จากหนังสือกราบบังคมทูลดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักดีว่าในวันหนึ่งข้างหน้าประเทศไทยจะต้องปกครองในระบบรัฐสภา และการที่ทรงปรึกษากับพระยากัลยาณไมตรี (Dr. Francis B" Sayre) ศาสตราจารย์สอนวิชากฏหมายแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่มาเยือนกรุงเทพฯในระหว่างหยุดพักฤดูร้อน ปีพ.ศ. 2469 พระองค์ทรงมีพระราชหัตถเลขาลงวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2469 ไปทรงปรึกษาเป็นการส่วนพระองค์ว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่สยามจะเปลี่ยนรูปแบบการปกครองเป็นประชาธิปไตยและควรมีรูปแบบเป็นประการใด ซึ่งพระยากลัยาณไมตรี ได้กราบบังคมทูลถวายความเห็นว่า ขณะนี้ (พ.ศ. 2469) ประเทศสยามยังไม่ควรมีการปกครองในระบอบรัฐสภา และควรใช้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ต่อไปตามเดิมก่อนเพราะความสำเร็จและประสิทธิภาพของรัฐสภาเป็นผลมาจากการที่ประชาชนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งเป็นผู้มีความรู้ทางการเมืองดีพอ
หากรัฐสภาขาดการควบคุมจากประชาชนแล้ว ก็อาจกลายเป็นเผด็จการทางรัฐสภาได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จึงใคร่รอให้ประชาชนส่วนมากได้รับการศึกษาให้มากพอเสียก่อนจึงให้มีรัฐสภาประกอบด้วยผู้แทนซึ่งประชาชนเลือกมาโดยตรง (อ้างจากหนังสือลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2469 ของพระยากัลยาณไมตรี กราบบังคมทูลรัชกาลที่ 7 ) พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพก็ทรงมีความเห็นสอดคล้องกับพระยากัลยาณไมตรีในเรื่องที่ว่าประเทศสยามยังขาดความพร้อม ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงเตรียมการปูพื้นฐานการปกครองในระบอบรัฐสภาโดยตั้งคณะทำงานขึ้นคณะหนึ่งเมื่อปลายปีพ.ศ. 2469 เรียกว่า "คณะกรรมการจัดระเบียบองคมนตรี" มีสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต เป็นประธาน พระวรวงศ์ พระองค์เจ้าธานีนิวัติ หม่อมเจ้าสิทธิพร หม่อมเจ้าดำรัสดำรงค์ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี พระยาสุรินทราชา พระยาจินดาภิรมย์ พระยาเทพวิฑุรพหุลศรุตาบดี และพระยาโกมารกุลมนตรี เป็นกรรมการ การพิจารณาจัดระเบียบองคมนตรีใหม่สำเร็จลงด้วยการประชุมเพียง 5 ครั้งเท่านั้น คือ การประชุมในวันที่ 11 ,12,13 เมษายน 2470 วันที่ 23 พฤษภาคม 2470 และวันที่ 20 มิถุนายน 2470 การที่สามารถจัดทำพระราชบัญญัติสำเร็จในเวลาอันสั้นนั้น เป็นเพราะพระราชประสงค์ประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง เป็นเพราะสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตได้ทรงให้พระยาจินดาภิรมย์ (จิตร ณ สงขลา) ร่างเค้าโครงพระราชบัญญัติฉบับนี้ขึ้นเพื่อเป็นพื้นฐานพิจารณาในที่ประชุม รายงานการประชุมเพื่อจัดทำพระราชบัญญัติองคมนตรีใหม่นั้น มีข้อความหลายตอนที่แสดงให้เห็นถึงพระราชปณิธานอันแน่วแน่ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่จะวางรากฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตย (รศ.ดร.สนธิ เตชานันท์ รวบรวมแผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว)
