ม.ร.ว.พฤทธิสาณ ชุมพล
ในสองตอนที่แล้ว ได้พาท่องไปตามสถานที่ต่างๆในพระราชวังดุสิต
โดยได้เพียงแต่แทรกเนื้อหา “พระปกเกล้าศึกษา” เข้าไว้ตามสมควร ในตอนนี้
จะได้เข้าสู่รัชสมัยของพระองค์ โดยเล่าถึงพระราชกรณียกิจที่ทรงประกอบ ณ
สถานที่ต่างๆเหล่านั้น โดยใช้ข้อมุลจากหนังสือ จดหมายเหตุพระราชกรณียกิจรายวันฯทั้งสองภาค1
เป็นส่วนใหญ่
ประทับ ณ
พระที่นั่งอัมพรสถาน
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงรับราชสมบัติในปลายเดือนพฤศจิกายน
พ.ศ.2468 นั้น พระองค์ได้ย้ายพระราชฐานจากวังศุโขทัย
วังส่วนพระองค์ที่ริมคลองสามเสน
ไปประทับที่พระที่นั่งบรมพิมานในพระบรมมหาราชวังเป็นปฐม
ครั้นเมื่อได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อเดือนกุมภาพันธ์
พ.ศ.2469 แล้ว หลายเดือน จึงได้ทรงประกอบพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร ณ
พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ศกนั้น ที่ห้องอาวุธ พระที่นั่งอัมพรสถาน
มีพิธีสงฆ์แล้ว “เวลา 6 นาฬิกา 51 นาที 51 วินาที” หลังเที่ยง เป็นประถมฤกษ์
เสด็จขึ้นเถลิงพระแท่นบรรทมเป็นพระฤกษ์พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินี”23
จากนั้นเวียนเทียนสมโภชพระราชมณเฑียร ต่อมาประทับโต๊ะเสวยพร้อมด้วยเจ้านาย
ฝ่ายหน้า สมเด็จฯเสวยพร้อมด้วยเจ้านายฝ่ายใน และในเวลากลางคืนมีการฉายภาพยนตร์
ห้องพระบรรทมนั้น อยู่ที่ชั้นสองของพระที่นั่งอัมพรสถาน
โดยมิได้ทรงใช้ห้องพระบรรทมของสมเด็จพระปิยมหาราชที่ชั้นสาม24
แม้ว่าพระที่นั่งอัมพรสถานจะเป็นที่ซึ่งทรงใช้เป็นสถานที่หลักในการทรงงานราชการแผ่นดิน
เมื่อประทับอยู่ในพระนคร ก็ตาม แต่ก็ปรากฎว่าบ่อยครั้ง
พระองค์และสมเด็จฯได้เสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่วังศุโขทัย ซึ่งทรงถือเป็น
“บ้าน” ส่วนพระองค์ เป็นระยะๆ บางครั้งเป็นเวลาหลายสัปดาห์
หรือไม่ก็เสด็จฯไปทรงเทนนิสที่นั่นเป็นบางวัน แต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24
มิถุนายน พ.ศ.2475 เมื่อเสด็จฯ กลับมาจากวังไกลกังวล หัวหิน ได้เสด็จฯ
เข้าประทับที่วังศุโขทัย และ 2 เดือนหลังจากนั้นทรงย้ายไปประทับที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน25
(ซึ่งทรงโปรดเกล้าฯ ให้รวมไว้ในพระราชวังดุสิตแล้ว) โดยมิได้เสด็จฯ กลับไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถานอีกเลย
เสมือนเป็นสัญลักษณ์ของการที่พระราชสถานะได้เปลี่ยนแปลงไป ต่อมาเมื่อต้นเดือนมกราคม
พ.ศ.2476 (นับศักราชตามเดิม) ได้เสด็จประพาสยุโรปและแล้วทรงสละราชสมบัติขณะที่ประทับอยู่
ณ ประเทศอังกฤษ
พระราชกรณียกิจสำคัญๆที่พระที่นั่งอัมพรสถานฯ อนันต์ฯและอภิเษกดุสิต
หากศึกษาพระราชกิจรายวันฯ
จะเห็นว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จลง ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ทรงเป็นประธานในที่ประชุมอภิรัฐมนตรีสภา
แทบทุกสัปดาห์ ในขณะที่เสด็จฯไปที่พระที่นั่งอนันตสมาคม ประทับเป็นประธานในการประชุมเสนาบดีสภา
