ยาสุกิจิ ยาตาเบ เขียน
: อดีตอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศสยามในช่วงการเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศสยาม
แปลโดย : ศ.เออิจิ มูราชิมา บัณฑิตวิทยาลัยเอเชียแปซิฟิกศึกษา มหาวิทยาลัยวาเซดะ
และ รศ. ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
บทความนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในวารสารศิลปวัฒนธรรมปีที่ 26 ฉบับที่ 8 มิถุนายน 2548
(ขอขอบคุณ รศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ อนุญาตให้พิมพ์เผยแพร่บางส่วน)
ประเทศสยามนับจากสร้างประเทศขึ้นมา ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างการเมืองของรัฐกับเรื่องครอบครัวของพระมหากษัตริย์ การแบ่งแยก 2 สิ่งออกจากกันนั้น กล่าวได้ว่า เพิ่งเริ่มต้นเมื่อทศวรรษ 1890 นี้เอง เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรนับเป็นเรื่องแปลกแต่ประการใดที่รัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของสยามสามารถดำรงอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปีค.ศ. 1932 (พ.ศ.2475) อย่างไรก็ตามได้มีบุคคลที่ไม่เห็นด้วยกับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ดังปรากฏว่ามีคนบางกลุ่มมีความประสงค์ที่จะปฎิรูปการเมือง ตัวอย่าง เช่น หลังจากรัชกาลที่ 6 เสด็จขึ้นครองราชย์ได้ 2 ปี คือปี ค.ศ. 1912 (พ.ศ.2455 ) ปรากฎว่ามีแผนการที่จะก่อการปฏิวัติขึ้น คณะบุคคลที่เข้าร่วมในขบวนการปฏิวัตินั้นมีอยู่ 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งเรียกร้องรัฐธรรมนูญราชาธิปไตย อีกกลุ่มหนึ่งมีเป้าหมายสร้างระบอบสาธารณรัฐขึ้น โดยที่ทั้ง 2 กลุ่ม มีเป้าหมายร่วมกันคือ การโค่นล้มการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กระนั้นก็ตาม แผนการปฏิวัติในสมัยนั้น ปรากฏว่าไม่ประสบความสำเร็จและถูกจับกุมเสียก่อน โดยที่หลายสิบคนได้ถูกจับกุมในคราวเดียวกัน และได้ถูกลงโทษด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เกิดขึ้น ประเทศสยามได้ถูกชักจูงให้เข้าร่วมสงคราม ในปี ค.ศ.1917 (พ.ศ.2460) ประเทศสยามได้ประกาศสงคราม และจัดส่งกองทหารอาสาไปแนวรบด้านตะวันตก ด้วยเหตุนี้ประเทศสยามจึงมีฐานะเป็นประเทศผู้ชนะสงคราม และร่วมลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพที่ปารีส รวมทั้งได้เข้าร่วมในองค์การสันนิบาตชาติ ในฐานะเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เอง สถานะของประเทศสยามในสังคมโลกจึงได้รับการปรับปรุงให้ดีกว่าเดิม นโยบายที่เคยบีบคั้นประเทศสยามจากอังกฤษและฝรั่งเศสก็มีการผ่อนคลายเป็นอันมาก การคุกคามต่อเอกราชของสยามก็ดูจะลดน้อยลง นอกจากนั้นการแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาค ซึ่งเป็นความต้องการของประเทศสยามมาเป็นเวลาช้านาน ก็ได้เริ่มต้นขึ้นในปีค.ศ.1925 (พ.ศ. 2468) ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนและภายหลังจากที่รัชกาลที่ 7 เสด็จขึ้นครองราชย์ การแก้ไขสนธิสัญญาไม่เสมอภาคได้มีผลสำเร็จและนานาประเทศก็ให้การยอมรับมีการยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตเหนือประเทศสยาม และมีการฟื้นฟูอำนาจของสยามในการจัดเก็บภาษีศุลกากร