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริจะพระราชทานระบอบประชาธิปไตยให้แก่ประชาชนโดยเร็ว แต่พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ได้กราบบังคมทูลให้ยับยั้งพระราชดำรินั้นไว้ ด้วยเหตุผลว่า พลเมืองไทยยังอ่อนการศึกษาถึง 90% ของพลเมืองทั้งหมด หากพระราชทานลงไปเมื่อใดความไม่สงบและความเดือดร้อนจะบังเกิดขึ้นทั่วพระราชอาณาจักร เพราะคนที่ไร้การศึกษาหมู่มาก ย่อมกระทำอะไรลงไปได้ตามอารมณ์ โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลแล้วแต่พวกมากลากไป จึงเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะพระราชทานระบอบประชาธิปไตย แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯทรงเห็นว่า คนที่ฉลาดส่วนน้อยต่างหากจะเป็นผู้นำคนโง่ให้ลุกฮือขึ้นจับอาวุธเข้าประหัตประหารกันเองจนนองเลือด พระองค์จึงทรงมีพระราชวินิจฉัยอย่างมุ่งมั่นที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้กับปวงชนชาวไทย เห็นได้ว่าการที่พระองค์รอเวลาที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ เพราะปัญหามีอยู่ว่าเมื่อไรจึงจะถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนระบอบการปกครองทรงพระราชดำริเห็นว่า เมื่อประชาชนมีความรู้พอที่จะใช้การปกครองระบบรัฐสภาอย่างได้ผลซึ่งก็คงจะต้องถึงเวลาอันควรเปลี่ยนระบอบการปกครองเช่นนั้นในวันหนึ่งอย่างแน่นอนจึงมีพระราชดำริว่า ในขณะที่รอเวลาที่จะมาถึงนั้น จะต้องคิดดูว่าจะรอให้ราษฎรเรียกร้องเอาเองหรือจะชิงให้เสียก่อน เพราะถ้าหากขัดไว้ช้าเกินไปแล้วต้องยอมให้ก็ไม่เหมาะและอาจจะมีผลร้าย ถ้าแม้ยอมให้เร็วเกินไป ราษฎรยังไม่มีความรู้ก็อาจไม่เป็นงานและอาจเป็นผลให้เกิดจลาจลขึ้นในบ้านเมือง เช่นที่เกิดในประเทศอื่นๆ ด้วยเหตุนี้จึงทรงมีพระราชดำริว่าจะต้องคิดเตรียมการไว้ ทางหนึ่งที่ทรงเห็นว่าจะทำได้คือ ปล่อยให้มีการประชุมขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เช่น อังกฤษได้ทำแก่ประเทศเมืองขึ้นของตนเป็นสำคัญ โดยการให้มีสภาเทศบาลและการปกครองท้องถิ่นทรงพยายามเสาะแสวงหาความรู้ในท้องถิ่นต่างๆของประเทศเพื่อจะได้ทราบความเป็นอยู่ของประชาชน แล้วนำมาเป็นเครื่องประกอบวางนโยบายด้านการเมืองการปกครอง พระราชกรณียกิจในการเสด็จฯไปเยี่ยมเยียนราษฎรในถิ่นต่างๆจากเหนือสุดจรดอำเภอเชียนแสน จ.เชียงราย และใต้สุดถึงจ.ปัตตานี ยังขาดแต่ภาคตะวันออก ที่ราบสูงนครราชสีมาและภาคอีสานเท่านั้น ซึ่งเตรียมการจะเสด็จประพาส แต่ยังไม่มีโอกาสเหมาะจะเสด็จไป
