หนังสือพิมพ์ นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะสื่อมวลชนประเภทหนึ่ง การจัดทำหนังสือพิมพ์ตั้งแต่ปลายสมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงต้นรัชกาลที่ 6 จัดหน้าแรกของหนังสือพิมพ์เป็นเรื่องของการโฆษณาสินค้าทั้งหมด หน้าต่อไปจึงเป็นข่าวที่มีปะปนไปกับการโฆษณาแจ้งความต่างๆ ซึ่งในสมัยนั้นข่าวยังไม่ได้แยกแบ่งเป็นหมวดหมู่ มีทั้งข่าวภายในประเทศ ข่าวต่างประเทศ ข่าวต่างจังหวัด และบทความยังลงปะปนกัน ไม่ได้แบ่งหน้าเป็นสัดส่วนเฉพาะ ต่อมาจึงมีความเปลี่ยนแปลง เช่นมีการพาดหัวข่าว เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความสนใจในข่าว
เช่น การใช้ภาษาที่ตื่นเต้นชวนให้อ่านข่าว ต่อมาเมื่อกิจการการพิมพ์เจริญขึ้น มีโรงพิมพ์เพิ่มหลายแห่งขึ้น และประชาชนสนใจข่าวสารบ้านเมืองมากขึ้น จึงมีหนังสือพิมพ์ออกกันอย่างแพร่หลาย ทั้ง ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน ดังรายชื่อหนังสือพิมพ์รายวันในสมัยรัชกาลที่ 6 ดังนี้
1. สามสมัย เจ้าของ คือ นายเพ็ง พ.ศ. 2453
2.สยามราษฎร์ เจ้าของ คือ นายสุกรี วสุวัต พ.ศ. 2463-2468
3. ประชาโภคา เจ้าของคือ โรงพิมพ์บุญช่วยเจริญ พ.ศ. 2464-2465
4. ยามาโต เจ้าของ คือ นายไอ มียาคาวา พ.ศ. 2465-2466
5. บางกอกการเมือง เจ้าของ คือ นายหอม นิลรัตน์ ณ กรุงเทพฯ พ.ศ. 2466-2475
6. ข่าวสด เจ้าของ คือ นายหอม นิลรัตน์ ณ กรุงเทพฯ พ.ศ. 2466-2466 เป็นต้น
ส่วนหนังสือพิมพ์ในพระบรมราชูปถัมภ์ของรัชกาลที่ 6 คือ หนังสือพิมพ์ไทย หนังสือพิมพ์ดุสิตสมิต ดุสิตสมัย และดุสิตสักขี และทวีปัญญา ทรงเขียนบทความต่างๆ และเปิดโอกาสให้มีการเขียนวิพากษ์วิจารณ์โต้ตอบกัน เช่น เมืองไทยจงตื่นเถิด โคลนติดล้อ พร้อมทั้งวาดภาพการ์ตูนล้อการเมือง ศิลปินการ์ตูนิสต์การเมืองคนแรกของเมืองไทย คือ เปล่ง ไตรปิ่น (ขุนปฏิภาคพิมพ์ลิขิต) เขียนล้อเลียน บุคคลสำคัญ อาทิเจ้านายและขุนนางสำคัญ อาทิ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เจ้าพระยายมราช พระยามโนปกรณ์นิติธาดา เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี เป็นต้น
ตั้งแต่ปลายสมัยรัชกาลที่ 5 และต้นรัชกาลที่ 6 เป็นต้นมา เริ่มมีหนังสือพิมพ์การเมืองเกิดขึ้นมาก เช่น จีนโนสยามวารศัพท์ (2450) บางกอกเดลิเมล์ (2451) บางกอกการเมือง (2465) เกราะเหล็ก (2467) นสพ.ดังกล่าวมีลักษณะวิพากษ์วิจารณ์การเมืองสูงมาก เป็นการวิจารณ์รัฐบาล และการทำงานของข้าราชการ นับเป็นครั้งแรกของงานการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลโดยหนังสือพิมพ์ ตั้งแต่นโยบายด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การฉ้อราษฎรบังหลวง ไปจนถึงเรื่องซุบซิบเกี่ยวกับชีวิตส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 6 และรัฐบาลจึงรับมือกับนสพ.เหล่านี้ด้วยการให้เงินอุปถัมภ์เป็นการเข้าซื้อกิจการหนังสือพิมพ์บางฉบับ เช่น นสพ.ไทย กรุงเทพเดลิเมล์ และทรงออกเอง คือ ดุสิตสมิต (2461) นสพ.ดังกล่าวไม่เพียงเสนอความเห็นเป็นฝ่ายเดียวกับรัฐบาล แต่ยังปกป้องนโยบายรัฐบาลอีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงถูกล้อเลียนว่า เป็นหนังสือพิมพ์ "ขอรับกระผม"
ในปีพ.ศ. 2465 รัชกาลที่ 6 ทรงออกพระราชบัญญัติว่าด้วยสมุด เอกสารและหนังสือพิมพ์ที่ให้อำนาจแก่รัฐบาลในการใช้วิธีทางกฎหมายควบคุมนสพ.แต่กฎหมายดังกล่าวไม่ประสบผลนักในการหยุดยั้งที่จะวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7 ทรงออกพระราชบัญญัติว่าด้วยสมุด เอกสารและหนังสือพิมพ์ พ.ศ. 2470 มีหนังสือพิมพ์และวารสาร ที่ออกมาในช่วง 4 ปีของช่วงต้นรัชกาลระหว่างพ.ศ. 2468-2472 มีมากถึง 121 ฉบับ เป็น หนังสือพิมพ์รายวัน 18 ฉบับ จากการศึกษาพบว่าใน จำนวน 121 ฉบับ มี 65 ฉบับที่มีอายุน้อยกว่า 1 ปี และจากรายวัน 13 ฉบับจาก 18 ฉบับมีอายุน้อยกว่า 2 ปี
สยามรีวิว เป็นหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ ที่แตกแขนงออกมาจาก บางกอกการเมืองและไทยหนุ่ม โดยมีคณะผู้ดำเนินการที่เคยทำงานอยู่ในกองบรรณาธิการบางกอกการเมือง และไทยหนุ่มมาก่อน เช่น นายถนิม เลาหะวิไลย (เจ้าของแต่ในนาม ส่วนเจ้าของตัวจริงคือ นายพร้อม เจ้าของร้านพร้อมพรรณ)นายชอ้อน อำพล เป็นบรรณาธิการ ข้อน่าสนใจก็คือ สยามรีวิว มีนักเขียนประจำที่มาจากผู้ก่อการ ร.ศ. 130 เช่น นายจรูญ นายอุทัย นายบ๋วย บุณยรัตน์พันธุ์ เป็นต้น จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่งานเขียนในสยามรีวิวจะมีความโดดเด่นตรงที่ มักวิพากษ์วิจารณ์การเมืองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
กระทั่งถูกเพ่งเล็งจากฝ่ายรัฐบาลเสมอ โดยเฉพาะบทความที่ชื่อ "ราษฎรตื่นแล้ว" [ฉบับประจำวันที่ 10 กรกฎาคม 2470] ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการเรียกร้องให้มีการจัดตั้งรัฐสภา สำหรับเป็นที่แสดงความคิดเห็นของราษฎร
ในขณะเดียวกับที่หนังสือพิมพ์ฉบับอื่น ๆ ต่างก็มีบทความเรียกร้องในทำนองเดียวกัน เช่น เรื่อง "อำนาจเจ้า" ในหนังสือพิมพ์กรรมกร เรื่อง "สิทธิแห่งราษฎร" ใน พิมพ์ไทย เรื่อง "ให้ราษฎรมีเสียงในการเมือง" ใน บางกอกเดลิเมล์ เป็นต้น ผลกระทบที่จะเห็นได้ในชั้นถัดไปนั้น ได้แก่ การที่มีบางแนวคิดทรงอิทธิพลอย่างมาก สำหรับการเมืองในกระแสทางเลือกขณะนั้น "ประชาธิปไตย" มีความหมายตรงข้ามกับ "ราชาธิปไตย" และระหว่าง "ชาติ" กับ "กษัตริย์" นั้นมีการกลับหัวเป็นท้ายกันเกิดขึ้น กล่าวคือเดิม "ชาติ" ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นสิ่งที่ต้องยึดโยงเป็นรองหรือขึ้นต่อ "กษัตริย์" โดยเฉพาะ "ชาติ" ตามแนวพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทศวรรษ 2470 นั้น "กษัตริย์" ต้องขึ้นต่อและ / หรือมีความสำคัญน้อยลงโดยเปรียบเทียบกับ "ชาติ" ซึ่งมีความหมายเท่ากับอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนอีกต่อหนึ่ง โดยที่ในความเป็นจริงจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