ในช่วงเวลานั้นความสนใจของรัฐบาลและประชาชนทั่วไปอยู่ที่การแก้ไขความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และขาดเวลาเพียงพอที่จะปฎิรูปการเมืองและพัฒนาทรัพยากรภายในประเทศ ความต้องการของปัญญาชนต่อการปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญราชาธิปไตยค่อยๆทวีความสำคัญมากขึ้น แต่การศึกษาของประชาชนโดยทั่วไป กล่าวได้ว่ายังไม่มีความแพร่หลาย และความคิดทางการเมืองของประชาชนโดยทั่วไปก็ยังมีความด้อยอยู่มาก สื่อมวลชนต่างๆก็ยังอยู่ในระดับเริ่มต้น อีกทั้งยังไม่มีเสรีภาพในการพูด ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะไม่มีขบวนการทางการเมืองที่ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างคึกคัก นอกจากนั้นในช่วงเวลานี้ความสำเร็จทางการทูตในระดับหนึ่งส่งผลให้ความชอบธรรมของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
ในช่วงเวลานั้นความสนใจของรัฐบาลและประชาชนทั่วไปอยู่ที่การแก้ไขความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และขาดเวลาเพียงพอที่จะปฎิรูปการเมืองและพัฒนาทรัพยากรภายในประเทศ ความต้องการของปัญญาชนต่อการปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญราชาธิปไตยค่อยๆทวีความสำคัญมากขึ้น แต่การศึกษาของประชาชนโดยทั่วไป กล่าวได้ว่ายังไม่มีความแพร่หลาย และความคิดทางการเมืองของประชาชนโดยทั่วไปก็ยังมีความด้อยอยู่มาก สื่อมวลชนต่างๆก็ยังอยู่ในระดับเริ่มต้น อีกทั้งยังไม่มีเสรีภาพในการพูด ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะไม่มีขบวนการทางการเมืองที่ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างคึกคัก นอกจากนั้นในช่วงเวลานี้ความสำเร็จทางการทูตในระดับหนึ่งส่งผลให้ความชอบธรรมของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1925 (พ.ศ. 2468) ภายหลังจากพระเชษฐาของพระองค์เสด็จสวรรคต พระองค์ทรงมีความคิดที่ก้าวหน้า และทรงดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างการปกครองและการคลัง พระองค์ทรงมีความกล้าหาญที่ลดทอนงบประมาณรายจ่ายของสำนักพระราชวังลงครึ่งหนึ่ง ระเบียบวินัยของข้าราชการซึ่งมีแนวโน้มเสื่อมโทรมลงมาตั้งแต่สมัยรัชกาลก่อน ก็ได้รับการปรับปรุง นอกจากนี้ยังทรงมีพระราชนิยมให้ลดจำนวนข้าราชการชาวต่างประเทศลง เพราะฉะนั้นประชาชนทั้งในระดับล่างและระดับบนก็เริ่มมีความคาดหวังต่อการเปลี่ยนแปลงของรัชกาลใหม่
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษแต่เยาว์วัย ทรงสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยที่ประเทศอังกฤษ และจากโรงเรียนเสนาธิการของประเทศฝรั่งเศส พระองค์ทรงเป็นคนไทยคนแรกที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเสนาธิการทหารนี้ พระองค์มีแนวพระราชดำริแบบเสรีนิยมค่อนข้างมาก นับจากขึ้นครองราชสมบัติแล้วเราดูจากภายนอกรู้ได้ว่า พระองค์มีแนวพระราชดำริที่จะเริ่มการปกครองในแบบรัฐธรรมนูญราชาธิปไตย กล่าวคือ ภายหลังจากครองราชย์ได้ไม่นาน พระองค์ทรงปรับปรุงกรรมการองคมนตรีสภา ซึ่งแต่เดิมไม่มีบทบาทและมีแต่ชื่อมานานโดยทรงปรับปรุงและจัดให้มีกรรมการจำนวน 40 คน ซึ่งได้รับการคัดเลือกมาจากกระทรวงต่างๆ ทำหน้าที่เป็นองค์กรทางด้านนิติบัญญัติ กฎหมายสำคัญๆ ต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการองคมนตรีสภานี้ พระบรมราชโองการในการปฎิรูปกรรมการองคมนตรีสภานี้ กล่าวว่า การปฎิรูปในคราวนี้มีจุดประสงค์เริ่มต้น คือ ทำให้การปฏิรูปในขั้นต่อไปง่ายขึ้น จัดเป็นการทดลองและฝึกฝนให้กรรมการองคมนตรีสภามีความเข้าใจกระบวนการรัฐสภา จากประกาศนี้ทำให้เราเข้าใจพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ กล่าวคือ คณะกรรมการองคมนตรีสภา เป็นการเตรียมการเพื่อพัฒนาระบบรัฐสภานิติบัญญัติในอนาคต ซึ่งจะต้องปฎิรูปต่อไปอีหลายขั้นตอน หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงแสดงพระราชประสงค์ว่าพระองค์ต้องการให้การเมืองพัฒนาไปเป็นระบบรัฐสภา ในปีค.ศ. 1931 (พ.ศ.2474) เมื่อพระองค์เสด็จประพาสสหรัฐอเมริกาเพื่อรักษาพระเนตรนั้น พระองค์ได้ให้สัมภาษณ์แก่นักหนังสือพิมพ์ว่า ประเทศสยามจะมีรัฐบาลในระบอบรัฐธรรมนูญในอีกไม่นานนี้
เพราะฉะนั้นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ จึงจัดอยู่ในระดับขั้นเริ่มต้นของการเตรียมการไปสู่ระบอบรัฐธรรมนูญราชาธิปไตยตามกระแสของโลก เรื่องนี้ไม่มีใครสงสัยเลย อย่างไรก็ตามในช่วงปลายเดือนมิถุนายน ค.ศ.1932 (พ.ศ.2475) ได้มีการปฎิวัติเกิดขึ้น แต่ก่อนการปฎิวัติในช่วงต้นเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1932 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้เสด็จฯแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวล หัวหิน ในครั้งนั้นพระองค์ได้นำเอาร่างรัฐธรรมนูญพระราชทานไปด้วย การยกร่างรัฐธรรมนูญฯ นี้เป็นผลงานของกรมหมื่นเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ โดยน้อมรับพระราชกระแสรับสั่งจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ในการนี้เสนาบดีได้ปรึกษากับปลัดทูลฉลอง (พระยาศรีวิสารวาจา - ผู้แปล) และที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศ (เรย์มอนด์ บี. สตีเวนส์, Raymond B. Stevens- ผู้แปล) ยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้น โดยที่การยกร่างรัฐธรรมนูญฯนี้ถือเป็นความลับชั้นสูงสุด ดังนั้นจึงไม่มีใครล่วงรู้เลยว่า การยกร่างรัฐธรรมนูญได้สำเร็จเรียบร้อยและอยู่ในพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เรื่องที่เป็นความลับและไม่มีใครล่วงรู้ได้ดังกล่าวนี้นับเป็นโชคชะตาของประเทศไทย
อำนาจตกอยู่ในมือเจ้านาย
พระบรมราโชบายภายหลังการเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ที่มีความสำคัญมากกว่าการปฎิรูประบบองคมนตรี ได้แก่ การจัดตั้งอภิรัฐมนตรีสภา อภิรัฐมนตรีสภานี้ประกอบด้วยเจ้านายชั้นสูงจำนวน 4 - 6 พระองค์ และเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่กำหนดนโยบายสูงสุดของประเทศ โดยอยู่เหนือกว่าคณะเสนาบดี เรื่องนี้ไม่มีคำอธิบายอย่างเป็นทางการว่า เพราะเหตุใดพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ จึงทรงจัดตั้งอภิรัฐมนตรีสภาขึ้นทันทีภายหลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์ แต่ผู้เขียนมีความเข้าใจว่า เพราะพระองค์เป็นพระอนุชาพระองค์เล็กของพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อน รวมทั้งได้เสด็จขึ้นครองราชย์อย่างกะทันหัน ฉะนั้นจึงทรงต้องการสนับสนุนจากเจ้านายชั้นสูง