พระราชดำริที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ชาวไทยนั้น ปรากฏหลักฐานเอกสารเมื่อคราวเสด็จฯประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อรักษาพระเนตร เมื่อพ.ศ. 2474 ทรงมีพระราชดำรัสแก่ผู้แทนหนังสือพิมพ์ต่างๆ ในเรื่องเกี่ยวกับการปกครองว่า มีพระราชประสงค์ให้ราษฎรได้มีส่วนในการปกครองบ้านเมืองมากขึ้น โดยจะทรงวางแนวทางชั้นต้นให้หัดในวงแคบก่อน คือออกพระราชบัญญัติเทศบาลให้ราษฎรเลือกผู้แทนเข้าเป็นคณะกรรมการจัดการปกครองท้องที่อย่างนคราภิบาลหรือเทศบาลในท้องที่ของตนแล้วจึงให้ราษฎรเลือกผู้แทนเป็นสมาชิกรัฐสภาเพื่ออำนวยและกำกับการปกครองทั่วประเทศ
หนังสือไทยเขษมรายเดือน ประจำเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2474ได้ตีพิมพ์เรื่องนี้ในคอลัมน์ "ความดำเนินของโลก" ดังนี้
"...เพื่ออำนวยและกำกับการปกครองทั่วทั้งประเทศ ให้แสดงพระราชปรารภว่า จะใคร่ทอดพระเนตรวิธีการเลือกของอเมริกาว่า ให้ผลสมประสงค์ของราษฎรหรือไม่เนื่องจากพระราชดำรัสและพระราชปรารภนี้ หนังสือพิมพ์ข่าวต่างๆในส.ป.ร. อเมริกา ได้พากันออกความเห็นขนานใหญ่ ซึ่งเป็นเสียงแสดงความไม่พอใจในวิธีเลือกผู้แทนของตน และบางฉบับก็ห้ามอย่าให้เมืองไทยเอาอย่างอเมริกา เช่น นิวยอร์คแกรฟฟิค เป็นต้น หนังสือพิมพ์บางกอกเดลิเมล์ของเราได้ออกความเห็นเรื่องนี้และกล่าวว่าไม่ควรถือเอาความเห็นของหนังสืออเมริกานั้นๆ ตามตัวอักษรมากเกินไปแต่ก็ไม่ควรละ เมินไม่ฟังเสียงเสียทีเดียว เผอิญเวลานี้เป็นสมัยตกต่ำ เต็มไปด้วยความลำบากยากแค้นและขุ่นเข็ญทั้งหลายเหล่านี้ จำเพาะมาต่อความสมบูรณ์พูนสุขซึ่งได้เสื่อมคลายหายไปหยกๆ เมื่อเร็วๆนี้เองจิตใจของอเมริกันกำลังงุ่นง่านไม่รู้ว่าจะจับติดที่ไหนและไม่อยากโทษตัวเอง ก็เลยไปโทษเอาผู้แทนที่ตัวเลือกเข้าไปเป็นผู้มีอำนาจในการปกครองของบ้านเมือง บางกอกเดลิเมล์ของเรา ซึ่งบรรณาธิการเป็นชาวอเมริกันแสดงความเห็นต่อไปว่า ความมุ่งหมายวิธีปกครองที่ขึ้นชื่อว่า "การปกครองของราษฎร เพื่อราษฎร และโดยราษฎร" นี้เป็นความมุ่งหมายหาที่ติมิได้ เป็นแผนการปกครองวิเศษที่สุด แต่ความบกพร่องที่เห็นอยู่ในอเมริกันนั้น เกิดแต่วิธีเลือกยังไม่เหมาะ ถ้าสำหรับของเราได้คัดวิธีเลือกให้เหมาะให้ได้ผลตามน้ำใสใจจริงของราษฎรแท้จริงแล้ว แผนการปกครองอย่างใหม่นี้ก็ควรจะวิเศษสุดจริงๆ เราเห็นว่าพระราชปรารภที่ใคร่จะทรงเห็นวิธีเลือกผู้แทนของราษฎรอเมริกันว่า ได้ผลสมประสงค์ของราษฎรหรือไม่นั้น ถึงแม้วิธีของอเมริกา จะเป็นวิธีไม่ดีตามบางกอก เดลิเมล์ว่าการที่ได้ทรงเห็นด้วยพระเนตรพระกรรณ คงเป็นเครื่องประกอบพระราชดำริเป็นประโยชน์ต่อไปในข้างหน้าไม่น้อย ในพระราชดำรัสก็แสดงพระราชกุศโลบายไว้ชัดแจ้งแล้วว่า "สยามใช้วิธีดัดแปลง (Adapt) และไม่ชอบวิธีเอาอย่างทั้งแท่ง (Adopt)"
วิธีเลือกผู้แทนอย่างไรจึงจะได้ผลสมปรารถนาของราษฎรนี้แหละ เป็นหัวใจของการปกครองอย่างเดโมคราซี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวย่อมทรงพระปรีชาญาณหยั่งเห็นแล้ว จึงได้ทรงพระราชปรารภใคร่จะทอดพระเนตรวิธีเลือกผู้แทนของอเมริกาว่าให้ผลสมปรารถนาของราษฎรหรือไม่..."