การกล่าวเช่นนี้, การที่ "ชาติ" กับ "กษัตริย์" สัมพันธ์กันเช่นนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าก่อน 2475 จะไม่มี "ชาติ" จะถูกต้องกว่าถ้าบอกว่ามี แต่อยู่ในอีกรูปแบบหนึ่ง แม้ในทางโครงสร้างแล้ว "รัฐประชาชาติ" จะกำเนิดหลัง 2475 ก็จริง แต่ในเชิงอุดมคติ แนวคิด เป้าหมาย อุดมการณ์ แล้ว "ชาติ" มีรากกำเนิดมาก่อนหน้านั้น "รัฐประชาชาติ" กับ "ชาตินิยม" เป็นคนละสิ่งกัน อย่างหลังมีความยืดหยุ่นจนสามารถแยกจำแนกออกไปได้อีก ส่วนอย่างแรกยึดติดกับโครงสร้างซึ่งยากแก่การปรับเปลี่ยน ตรงข้ามกลับมักเข้มแข็งขึ้นตามลำดับพัฒนาการของการเมืองสมัยใหม่ ไม่ใช่เสมอไปที่รัฐประชาชาติจะเป็น "เหตุ" ให้เกิดแนวคิดและสิ่งประดิษฐ์ทางชาตินิยม แต่รัฐประชาชาติอาจเป็น "ผล" รวมจากการก่อเกิดของสิ่งเหล่านั้นอยู่ก่อนแล้ว ถ้าบอกไม่มี "ชาติ" ก่อน 2475 โดยตรรกะ [หรือในทางตรงข้าม] แล้วก็เท่ากับบอกว่าหลัง 2475 ไม่มี "กษัตริย์" ซึ่งจะผิดพลาดจนน่าขันเสียมากกว่า !!
อย่างไรก็ตาม การที่ "กษัตริย์" ต้องเป็นรองและขึ้นต่อ "ชาติ" นี้เองทำให้เกิดความเป็นไปได้ทั้งในทฤษฎีและการปฏิบัติ สำหรับแนวคิดสาธารณรัฐนิยมในสังคมไทย ในความเป็นจริงแนวคิดดังกล่าวก็ได้รับความสนใจ และหยั่งรากลึกในความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองกระแสทางเลือกร่วมสมัย แต่ก็เพียงชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น โดยผลกระทบของการเคลื่อนไหวแนวคิดดังกล่าวเห็นได้ทางหนึ่งก็เช่นในคำประกาศกร้าวของคณะราษฎรที่ว่า
ถ้ากษัตริย์ตอบปฏิเสธหรือไม่ตอบภายในกำหนดโดยเห็นแก่ส่วนตน ว่าจะถูกลดอำนาจลงมาก็จะชื่อว่าทรยศต่อชาติ และก็เป็นการจำเป็นที่ประเทศจะต้องมีการปกครองอย่างประชาธิปไตย กล่าวคือประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญ ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้ตั้งขึ้นอยู่ในตำแหน่งตามกำหนดเวลาก่อนที่กษัตริย์นิยมแบบหนึ่ง กับระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญจึงเป็นทางออกที่ถูกเลือกในเวลาต่อมา
เซียวฮุดเสง สีบุญเรือง เป็นชาวจีนคนหนึ่งที่เกิดและเติบโตในเมืองไทย เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ไทยปลายสมัยรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2450) -สมัยรัชกาลที่ 6 โดยออกหนังสือพิมพ์จีนโนสยามวารศัพท์ แสดงความชื่นชมกับคณะราษฎรเมื่อการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 สำเร็จ
ศึกษาเพิ่มเติมได้จาก :
1.เพ็ญพิสุทธิ์ อินทรภิรมย์ "บทบาทและการเคลื่อนไหวทางการเมืองของเซียวฮุดเสง พ.ศ. 2450-2474 วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต ประวัติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีการศึกษา 2544.