เพื่อให้การปฎิรูปในหลายสิ่งหลายประการประสบความสำเร็จ รวมทั้งการปฎิรูปการเมืองใหม่ด้วย (แต่การอธิบายของนิทรรศการถาวรที่ พิพิธภัณฑ์รัชกาลที่ 7 คือ "for myself, I was a dark horse" : พระองค์มิได้ทรงปรารถนาเป็นพระมหากษัตริย์แต่ด้วยโชคชะตาและความเหมาะสมทำให้ต้องยอมรับตำแหน่งและทรงต้องการจำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์ จึงทรงตั้งพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงที่เคยรับราชการตั้งแต่สมัยพระราชบิดาและพระเชษฐาขึ้นเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน - ฉัตรบงกช : อาจารย์ประจำพิพิธภัณฑ์ร.7)
การจัดตั้งอภิรัฐมนตรีสภานี้ ในระยะแรกประชาชนทุกคนมีความปลื้มปิติ เพราะเป็นปฏิกิริยาต่อการเล่นพวกพ้องและการประจบสอพลอในสมัยรัชกาลก่อน อย่างไรก็ดีข้อบกพร่องของการเมืองมิได้มีสาเหตุมาจากระบบ แต่อยู่ที่ตัวบุคคลที่ใช้ระบบนั้น ดังจะเห็นได้ว่าภายหลังจากการจัดตั้งอภิรัฐมนตรีสภาขึ้นแล้ว ฐานะและอำนาจทางการเมืองของเจ้านายทวีเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก นอกจากนั้นตำแหน่งของอภิรัฐมนตรีสภา โดยกฎหมายได้กำหนดไว้ว่าเป็นตำแหน่งเฉพาะของบรรดาเจ้านายเท่านั้น และตำแหน่งเสนาบดีต่างๆก็ตกเป็นของเจ้านายเพิ่มขึ้น ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อเกิดการปฎิวัติ 1932 ตำแหน่งเสนาบดีรวม 9 ตำแหน่งนั้น ปรากฎว่า 6 ตำแหน่งเป็นของเจ้านาย เพราะฉะนั้นในสมัยรัชกาลก่อนบรรกาพวกข้าราชการที่ประจบสอพลอประมาณ 2-3 คน มีอำนาจและถูกวิพากาวิจารณ์มาก แต่ครั้นมาถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯปรากฎว่าพวกเจ้านายได้ใช้อำนาจปกครองตามอำเภอใจ ตำแหน่งสำคัญๆของรัฐบาลมีลักษณะผูกขาดโดยบรรดาพวกเจ้านาย การเมืองสยามในสมัยนั้นไม่ใช่ว่าจะเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่โดยแท้จริงแล้วเป็นระบอบคณาธิปไตยของพวกเจ้านายเสียมากกว่า และเมื่อจำเป็นต้องมีการเลื่อนชั้นข้าราชการตำแหน่งสำคัญๆปรากฎว่ามีการใช้เส้นสายเป็นอันมาก ความไม่พอใจของบรรดาข้าราชการพลเรือนและทหารจึงทวีเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้เสนาบดีที่เป็นเจ้านายบางพระองค์ได้ปรากฎข่าวลือว่ามีการใช้ตำแหน่งเสนาบดีแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน และผู้เขียนเคยได้ยินว่ามีคนวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาลว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ แต่ไม่มีความเหมาะสมกับประเทศสยาม ซึ่งพวกเจ้านายบางพระองค์ได้พยายามผลักดันนโยบายที่แปลกใหม่นั้นเพื่อความพึงพอใจของตนเองเป็นสำคัญ และไม่สนใจการสูญเสียผลประโยชน์ของประชาชน ข่าวลือประเภทนี้เราไม่สามารถหาหลักฐานได้ในทุกกรณี แต่เรื่องทำนองนี้ก็มีความสำคัญอยู่ที่ว่า การปรากฎของข่าวลือนั้นแสดงถึงความไม่พึงพอใจของประชาชนต่อการปกครองของเจ้านาย มากกว่าจะเป็นประเด็นว่าเรื่องข่าวลือนั้นมีความจริงหรือไม่ วิธีการแก้ไขความเสื่อมโทรมทางการเมืองของเจ้านายนั้น ปรากฎว่าไม่มีการดำเนินการเลยในช่วงเวลานั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ผู้ทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะปฎิรูปการเมืองในสมัยต้นรัชกาล พระองค์ทรงมีพระพลานามัยไม่สมบูรณ์ เพราะฉะนั้นแนวโน้มของระบอบคณาธิปไตยของเจ้านายที่เลวร้ายจึงพอกพูนและทวีสะสมขึ้น และถึงแม้นว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ จะทรงมีแนวพระราชดำริแบบ เสรีนิยม พระองค์ทรงมีความเข้าใจความเป็นไปของโลกอีกทั้งมีพระราชประสงค์จะสถาปนาระบอบรัฐธรรมนูญราชาธิปไตยขึ้น