หนังสือพิมพ์ในอเมริกาหลายฉบับได้ประโคมข่าวการสัมภาษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างเอิกเกริก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่พระองค์ทรงยืนยันว่า พอเสด็จกลับถึงเมืองไทยครั้งนี้แล้ว ก็ทรงปฎิวัติการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยทันที หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งได้ลงภาพล้อ เป็นบุรุษร่างเล็กสวมมงกุฎ กำลังยื่นรัฐธรรมนูญ ซึ่งวาดเป็นม้วนกระดาษกลมๆยาวๆให้แก่ราษฎรไทย
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริจะพระราชทานระบอบประชาธิปไตยให้แก่ประชาชนโดยเร็ว แต่พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ได้กราบบังคมทูลให้ยับยั้งพระราชดำรินั้นไว้ ด้วยเหตุผลว่า พลเมืองไทยยังอ่อนการศึกษาถึง 90% ของพลเมืองทั้งหมด หากพระราชทานลงไปเมื่อใดความไม่สงบและความเดือดร้อนจะบังเกิดขึ้นทั่วพระราชอาณาจักร เพราะคนที่ไร้การศึกษาหมู่มาก ย่อมกระทำอะไรลงไปได้ตามอารมณ์ โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลแล้วแต่พวกมากลากไป จึงเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะพระราชทานระบอบประชาธิปไตย แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯทรงเห็นว่า คนที่ฉลาดส่วนน้อยต่างหากจะเป็นผู้นำคนโง่ให้ลุกฮือขึ้นจับอาวุธเข้าประหัตประหารกันเองจนนองเลือด พระองค์จึงทรงมีพระราชวินิจฉัยอย่างมุ่งมั่นที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้กับปวงชนชาวไทย เห็นได้ว่าการที่พระองค์รอเวลาที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ เพราะปัญหามีอยู่ว่าเมื่อไรจึงจะถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนระบอบการปกครองทรงพระราชดำริเห็นว่า เมื่อประชาชนมีความรู้พอที่จะใช้การปกครองระบบรัฐสภาอย่างได้ผลซึ่งก็คงจะต้องถึงเวลาอันควรเปลี่ยนระบอบการปกครองเช่นนั้นในวันหนึ่งอย่างแน่นอนจึงมีพระราชดำริว่า ในขณะที่รอเวลาที่จะมาถึงนั้น จะต้องคิดดูว่าจะรอให้ราษฎรเรียกร้องเอาเองหรือจะชิงให้เสียก่อน เพราะถ้าหากขัดไว้ช้าเกินไปแล้วต้องยอมให้ก็ไม่เหมาะและอาจจะมีผลร้าย ถ้าแม้ยอมให้เร็วเกินไป ราษฎรยังไม่มีความรู้ก็อาจไม่เป็นงานและอาจเป็นผลให้เกิดจลาจลขึ้นในบ้านเมือง เช่นที่เกิดในประเทศอื่นๆ ด้วยเหตุนี้จึงทรงมีพระราชดำริว่าจะต้องคิดเตรียมการไว้ ทางหนึ่งที่ทรงเห็นว่าจะทำได้คือ ปล่อยให้มีการประชุมขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เช่น อังกฤษได้ทำแก่ประเทศเมืองขึ้นของตนเป็นสำคัญ โดยการให้มีสภาเทศบาลและการปกครองท้องถิ่นทรงพยายามเสาะแสวงหาความรู้ในท้องถิ่นต่างๆของประเทศเพื่อจะได้ทราบความเป็นอยู่ของประชาชน แล้วนำมาเป็นเครื่องประกอบวางนโยบายด้านการเมืองการปกครอง พระราชกรณียกิจในการเสด็จฯไปเยี่ยมเยียนราษฎรในถิ่นต่างๆจากเหนือสุดจรดอำเภอเชียนแสน จ.เชียงราย และใต้สุดถึงจ.ปัตตานี ยังขาดแต่ภาคตะวันออก ที่ราบสูงนครราชสีมาและภาคอีสานเท่านั้น ซึ่งเตรียมการจะเสด็จประพาส แต่ยังไม่มีโอกาสเหมาะจะเสด็จไป