แทบทุกสัปดาห์เช่นเดียวกัน อีกทั้งเสด็จออกให้ขุนนางเฝ้าฯที่พระที่นั่งอนันต์ฯบ่อยครั้งด้วย
แสดงว่าเหล่านั้นเป็นพระราชกรณียกิจที่ต้องทรงปฏิบัติและได้ทรงปฏิบัติเป็นประจำ
ในพระราชสถานะพระมหากษัตริย์ “สมบูรณาญาสิทธิราชย์”จึงไม่เป็นความจริงดังที่
นักวิชาการชาวต่างประเทศคนหนึ่งเขียนไว้ว่า พระที่นั่งอนันต์ฯ แทบไม่ได้ใช้เป็นท้องพระโรง26
นอกจากนั้น พระที่นั่งอนันตสมาคมยังเป็นที่ซึ่งเสด็จออกให้ทูตจากต่างประเทศเข้าเฝ้าฯอย่างเป็นที่การเพื่อทูลเกล้าฯถวายสาส์นตราตั้ง
โดยที่สมเด็จพระบรมราชินีมิได้เสด็จออกด้วย แต่ทูตจะเข้าเฝ้าฯ สมเด็จฯ
เป็นการเฉพาะพระองค์ในวันเดียวกันหลังจากนั้นที่พระที่นั่งอัมพรสถาน
โดยภริยาทูตเฝ้าฯ สมเด็จฯในวันอีกหนึ่ง
บ่อยครั้ง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ โปรดเกล้าให้เสนาบดีเข้าเฝ้าฯ
ถวายรายงานกิจการของแต่ละกระทรวงเป็นองค์ๆ คนๆไปที่พระที่นั่งอัมพรสถาน
สำหรับในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาในช่วงวันที่ 8
พฤศจิกายนของทุกปีนั้น นอกจากพระราชพิธีในพระบรมมหาราชวังแล้ว ในตอนค่ำวันที่ 9
เสด็จออกที่พระที่นั่งอัมพรฯในการเลี้ยงพระกระยาหารแก่เจ้านายฝ่ายหน้า
ฝ่ายใน ในขณะที่กระทรวงการต่างประเทศจัดเลี้ยงคณะทูตที่พระราชวังสราญรมย์
ที่ทำการของกระทรวงแล้วเสด็จออกที่ พระที่นั่งอนันต์โดยมีเจ้านายชั้นบรมวงศ์ตามเสด็จ
“มีพระราชปฏิสันถารแก่ ทูตานุทูตและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ตามสมควรแล้ว
พระราชทานงานเลี้ยงของบรรดาผู้ที่มาสโมสรสันนิบาต
มีการโห่ถวายไชยแล้วเป็นเสร็จการ” 27 (ตัวสะกดตามต้นฉบับ)
นับว่าแตกต่างไปจากในปัจจุบันที่งานสโมสรสันนิบาตรัฐบาลเป็นผู้จัดขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาล
ส่วนในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ
ในช่วงวันที่ 20 ธันวาคมของทุกปีนั้น จัดที่พระที่นั่งอัมพรสถานโดยมีงานช่วงเย็นวันที่
20 เป็นพิธีสงฆ์ที่ห้องประชุมและในเวลากลางคืนมีภาพยนตร์ฉาย วันรุ่งขึ้น ณ
ที่เดียวกันเวลาประมาณ 11.00 น. มีพิธีสงฆ์ ทรงบาตร พระราชทานฉัน สังเวยเทวดาและทรงประเคนเครื่องไทยธรรม
ที่น่าสนใจคือ สมเด็จฯ “เสด็จเข้าสู่ที่สรงสนานในพระที่นั่งข้างใน”
ตอนบ่ายมีงานสโมสรสันนิบาตที่สนามสวนศิวาลัยในพระบรมมหาราชวัง
และตอนค่ำเสด็จออกที่ท้องพระโรงหลัง พระที่นั่งอัมพรสถาน ทอดพระเนตรละคร
การจัดงานเฉลิมฯสมเด็จฯจึงนับว่าเป็นการภายในกว่าของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว28
สำหรับในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 3 รอบ นักษัตร เมื่อ พ.ศ.2472 นั้น
จัดเป็นงานใหญ่ระหว่างวันที่ 6 ถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน
โดยนอกเหนือจากพระราชพิธีในพระบรมมหาราชวังแล้ว ได้เสด็จออกพระที่นั่งอัมพรฯให้ข้าราชการกรมราชเลขาฯเข้าเฝ้าถวายของที่ระลึกในวันที่