นอกจากนี้ในบันทึกความทรงจำของนักการทูตชาวญี่ปุ่นท่านนี้ ยังมีการกล่าวถึงเรื่องที่คณะราษฎรยอมประนีประนอมทางการเมืองกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในเรื่องการลงนามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ซึ่งคณะราษฎรยอมรับข้อบกพร่องที่มีอยู่ในพระราชบัญญัติธรรมนูญปกครองแผ่นดินสยามที่ฝ่ายตนร่างขึ้นมา ดังความตอนหนึ่งคือ
"ฝ่ายคณะราษฎรได้อ่านธรรมนูญการปกครองแผ่นดินที่เตรียมไว้และขอให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯลงพระนามทันที แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯทรงกล่าวว่า พระองค์มีพระราชประสงค์ขออ่านดูก่อน ฝ่ายคณะราษฎรได้ให้เวลาหนึ่งชั่วโมง และได้ขอร้องให้พระองค์ทรงอ่านทั้งหมดโดยเร็ว แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯไม่สนพระทัย ได้เสด็จไปยังห้องอื่น หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ทรงตรัสว่า เวลามีน้อย และมีบางเรื่องที่ไม่เข้าใจทั้งหมด จึงไม่สามารถลงพระนามได้ พระองค์ไม่ยอมลงพระนามโดยง่าย ในท้ายที่สุด ฝ่ายคณะราษฎรได้ให้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ จนถึงเวลา 17 นาฬิกาของวันที่ 27 มิถุนายน " (ยาสุกิจิ ยาตาเบ, การปฏิวัติและการเปลี่ยนแปลงในประเทศสยาม,แปลโดย เออิจิ มูราชิมา และนครินทร์ เมฆไตรรัตน์,หน้า 19)
(อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ได้จากวารสารศิลปวัฒนธรรมปีที่ 26 ฉบับที่ 8 มิถุนายน 2548)
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษแต่เยาว์วัย ทรงสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยที่ประเทศอังกฤษ และจากโรงเรียนเสนาธิการของประเทศฝรั่งเศส พระองค์ทรงเป็นคนไทยคนแรกที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเสนาธิการทหารนี้ พระองค์มีแนวพระราชดำริแบบเสรีนิยมค่อนข้างมาก นับจากขึ้นครองราชสมบัติแล้วเราดูจากภายนอกรู้ได้ว่า พระองค์มีแนวพระราชดำริที่จะเริ่มการปกครองในแบบรัฐธรรมนูญราชาธิปไตย กล่าวคือ ภายหลังจากครองราชย์ได้ไม่นาน พระองค์ทรงปรับปรุงกรรมการองคมนตรีสภา ซึ่งแต่เดิมไม่มีบทบาทและมีแต่ชื่อมานานโดยทรงปรับปรุงและจัดให้มีกรรมการจำนวน 40 คน ซึ่งได้รับการคัดเลือกมาจากกระทรวงต่างๆ ทำหน้าที่เป็นองค์กรทางด้านนิติบัญญัติ กฎหมายสำคัญๆ ต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการองคมนตรีสภานี้ พระบรมราชโองการในการปฎิรูปกรรมการองคมนตรีสภานี้ กล่าวว่า การปฎิรูปในคราวนี้มีจุดประสงค์เริ่มต้น คือ ทำให้การปฏิรูปในขั้นต่อไปง่ายขึ้น จัดเป็นการทดลองและฝึกฝนให้กรรมการองคมนตรีสภามีความเข้าใจกระบวนการรัฐสภา จากประกาศนี้ทำให้เราเข้าใจพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ กล่าวคือ คณะกรรมการองคมนตรีสภา เป็นการเตรียมการเพื่อพัฒนาระบบรัฐสภานิติบัญญัติในอนาคต ซึ่งจะต้องปฎิรูปต่อไปอีหลายขั้นตอน หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงแสดงพระราชประสงค์ว่าพระองค์ต้องการให้การเมืองพัฒนาไปเป็นระบบรัฐสภา ในปีค.ศ. 1931 (พ.ศ.2474) เมื่อพระองค์เสด็จประพาสสหรัฐอเมริกาเพื่อรักษาพระเนตรนั้น พระองค์ได้ให้สัมภาษณ์แก่นักหนังสือพิมพ์ว่า ประเทศสยามจะมีรัฐบาลในระบอบรัฐธรรมนูญในอีกไม่นานนี้
