. Child Education ที่ตึกอักษรศาสตร์ จุฬาฯ 3. Chinese Birth ในงานเลี้ยงรับรองของชาวจีนในสยามซึ่งจัดที่โรงเรียนเผยอิง   ถนนทรงวาด 4. Asia’s Continental Culture หน้าพระที่นั่ง ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน และ 5. Ideals of National Education ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยแม้ว่าจะมีรายงานข่าวในหนังสือพิมพ์สมัยนั้น เช่น Bangkok Times และ Siam Observer แต่เข้าใจว่าไม่มีผู้ใดค้นพบรายระเอียดสักเรื่องหนึ่ง ผมจึงทำได้แต่เพียงเสนอข้อมูลบางอย่างที่อาจช่วยให้ท่านผู้อ่านได้เดาต่อเอง
                รพินทรนาถบุตรคนที่สิบสี่ของมหาฤๅษีเทเวนทรนาถ เป็นเด็กที่ต้องอยู่ในระเบียบวินัยสูง ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปนอกคฤหาสน์ของบิดา จึงได้แต่เฝ้ามองธรรมชาติและผู้คนจากภายในรั้ว และเมื่อเขาได้ไปโรงเรียน เขาพบว่าโรงเรียนน่าเบื่อ การได้เดินทางกับบิดาไปแถบเทือกเขาท่ามกลางธรรมชาติเมื่ออายุ 12 ปีสู่ศานตินิเกตัน ที่ดินในชนบทรัฐเบงกอลของบิดา ดูจะจุดประกายความเป็นจินตกวีของเขาเป็นครั้งแรก
                ต่อมาเมื่ออายุ 40 ปี (ค.ศ.1901) เขาได้ก่อตั้งโรงเรียนสำหรับเด็กขึ้นที่ศานตินิเกตัน โดยใช้โรงเรียนในป่าแบบโบราณของอินเดียเป็นต้นแบบ นักเรียนหญิงชายได้รับการส่งเสริมให้ใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติโดยไม่เน้นระเบียบวินัย หากแต่สร้างความสนุกสนาน ซึ่งรพินทรนาถเชื่อว่าเอื้อต่อการค้นพบตัวเอง และการมีความอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่กว้างไกลออกไป เสริมด้วยความรู้เกี่ยวกับจารีตอินเดียจากการศึกษาวรรณกรรมพร้อมๆไปกับการคิดแบบวิทยาศาสตร์ อีกทั้งเกี่ยวกับวัฒนธรรมของชาติอื่นๆ คือ จีน ญี่ปุ่น และตะวันออกกลาง เป็นต้น นับได้ว่าเป็นการศึกษาทางเลือกสำหรับคนยากในอินเดียสมัยอาณานิคม
                อ่านมาถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านคงจะเข้าใจว่าปาฐกถาที่เขาแสดงที่จุฬาฯ เรื่อง การศึกษาสำหรับเด็ก น่าจะมีเนื้อหาทำนองใด และคงจะเข้าใจกว้างขึ้นเมื่อทราบว่าเมื่อค.ศ. 1878 หนุ่มรพินทรนาถได้เดินทางไปอังกฤษ และเข้าศึกษากฎหมายที่มหาวิทยาลัยลอนดอน แต่เรียนไม่จบหลักสูตร หากแต่ว่าความเป็นศิลปินที่มีความรู้สึกนึกคิดกว้างไกลของเขาได้พัฒนาเรื่อยมา จนเขาเป็นที่เคารพนับถือยิ่งในอินเดีย และ 35 ปีต่อมาวรรณกรรมของเขาได้รับความชื่นชมถึงขีดสุดในยุโรปซึ่งมอบรางวัลโนเบลแก่เขาเมื่อ 1 ปีก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ปะทุขึ้น สามปีหลังจากนั้นเขาได้เดินทางไปสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นโดยแสดงปาฐกถาเรื่องชาตินิยมที่ญี่ปุ่น