9 ก่อนเสด็จฯยังพระราชอุทยานสราญรมย์(ซึ่งไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งพระราชวังดุสิต)ให้ลูกเสือและนักเรียนชายหญิงอุปชาติ(ผู้ที่เกิดในปีนักษัตรเดียวกันแต่ต่างรอบกับพระองค์)
ปีมะเส็ง พ.ศ.2460 รวม 3,518 คน เฝ้าฯถวายพระพรชัยและรับพระราชทานพระบรมราโชวาทและเสมา29
แสดงถึงพระราชหฤทัยเมตตาแผ่ไพศาลแก่เด็กและเยาวชนอันเป็นพระอุปนิสัยประจำพระองค์
พระบรมราโชวาทเนื้อหาว่าด้วย ลักษณะเฉพาะเอาอย่าง มีความบางตอนว่า
“...เราจะเรียนแต่เอาอย่างนั้นไม่ได้ ต้องเรียนคิดเองด้วยจึงจะเจริญแท้...ไม่ใช่แต่เรียนจำตามที่สอนเท่านั้น
ต้องฝึกใช้ความคิด ไม่ใช่เชื่ออย่างงมงาย...การที่จะเจริญเข่าเขาได้จริง
เราต้องเก่งเท่าเขา ต้องคิดอะไรให้เป็นประโยชน์แก่มนุษย์โลกได้ด้วยอย่างเขา... ”30
ครั้นวันรุ่งขึ้น ตอนค่ำ เสด็จออกพระที่นั่งอัมพรฯ
พระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารแก่เจ้านายฝ่ายหน้าฝ่ายใน ในขณะที่กระทรวงการต่างประเทศเลี้ยงทูตานุทูต
ณ วังสราญรมย์ แล้วเฝ้าฯ ที่ท้องพระโรงพระที่นั่งอนันต์ฯ
และเสด็จออกท้องพระโรงหน้างานพระที่นั่งอัมพรฯ
ในอุทยานสโมสรเจ้านายข้าทูลละอองธุลีพระบาท ราชสกุล ราชินิกุล ฝ่ายหน้า ฝ่ายใน อุปชาติปีมะเส็งเฝ้าฯ
อีกทั้งในวันที่ 12 เสด็จออกพระที่นั่งอนันต์ฯ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท สหชาติปีมะเส็ง
พ.ศ.2436 (ปีนักษัตรรอบเดียวกันกับพระองค์) ทั้งฝ่ายหน้า ฝ่ายใน 496 คนเฝ้าฯ
พระราชทานแหนบลูกศรกับซองบุหรี่มีรูปงูลงยาสีเขียวอย่างทั่วถึง
ในช่วงขึ้นปีใหม่ตามคติเดิม คือ วันที่ 1 เมษายน จะเสด็จออกที่พระที่นั่งอัมพรสถาน
พระราชทานนำพระมหาสังข์และทรงเจิมเจ้านายฝ่ายใน ฝ่ายหน้าเป็นสิริมงคลเป็นประจำ
นอกจากพระที่นั่งอัมพรฯและพระที่นั่งอนันต์ฯแล้ว
ยังโปรดเกล้าฯให้จัดพระราชพิธีบางประเภท
ที่พระที่นั่งอภิเษกดุสิต ที่เป็นประจำคือ พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
พระราชทานน้ำ มหาสังข์และทรงเจิมพระยาแรกนาที่นั่น
แต่การจรดพระนังคัลกระทำที่ทุ่งพญาไทตามที่เป็นมาแต่เดิม
และในงานที่มีเพียงครั้งเดียวในรัชกาล คือ งานพระราชพิธีสมโภชช้างสำคัญ คือ
พระเศวตคชเดชน์ดิลกฯ
พระที่นั่งนี้ก็ได้รับการใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญคือเป็นที่ออกพระราชบัลลังก์ที่มุขหน้า
มีมหรสพตอนกลางคืนของวันที่ 15 และ 16 พฤศจิกายน พ.ศ.2470 ส่วนพิธีพระและพราหมณ์
ในการสมโภชนั้น กระทำที่หน้าโรงช้างต้น31 นอกจากนั้น พระที่นั่งอภิเษกฯยังใช้เป็นประกอบพระราชพิธีหล่อพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษาด้วย
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าทรงเลือกที่จะใช้พระที่นั่งทั้งสามซึ่งสร้างไว้แต่สมัยรัชกาลที่
5 และที่ 6 และตั้งอยู่ในบริเวณใกล้กัน ตามความเหมาะสมแก่โอกาส สถานะของบุคคลที่เข้าเฝ้าฯ
และกิจกรรม มิได้ทรงทิ้งไว้โดยเปล่าประโยชน์แต่อย่างใด
การเสด็จพระราชดำเนินไปในพิธีสาบานต่อธงชัยเฉลิมพลและสวนสนามของทหาร ณ