2. อัจฉราพร กมุทพิสมัย "ปัญหาภายในก่อนการปฏิวัติ 2475 : ภาพสะท้อนจากเอกสารและงานเขียนทางหนังสือพิมพ์" กรุงเทพฯ : สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2530.
3. มาลี บุญศิริพันธ์ "เสรีภาพหนังสือพิมพ์ไทย" กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์,2548
เช่น การใช้ภาษาที่ตื่นเต้นชวนให้อ่านข่าว ต่อมาเมื่อกิจการการพิมพ์เจริญขึ้น มีโรงพิมพ์เพิ่มหลายแห่งขึ้น และประชาชนสนใจข่าวสารบ้านเมืองมากขึ้น จึงมีหนังสือพิมพ์ออกกันอย่างแพร่หลาย ทั้ง ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน ดังรายชื่อหนังสือพิมพ์รายวันในสมัยรัชกาลที่ 6 ดังนี้
1. สามสมัย เจ้าของ คือ นายเพ็ง พ.ศ. 2453
2.สยามราษฎร์ เจ้าของ คือ นายสุกรี วสุวัต พ.ศ. 2463-2468
3. ประชาโภคา เจ้าของคือ โรงพิมพ์บุญช่วยเจริญ พ.ศ. 2464-2465
4. ยามาโต เจ้าของ คือ นายไอ มียาคาวา พ.ศ. 2465-2466
5. บางกอกการเมือง เจ้าของ คือ นายหอม นิลรัตน์ ณ กรุงเทพฯ พ.ศ. 2466-2475
6. ข่าวสด เจ้าของ คือ นายหอม นิลรัตน์ ณ กรุงเทพฯ พ.ศ. 2466-2466 เป็นต้น
ส่วนหนังสือพิมพ์ในพระบรมราชูปถัมภ์ของรัชกาลที่ 6 คือ หนังสือพิมพ์ไทย หนังสือพิมพ์ดุสิตสมิต ดุสิตสมัย และดุสิตสักขี และทวีปัญญา ทรงเขียนบทความต่างๆ และเปิดโอกาสให้มีการเขียนวิพากษ์วิจารณ์โต้ตอบกัน เช่น เมืองไทยจงตื่นเถิด โคลนติดล้อ พร้อมทั้งวาดภาพการ์ตูนล้อการเมือง ศิลปินการ์ตูนิสต์การเมืองคนแรกของเมืองไทย คือ เปล่ง ไตรปิ่น (ขุนปฏิภาคพิมพ์ลิขิต) เขียนล้อเลียน บุคคลสำคัญ อาทิเจ้านายและขุนนางสำคัญ อาทิ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เจ้าพระยายมราช พระยามโนปกรณ์นิติธาดา เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี เป็นต้น
ตั้งแต่ปลายสมัยรัชกาลที่ 5 และต้นรัชกาลที่ 6 เป็นต้นมา เริ่มมีหนังสือพิมพ์การเมืองเกิดขึ้นมาก เช่น จีนโนสยามวารศัพท์ (2450) บางกอกเดลิเมล์ (2451) บางกอกการเมือง (2465) เกราะเหล็ก (2467) นสพ.ดังกล่าวมีลักษณะวิพากษ์วิจารณ์การเมืองสูงมาก เป็นการวิจารณ์รัฐบาล และการทำงานของข้าราชการ นับเป็นครั้งแรกของงานการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลโดยหนังสือพิมพ์ ตั้งแต่นโยบายด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การฉ้อราษฎรบังหลวง ไปจนถึงเรื่องซุบซิบเกี่ยวกับชีวิตส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 6 และรัฐบาลจึงรับมือกับนสพ.เหล่านี้ด้วยการให้เงินอุปถัมภ์เป็นการเข้าซื้อกิจการหนังสือพิมพ์บางฉบับ เช่น นสพ.ไทย กรุงเทพเดลิเมล์ และทรงออกเอง คือ ดุสิตสมิต (2461) นสพ.ดังกล่าวไม่เพียงเสนอความเห็นเป็นฝ่ายเดียวกับรัฐบาล แต่ยังปกป้องนโยบายรัฐบาลอีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงถูกล้อเลียนว่า เป็นหนังสือพิมพ์ "ขอรับกระผม"