การเสด็จฯ ประพาสสหรัฐอเมริกา |
คณะ "อภิรัฐมนตรี" ประกอบด้วยเจ้านายชั้นสูงทำหน้าที่กำหนดนโยบายสูงสุดของประเทศ |
อำนาจตกอยู่ในมือเจ้านาย
พระบรมราโชบายภายหลังการเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ที่มีความสำคัญมากกว่าการปฎิรูประบบองคมนตรี ได้แก่ การจัดตั้งอภิรัฐมนตรีสภา อภิรัฐมนตรีสภานี้ประกอบด้วยเจ้านายชั้นสูงจำนวน 4 - 6 พระองค์ และเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่กำหนดนโยบายสูงสุดของประเทศ โดยอยู่เหนือกว่าคณะเสนาบดี เรื่องนี้ไม่มีคำอธิบายอย่างเป็นทางการว่า เพราะเหตุใดพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ จึงทรงจัดตั้งอภิรัฐมนตรีสภาขึ้นทันทีภายหลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์ แต่ผู้เขียนมีความเข้าใจว่า เพราะพระองค์เป็นพระอนุชาพระองค์เล็กของพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อน รวมทั้งได้เสด็จขึ้นครองราชย์อย่างกะทันหัน ฉะนั้นจึงทรงต้องการสนับสนุนจากเจ้านายชั้นสูง เพื่อให้การปฎิรูปในหลายสิ่งหลายประการประสบความสำเร็จ รวมทั้งการปฎิรูปการเมืองใหม่ด้วย (แต่การอธิบายของนิทรรศการถาวรที่ พิพิธภัณฑ์รัชกาลที่ 7 คือ "for myself, I was a dark horse" : พระองค์มิได้ทรงปรารถนาเป็นพระมหากษัตริย์แต่ด้วยโชคชะตาและความเหมาะสมทำให้ต้องยอมรับตำแหน่งและทรงต้องการจำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์ จึงทรงตั้งพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงที่เคยรับราชการตั้งแต่สมัยพระราชบิดาและพระเชษฐาขึ้นเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน - ฉัตรบงกช : อาจารย์ประจำพิพิธภัณฑ์ร.7)
การจัดตั้งอภิรัฐมนตรีสภานี้ ในระยะแรกประชาชนทุกคนมีความปลื้มปิติ เพราะเป็นปฏิกิริยาต่อการเล่นพวกพ้องและการประจบสอพลอในสมัยรัชกาลก่อน อย่างไรก็ดีข้อบกพร่องของการเมืองมิได้มีสาเหตุมาจากระบบ แต่อยู่ที่ตัวบุคคลที่ใช้ระบบนั้น ดังจะเห็นได้ว่าภายหลังจากการจัดตั้งอภิรัฐมนตรีสภาขึ้นแล้ว ฐานะและอำนาจทางการเมืองของเจ้านายทวีเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก นอกจากนั้นตำแหน่งของอภิรัฐมนตรีสภา โดยกฎหมายได้กำหนดไว้ว่าเป็นตำแหน่งเฉพาะของบรรดาเจ้านายเท่านั้น และตำแหน่งเสนาบดีต่างๆก็ตกเป็นของเจ้านายเพิ่มขึ้น ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อเกิดการปฎิวัติ 1932 ตำแหน่งเสนาบดีรวม 9 ตำแหน่งนั้น ปรากฎว่า 6 ตำแหน่งเป็นของเจ้านาย เพราะฉะนั้นในสมัยรัชกาลก่อนบรรกาพวกข้าราชการที่ประจบสอพลอประมาณ 2-3 คน มีอำนาจและถูกวิพากาวิจารณ์มาก แต่ครั้นมาถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯปรากฎว่าพวกเจ้านายได้ใช้อำนาจปกครองตามอำเภอใจ ตำแหน่งสำคัญๆของรัฐบาลมีลักษณะผูกขาดโดยบรรดาพวกเจ้านาย การเมืองสยามในสมัยนั้นไม่ใช่ว่าจะเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่โดยแท้จริงแล้วเป็นระบอบคณาธิปไตยของพวกเจ้านายเสียมากกว่า