                รพินทรนาถเห็นว่า ชาตินิยมเป็นปกติธรรมดาสำหรับประเทศตะวันตก แต่ไม่ใช่สำหรับอินเดีย ชาตินิยมของรัฐชาติแบบตะวันตก เป็นโรคระบาดของความชั่วที่กำลังแพร่กระจายไปในโลกมนุษย์ในปัจจุบันและกำลังทำลายความมีชีวิตชีวาในเชิงศีลธรรมของมนุษย์ ในอินเดีย เรากำลังแสวงหาสิ่งที่เผ่าพันธุ์ต่างๆมีส่วนร่วมกัน ซึ่งจะพิสูจน์ให้เห็นว่าจริงๆแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกัน รัฐชาติใดที่เพียงแต่ใช้การเมืองและการค้าเป็นฐานของความสามัคคีจะไม่สามารถค้นพบคำตอบที่เพียงพอ ผมเข้าใจว่าสำหรับรพินทรนาถคำตอบอยู่ที่วัฒนธรรมและการเรียนรู้ว่า แม้มนุษย์จะมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไปตามสภาพธรรมชาติที่แตกต่างกัน แต่ภายใต้ความแตกต่างนั้นมีความเป็นหนึ่งเดียวกันในความเป็นมนุษย์อยู่ เขาจึงเห็นว่าการศึกษาจะต้องเอื้อให้บุคคลได้สัมผัสกับธรรมชาติ และได้รู้ซึ้งในวัฒนธรรมท้องถิ่นของตนเอง แต่ไม่ใช่อย่างยึดติด แต่โดยเปรียบเทียบกับวัฒนธรรมอื่น แล้วใช้ตรรกและเหตุผลเลือกรักษาไว้และเลือกรับ เขาประกาศว่า ผลผลิตใดก็ตามของมนุษย์ที่เราเข้าใจและนิยมชมชอบกลายเป็นของเราในทันที ไม่ว่าจะมาจากไหน...ฉันภูมิใจในความเป็นมนุษย์ของฉันเมื่อฉันสามารถยอมรับได้ว่ากวีและศิลปินของประเทศอื่นเป็นของประเทศของฉันเอง ขอให้ฉันได้รู้สึกด้วยความดีใจที่บริสุทธิ์และคิดว่าบรรดาความรุ่งโรจน์ทั้งปวงของมนุษย์เป็นของฉัน ดังนั้น ชาตินิยมจึงสำคัญน้อยกว่ามนุษยชาติ(และ) ฉันเชื่อมั่นว่าเพื่อนร่วมชาติของฉันจะได้มาซึ่งอินเดียที่แท้ของเขาโดยการต่อสู้กับการศึกษาชนิดที่สอนเขาว่าประเทศยิ่งใหญ่กว่าอุดมคติของความเป็นมนุษย์ ปาฐกถาของเขาเรื่อง อุดมคติ(ต่างๆ)ของการศึกษาของชาติ ซึ่งแสดงแก่บรรดาราชบัณฑิตสยามคงจะมีเนื้อหาหักมุมทำนองนี้กระมัง
                ส่วนปาฐกถาซึ่งแสดงต่อชาวอินเดียในสยามเรื่อง บทบาท(ต่างๆ) ของอินเดียในโลก นั้น ก็น่าจะเป็นไปในร่องเดียวกัน คือไม่ได้หมายถึงอินเดียซึ่งในขณะนั้นยังคงเป็นอาณานิคมของอังกฤษอยู่ แต่หมายถึงคนและวัฒนธรรมอินเดีย ซึ่งมีความหลากหลายและตามแนวคิดข้างต้นจึงเป็นสิ่งที่ในปัจจุบันเรียกว่า ทุนทางวัฒนธรรม นอกจากนั้นรพินทรนาถยังเคยเขียนไว้ว่า สารพันปัญหาที่อินเดียต้องเผชิญนั้นรวมไว้ซึ่งปัญหาของโลกในที่เดียว...และในการหาวิธีแก้ปัญหาของเรา(ชาวอินเดีย) เราก็จะได้ช่วยแก้ปัญหาของโลกไปด้วย สิ่งที่อินเดียเคยเป็น โลกทั้งโลกกำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน ถ้าอินเดียสามารถนำเสนอทางแก้ปัญหาของอินเดียแก่โลกได้ ก็จะเป็นสิ่งที่อินเดียให้แก่มนุษยชาติ
                สำหรับปาฐกถาที่แสดงต่อชาวจีนในสยามเรื่อง Chinese Birth นั้นมีรายงานข่าวหนังสือพิมพ์ว่าเขาอธิบายว่าชื่อเรื่องมีที่มาจากการที่เขาเดินทางไปจีนเมื่อค.ศ. 1924 สมาคมจันทร์เสี้ยวทำพิธีฉลองวันเกิดให้แก่เขาและตั้งชื่อภาษาจีนให้เขาว่า Chu Chen-tan เขากล่าวที่นั่นว่าเขา หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจีนจะเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งเช่นแต่ก่อน และว่าจีนและอินเดียจะมาใกล้ชิดกันในความเป็นหนึ่งเดียวกันทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรม ซึ่งเราสามารถแลกเปลี่ยนกันและมอบให้แก่โลก ความใฝ่ฝันทำนองนี้กระมังที่เขาพยายามพูดดังในปาฐกถาเรื่อง วัฒนธรรมระดับทวีปของชาวเอเชีย หน้าพระที่นั่ง