ในปีพ.ศ. 2465 รัชกาลที่ 6 ทรงออกพระราชบัญญัติว่าด้วยสมุด เอกสารและหนังสือพิมพ์ที่ให้อำนาจแก่รัฐบาลในการใช้วิธีทางกฎหมายควบคุมนสพ.แต่กฎหมายดังกล่าวไม่ประสบผลนักในการหยุดยั้งที่จะวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7 ทรงออกพระราชบัญญัติว่าด้วยสมุด เอกสารและหนังสือพิมพ์ พ.ศ. 2470 มีหนังสือพิมพ์และวารสาร ที่ออกมาในช่วง 4 ปีของช่วงต้นรัชกาลระหว่างพ.ศ. 2468-2472 มีมากถึง 121 ฉบับ เป็น หนังสือพิมพ์รายวัน 18 ฉบับ จากการศึกษาพบว่าใน จำนวน 121 ฉบับ มี 65 ฉบับที่มีอายุน้อยกว่า 1 ปี และจากรายวัน 13 ฉบับจาก 18 ฉบับมีอายุน้อยกว่า 2 ปี
นสพ.รายสัปดาห์สมัยรัชกาลที่ 7 (พ.ศ. 2469-2470) |
สยามรีวิว เป็นหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ ที่แตกแขนงออกมาจาก บางกอกการเมืองและไทยหนุ่ม โดยมีคณะผู้ดำเนินการที่เคยทำงานอยู่ในกองบรรณาธิการบางกอกการเมือง และไทยหนุ่มมาก่อน เช่น นายถนิม เลาหะวิไลย (เจ้าของแต่ในนาม ส่วนเจ้าของตัวจริงคือ นายพร้อม เจ้าของร้านพร้อมพรรณ)นายชอ้อน อำพล เป็นบรรณาธิการ ข้อน่าสนใจก็คือ สยามรีวิว มีนักเขียนประจำที่มาจากผู้ก่อการ ร.ศ. 130 เช่น นายจรูญ นายอุทัย นายบ๋วย บุณยรัตน์พันธุ์ เป็นต้น จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่งานเขียนในสยามรีวิวจะมีความโดดเด่นตรงที่ มักวิพากษ์วิจารณ์การเมืองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
กระทั่งถูกเพ่งเล็งจากฝ่ายรัฐบาลเสมอ โดยเฉพาะบทความที่ชื่อ "ราษฎรตื่นแล้ว" [ฉบับประจำวันที่ 10 กรกฎาคม 2470] ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการเรียกร้องให้มีการจัดตั้งรัฐสภา สำหรับเป็นที่แสดงความคิดเห็นของราษฎร
ในขณะเดียวกับที่หนังสือพิมพ์ฉบับอื่น ๆ ต่างก็มีบทความเรียกร้องในทำนองเดียวกัน เช่น เรื่อง "อำนาจเจ้า" ในหนังสือพิมพ์กรรมกร เรื่อง "สิทธิแห่งราษฎร" ใน พิมพ์ไทย เรื่อง "ให้ราษฎรมีเสียงในการเมือง" ใน บางกอกเดลิเมล์ เป็นต้น ผลกระทบที่จะเห็นได้ในชั้นถัดไปนั้น ได้แก่ การที่มีบางแนวคิดทรงอิทธิพลอย่างมาก สำหรับการเมืองในกระแสทางเลือกขณะนั้น "ประชาธิปไตย" มีความหมายตรงข้ามกับ "ราชาธิปไตย" และระหว่าง "ชาติ" กับ "กษัตริย์" นั้นมีการกลับหัวเป็นท้ายกันเกิดขึ้น กล่าวคือเดิม "ชาติ" ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นสิ่งที่ต้องยึดโยงเป็นรองหรือขึ้นต่อ "กษัตริย์" โดยเฉพาะ "ชาติ" ตามแนวพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทศวรรษ 2470 นั้น "กษัตริย์" ต้องขึ้นต่อและ / หรือมีความสำคัญน้อยลงโดยเปรียบเทียบกับ "ชาติ" ซึ่งมีความหมายเท่ากับอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนอีกต่อหนึ่ง โดยที่ในความเป็นจริงจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