และเมื่อจำเป็นต้องมีการเลื่อนชั้นข้าราชการตำแหน่งสำคัญๆปรากฎว่ามีการใช้เส้นสายเป็นอันมาก ความไม่พอใจของบรรดาข้าราชการพลเรือนและทหารจึงทวีเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้เสนาบดีที่เป็นเจ้านายบางพระองค์ได้ปรากฎข่าวลือว่ามีการใช้ตำแหน่งเสนาบดีแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน และผู้เขียนเคยได้ยินว่ามีคนวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาลว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ แต่ไม่มีความเหมาะสมกับประเทศสยาม ซึ่งพวกเจ้านายบางพระองค์ได้พยายามผลักดันนโยบายที่แปลกใหม่นั้นเพื่อความพึงพอใจของตนเองเป็นสำคัญ และไม่สนใจการสูญเสียผลประโยชน์ของประชาชน ข่าวลือประเภทนี้เราไม่สามารถหาหลักฐานได้ในทุกกรณี แต่เรื่องทำนองนี้ก็มีความสำคัญอยู่ที่ว่า การปรากฎของข่าวลือนั้นแสดงถึงความไม่พึงพอใจของประชาชนต่อการปกครองของเจ้านาย มากกว่าจะเป็นประเด็นว่าเรื่องข่าวลือนั้นมีความจริงหรือไม่ วิธีการแก้ไขความเสื่อมโทรมทางการเมืองของเจ้านายนั้น ปรากฎว่าไม่มีการดำเนินการเลยในช่วงเวลานั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ผู้ทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะปฎิรูปการเมืองในสมัยต้นรัชกาล พระองค์ทรงมีพระพลานามัยไม่สมบูรณ์ เพราะฉะนั้นแนวโน้มของระบอบคณาธิปไตยของเจ้านายที่เลวร้ายจึงพอกพูนและทวีสะสมขึ้น และถึงแม้นว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ จะทรงมีแนวพระราชดำริแบบ เสรีนิยม พระองค์ทรงมีความเข้าใจความเป็นไปของโลกอีกทั้งมีพระราชประสงค์จะสถาปนาระบอบรัฐธรรมนูญราชาธิปไตยขึ้น
นอกจากนี้ในบันทึกความทรงจำของนักการทูตชาวญี่ปุ่นท่านนี้ ยังมีการกล่าวถึงเรื่องที่คณะราษฎรยอมประนีประนอมทางการเมืองกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในเรื่องการลงนามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ซึ่งคณะราษฎรยอมรับข้อบกพร่องที่มีอยู่ในพระราชบัญญัติธรรมนูญปกครองแผ่นดินสยามที่ฝ่ายตนร่างขึ้นมา ดังความตอนหนึ่งคือ
"ฝ่ายคณะราษฎรได้อ่านธรรมนูญการปกครองแผ่นดินที่เตรียมไว้และขอให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯลงพระนามทันที แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯทรงกล่าวว่า พระองค์มีพระราชประสงค์ขออ่านดูก่อน ฝ่ายคณะราษฎรได้ให้เวลาหนึ่งชั่วโมง และได้ขอร้องให้พระองค์ทรงอ่านทั้งหมดโดยเร็ว แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯไม่สนพระทัย ได้เสด็จไปยังห้องอื่น หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ทรงตรัสว่า เวลามีน้อย และมีบางเรื่องที่ไม่เข้าใจทั้งหมด จึงไม่สามารถลงพระนามได้ พระองค์ไม่ยอมลงพระนามโดยง่าย ในท้ายที่สุด ฝ่ายคณะราษฎรได้ให้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ จนถึงเวลา 17 นาฬิกาของวันที่ 27 มิถุนายน " (ยาสุกิจิ ยาตาเบ, การปฏิวัติและการเปลี่ยนแปลงในประเทศสยาม,แปลโดย เออิจิ มูราชิมา และนครินทร์ เมฆไตรรัตน์,หน้า 19)
(อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ได้จากวารสารศิลปวัฒนธรรมปีที่ 26 ฉบับที่ 8 มิถุนายน 2548)
ประเทศไทย
ตอบลบ