การเดินทางท่องไปในมลายา ชวา บาหลี สุมาตรา สยามและกลับไปทางพม่า ของรพินทรนาถ มีวัตถุประสงค์ 2 ประการคือ หนึ่ง เพื่อจะศึกษาสิ่งที่หลงเหลืออยู่ของอารยธรรมอินเดียทั้งในโบราณสถาน ชีวิต ความเป็นอยู่ และศิลปกรรม และ สอง เพื่อให้เกิดความร่วมมือทางวัฒนธรรม ที่ใกล้ชิดระหว่างอินเดียและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านความเลื่อมใสศรัทธาในภารกิจอันเป็นอุดมคติของวิศว-ภารตี มหาวิทยาลัยนานาชาติที่เขาจัดตั้งขึ้นที่ศานตินิเกตัน เพื่อที่ผู้คนต่างศาสนาจะได้มาเรียนรู้ซึ่งกันและกันใน “รัง” เดียวกัน
สำหรับสยาม เขาหวังว่ารัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจะสนับสนุนการสถาปนาตำแหน่งศาสตราจารย์ในสาขาพุทธศาสตร์ในพระนาม กาลมิได้เป็นไปตามที่เขาหวัง ซึ่งคงเป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในรัชกาล จนหลายปีต่อมาทางอินเดียได้สถาปนาขึ้น หากแต่โดยพระราชประสงค์ การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ รพินทรนาถได้ส่งสวามีสัตยานันทบุรีมาประจำ ดังรายละเอียดที่ได้นำเสนอไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
                รพินทรนาถทิ้งคำวิงวอนไว้ว่า ขอให้เรานักฝันใฝ่แห่งตะวันออก และตะวันตก ยังคงเชื่อมั่นในพลังที่สร้างสรรค์แห่งชีวิต ไม่ใช่ในเครื่องจักรที่เพียงแต่สร้าง ในอำนาจที่เก็บหมัดของมันไว้ แต่เบ่งบานด้วยความงาม ไม่ใช่ในอำนาจที่แสดงความดิบหยาบกร้านและหัวเราะหึๆ ด้วยความทรนงในศักยภาพของมันที่จะสำแดงความน่าขยะแขยง ขอให้เรารู้ว่า เครื่องจักรดีเมื่อมันช่วย แต่ไม่ดีเมื่อมันบั่นทอนชีวิต ว่าวิทยาศาสตร์ประเสริฐเมื่อมันทำลายความชั่ว ไม่ใช่เมื่อทั้งสองอย่างมาเป็นพันธมิตรกันในอธรรม คติธรรมนี้ซึ่งเชิดชูมนุษย์ผู้ใช้เสรีภาพและความสามารถในการใช้เหตุผลอย่างรู้จักแยกแยะ เพื่อสร้างสรรค์คุณงามความดี น่าจะเป็นเครื่องเตือนสติทั้งผู้ที่ได้อำนาจมาและผู้ที่ไร้อำนาจแต่กำลังสร้างอำนาจได้ ในสภาพการณ์ของไทยหลังการเลือกตั้ง


* กรรมการพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
[1] International Conference to Commemorate 150th Birth Anniversary of Rabindranath Tagore : ‘Tagore’s Vision for Asia : Human Solidarity  beyond  Nationalism,’ 16-17 June 2011 at Chulalongkorn University [www.chula.ac.th/chulaglobal]

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัย : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว - 26 พฤศจิกายน 2468   : สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนศุโขทัยธรรมราชาเสด็จขึ้นครองราชย์ - 25 กุมภาพันธ์ 2468 :  พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาพระวรชายาเป็นสมเด็จพระบรมราชินี และเสด็จไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถาน (ร.7 พระชนม์ 32 พรรษา,สมเด็จฯ 21 พรรษา) -6 มกราคม -5 กุมภาพันธ์ 2469 : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า รำไพ พรรณีฯ เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพเพื่อเยี่ยมราษฎร -16 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2470 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก -24 มกราคม - 11 กุมภาพันธ์ 2471: เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลภูเก็ต -10 เมษายน-12 เมษายน 2472 : พระราชพิธีราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุข สวนไกลกังวล -พฤษภาคม 2472  : เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลปัตตานี (ทอดพระเนตรสุริยุปราคา) -31 กรกฎาคม -11 ตุลาคม 2472 : เสด็จพระราชดำเนินเยือน สิงคโปร์ ชวา บาหลี -6 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2473 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนอินโดจีน -6 เมษายน - 9 เมษายน 2474 : เสด็จฯเยือนสหรัฐอเมริกาและญี่

ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมสมัยรัชกาลที่ 7

                                                                                                                                   ฉัตรบงกช   ศรีวัฒนสาร [1]                 องค์ประกอบสำคัญในการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของสังคมมนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยสภาวะความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงเป็นพลังสำคัญ ในทัศนะของ อริสโตเติล ( Aristotle) นักปรัชญากรีกโบราณ   ระบุว่า   ศิลปะทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นดนตรี   การแสดง   หรือ ทัศนศิลป์   ล้วนสามารถช่วยซักฟอกจิตใจให้ดีงามได้   นอกจากนี้ในทางศาสนาชาวคริสต์เชื่อว่า   ดนตรีจะช่วยโน้มน้าวจิตใจให้เกิดศรัทธาต่อศาสนาและพระเจ้าได้     การศรัทธาเชื่อมั่นต่อศาสนาและพระเจ้า คือ ความพร้อมที่จะพัฒนาการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ [2]                 ราชบัณฑิตยสถานอธิบายความหมายของศิลปะให้สามารถเข้าใจได้เป็นสังเขปว่า “ศิลปะ(น.)ฝีมือ,   ฝีมือทางการช่าง,   การแสดงออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์เห็น โดยเฉพาะหมายถึง วิจิตรศิลป์ ” [3] ในที่นี้วิจิตรศิลป์ คือ ความงามแบบหยดย้อย   ดังนั้น คำว่า “ศิลปะ” ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถานจึงหมายถึงฝีมือทางการช่างซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา

ห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพ

  ขอบคุณภาพจากพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และขอบคุณเนื้อหาจาก รศ.วุฒิชัย  มูลศิลป์ ภาคีสมาชิกสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง  ราชบัณฑิตยสถาน        พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน รศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี  พระอรรคราชเทวี (ต่อมาคือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ  และสมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ  พระบรมราชชนนี ตามลำดับ)  โดยทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ของสมเด็จพระนางเจ้าฯและองค์ที่ 76 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว     ในห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพนี้  ประเทศไทยหรือในเวลานั้นเรียกว่าประเทศสยาม หรือสยามเพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่มาได้เพียง 1 เดือน 5 วัน  คือ วิกฤตการณ์สยาม ร. ศ. 112 ที่ฝรั่งเศสใช้กำลังเรือรบตีฝ่าป้อมและเรือรบของไทยที่ปากน้ำเข้ามาที่กรุงเทพฯได้  และบีบบังคั