พระราชดำริที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ชาวไทยนั้น ปรากฏหลักฐานเอกสารเมื่อคราวเสด็จฯประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อรักษาพระเนตร เมื่อพ.ศ. 2474 ทรงมีพระราชดำรัสแก่ผู้แทนหนังสือพิมพ์ต่างๆ ในเรื่องเกี่ยวกับการปกครองว่า มีพระราชประสงค์ให้ราษฎรได้มีส่วนในการปกครองบ้านเมืองมากขึ้น โดยจะทรงวางแนวทางชั้นต้นให้หัดในวงแคบก่อน คือออกพระราชบัญญัติเทศบาลให้ราษฎรเลือกผู้แทนเข้าเป็นคณะกรรมการจัดการปกครองท้องที่อย่างนคราภิบาลหรือเทศบาลในท้องที่ของตนแล้วจึงให้ราษฎรเลือกผู้แทนเป็นสมาชิกรัฐสภาเพื่ออำนวยและกำกับการปกครองทั่วประเทศ
หนังสือไทยเขษมรายเดือน ประจำเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2474ได้ตีพิมพ์เรื่องนี้ในคอลัมน์ "ความดำเนินของโลก" ดังนี้
"...เพื่ออำนวยและกำกับการปกครองทั่วทั้งประเทศ ให้แสดงพระราชปรารภว่า จะใคร่ทอดพระเนตรวิธีการเลือกของอเมริกาว่า ให้ผลสมประสงค์ของราษฎรหรือไม่เนื่องจากพระราชดำรัสและพระราชปรารภนี้ หนังสือพิมพ์ข่าวต่างๆในส.ป.ร. อเมริกา ได้พากันออกความเห็นขนานใหญ่ ซึ่งเป็นเสียงแสดงความไม่พอใจในวิธีเลือกผู้แทนของตน และบางฉบับก็ห้ามอย่าให้เมืองไทยเอาอย่างอเมริกา เช่น นิวยอร์คแกรฟฟิค เป็นต้น หนังสือพิมพ์บางกอกเดลิเมล์ของเราได้ออกความเห็นเรื่องนี้และกล่าวว่าไม่ควรถือเอาความเห็นของหนังสืออเมริกานั้นๆ ตามตัวอักษรมากเกินไปแต่ก็ไม่ควรละ เมินไม่ฟังเสียงเสียทีเดียว เผอิญเวลานี้เป็นสมัยตกต่ำ เต็มไปด้วยความลำบากยากแค้นและขุ่นเข็ญทั้งหลายเหล่านี้ จำเพาะมาต่อความสมบูรณ์พูนสุขซึ่งได้เสื่อมคลายหายไปหยกๆ เมื่อเร็วๆนี้เองจิตใจของอเมริกันกำลังงุ่นง่านไม่รู้ว่าจะจับติดที่ไหนและไม่อยากโทษตัวเอง ก็เลยไปโทษเอาผู้แทนที่ตัวเลือกเข้าไปเป็นผู้มีอำนาจในการปกครองของบ้านเมือง บางกอกเดลิเมล์ของเรา ซึ่งบรรณาธิการเป็นชาวอเมริกันแสดงความเห็นต่อไปว่า ความมุ่งหมายวิธีปกครองที่ขึ้นชื่อว่า "การปกครองของราษฎร เพื่อราษฎร และโดยราษฎร" นี้เป็นความมุ่งหมายหาที่ติมิได้ เป็นแผนการปกครองวิเศษที่สุด แต่ความบกพร่องที่เห็นอยู่ในอเมริกันนั้น เกิดแต่วิธีเลือกยังไม่เหมาะ ถ้าสำหรับของเราได้คัดวิธีเลือกให้เหมาะให้ได้ผลตามน้ำใสใจจริงของราษฎรแท้จริงแล้ว แผนการปกครองอย่างใหม่นี้ก็ควรจะวิเศษสุดจริงๆ เราเห็นว่าพระราชปรารภที่ใคร่จะทรงเห็นวิธีเลือกผู้แทนของราษฎรอเมริกันว่า ได้ผลสมประสงค์ของราษฎรหรือไม่นั้น ถึงแม้วิธีของอเมริกา จะเป็นวิธีไม่ดีตามบางกอก เดลิเมล์ว่าการที่ได้ทรงเห็นด้วยพระเนตรพระกรรณ คงเป็นเครื่องประกอบพระราชดำริเป็นประโยชน์ต่อไปในข้างหน้าไม่น้อย ในพระราชดำรัสก็แสดงพระราชกุศโลบายไว้ชัดแจ้งแล้วว่า "สยามใช้วิธีดัดแปลง (Adapt) และไม่ชอบวิธีเอาอย่างทั้งแท่ง (Adopt)"
วิธีเลือกผู้แทนอย่างไรจึงจะได้ผลสมปรารถนาของราษฎรนี้แหละ เป็นหัวใจของการปกครองอย่างเดโมคราซี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวย่อมทรงพระปรีชาญาณหยั่งเห็นแล้ว จึงได้ทรงพระราชปรารภใคร่จะทอดพระเนตรวิธีเลือกผู้แทนของอเมริกาว่าให้ผลสมปรารถนาของราษฎรหรือไม่..."
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น