การกล่าวเช่นนี้, การที่ "ชาติ" กับ "กษัตริย์" สัมพันธ์กันเช่นนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าก่อน 2475 จะไม่มี "ชาติ" จะถูกต้องกว่าถ้าบอกว่ามี แต่อยู่ในอีกรูปแบบหนึ่ง แม้ในทางโครงสร้างแล้ว "รัฐประชาชาติ" จะกำเนิดหลัง 2475 ก็จริง แต่ในเชิงอุดมคติ แนวคิด เป้าหมาย อุดมการณ์ แล้ว "ชาติ" มีรากกำเนิดมาก่อนหน้านั้น "รัฐประชาชาติ" กับ "ชาตินิยม" เป็นคนละสิ่งกัน อย่างหลังมีความยืดหยุ่นจนสามารถแยกจำแนกออกไปได้อีก ส่วนอย่างแรกยึดติดกับโครงสร้างซึ่งยากแก่การปรับเปลี่ยน ตรงข้ามกลับมักเข้มแข็งขึ้นตามลำดับพัฒนาการของการเมืองสมัยใหม่ ไม่ใช่เสมอไปที่รัฐประชาชาติจะเป็น "เหตุ" ให้เกิดแนวคิดและสิ่งประดิษฐ์ทางชาตินิยม แต่รัฐประชาชาติอาจเป็น "ผล" รวมจากการก่อเกิดของสิ่งเหล่านั้นอยู่ก่อนแล้ว ถ้าบอกไม่มี "ชาติ" ก่อน 2475 โดยตรรกะ [หรือในทางตรงข้าม] แล้วก็เท่ากับบอกว่าหลัง 2475 ไม่มี "กษัตริย์" ซึ่งจะผิดพลาดจนน่าขันเสียมากกว่า !!
อย่างไรก็ตาม การที่ "กษัตริย์" ต้องเป็นรองและขึ้นต่อ "ชาติ" นี้เองทำให้เกิดความเป็นไปได้ทั้งในทฤษฎีและการปฏิบัติ สำหรับแนวคิดสาธารณรัฐนิยมในสังคมไทย ในความเป็นจริงแนวคิดดังกล่าวก็ได้รับความสนใจ และหยั่งรากลึกในความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองกระแสทางเลือกร่วมสมัย แต่ก็เพียงชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น โดยผลกระทบของการเคลื่อนไหวแนวคิดดังกล่าวเห็นได้ทางหนึ่งก็เช่นในคำประกาศกร้าวของคณะราษฎรที่ว่า
ถ้ากษัตริย์ตอบปฏิเสธหรือไม่ตอบภายในกำหนดโดยเห็นแก่ส่วนตน ว่าจะถูกลดอำนาจลงมาก็จะชื่อว่าทรยศต่อชาติ และก็เป็นการจำเป็นที่ประเทศจะต้องมีการปกครองอย่างประชาธิปไตย กล่าวคือประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญ ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้ตั้งขึ้นอยู่ในตำแหน่งตามกำหนดเวลาก่อนที่กษัตริย์นิยมแบบหนึ่ง กับระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญจึงเป็นทางออกที่ถูกเลือกในเวลาต่อมา
เซียวฮุดเสง สีบุญเรือง เป็นชาวจีนคนหนึ่งที่เกิดและเติบโตในเมืองไทย เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ไทยปลายสมัยรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2450) -สมัยรัชกาลที่ 6 โดยออกหนังสือพิมพ์จีนโนสยามวารศัพท์ แสดงความชื่นชมกับคณะราษฎรเมื่อการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 สำเร็จ
ศึกษาเพิ่มเติมได้จาก :
1.เพ็ญพิสุทธิ์ อินทรภิรมย์ "บทบาทและการเคลื่อนไหวทางการเมืองของเซียวฮุดเสง พ.ศ. 2450-2474 วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต ประวัติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีการศึกษา 2544.
2. อัจฉราพร กมุทพิสมัย "ปัญหาภายในก่อนการปฏิวัติ 2475 : ภาพสะท้อนจากเอกสารและงานเขียนทางหนังสือพิมพ์" กรุงเทพฯ : สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2530.
3. มาลี บุญศิริพันธ์ "เสรีภาพหนังสือพิมพ์ไทย" กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์,2548
นายถนิม เลาหะวิไลย ค่ะ ไม่ใช่ นายสนิท เลาหะวิไล ..ไลย มี ย ด้วยค่ะ จึงจะถูกต้อง
ตอบลบ