พระลานพระราชวังดุสิต(ลานพระบรมรูปทรงม้า) เป็นพระราชกรณียกิจสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทรงประกอบเป็นประจำทุกปี
ในเดือนตุลาคม พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงม้าพระที่นั่ง
ส่วนสมเด็จฯประทับรถม้าพระที่นั่งตามเสด็จท้ายขบวน
เสร็จพิธีแล้วทั้งสองพระองค์ประทับรถม้าพระที่นั่งเสด็จฯกลับพระที่นั่งอัมพรสถาน
อีกงานหนึ่งซึ่งประทับรถม้าในขบวนซึ่งมีนายทหารเชิญธงกระบี่ธุชพระครุฑพ่าห์ขึ้นม้านำ
คือ การเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานผ้าพระกฐิน เช่นที่วัดเบญจมบพิตรฯ
วัดประจำพระราชวังดุสิตฯ เป็นต้น
ส่วนในวันสวรรคตของสมเด็จพระปิยมหาราชนั้น เสด็จโดยรถยนต์พระที่นั่ง ประทับที่พระลานฯทรงวางพวงมาลา
แล้วเสด็จทรงประกอบพิธีสงฆ์ที่พระที่นั่งอนันต์ฯ โดยที่น่าสนใจ
โปรดเกล้าฯให้หม่อมเจ้าที่ยังเยาว์ทอดผ้ารายร้อย พระสงฆ์ 200 รูปด้วย
ในตอนหน้า จะได้เล่าขานถึงพระราชกิจส่วนพระองค์ ซึ่งทรงประกอบ ณสถานที่ต่างๆ ในบริเวณพระราชวังดุสิต ตลอดจนถึงสัญลักษณ์หนึ่งที่แสดงโดยอาจไม่ได้ตั้งใจถึงความเกี่ยวพันระหว่างพระองค์กับสถานที่นั้น
ซึ่งปรากฏขึ้นหลายสิบปีหลังจากที่พระองค์ได้เสด็จสวรรคตไปแล้ว.
22. บรรเจิด อินทุจันทร์ยง
(บรรณาธิการ). จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก
พระปกเกล้าเจ้าอยูหัว รัชกาลที่ 7 ภาคต้น และภาคปลาย, กรุงเทพฯ : คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์และจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, 2537.
23. เพิ่งอ้าง, หน้า 142.(ตัวสะกดตามต้นฉบับ)
24. ศิริน โรจนสโรช. “พระที่นั่งอัมพรสถาน
พระราชนิเวศน์สี่รัชกาลและสองสมเด็จเจ้าฟ้าฯ” เอกสารต้นฉบับของสำนักบรรณสารสนเทศ
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ตุลาคม 2555, หน้า 23.
25. บรรเจิด อินทุจันทร์ยง (บ.ก.) จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันฯ, 2537,
หน้า 874. รายงานพระราชกรณียกิจเสด็จออก ณ พระตำหนักจิตรลดาฯ ตั้งแต่วันที่ 1
กันยายน 2475 และต่อเนื่องไป
26. Peleggi, Maurizio. Lords of Things:
The Fashioning of The Siamese Monarchy’s Modern Image, Honolulu, University
of Hawai’; Press,2002, p.103. Peleggi ให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนไว้ในหน้าเดียวกันว่าพิธีเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีขึ้นเป็นครั้งแรกที่พระที่นั่งอนันต์ฯในรัชกาลที่
9. เขาเข้าใจผิดด้วยว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงม้าไม่เป็น
27. บรรเจิด, อ้างแล้ว, หน้า 148-149
28. เพิ่งอ้าง, หน้า 174
29. บรรเจิด, อ้างแล้ว, หน้า 619-629
30. บรรเจิด อินทุจันทร์ยง (บรรณาธิการ). ประมวลพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก
พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยฯ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี/วัชรินทร์การพิมพ์,
2536, หน้า 152-153.
31. สำหรับรายละเอียดพระราชพิธีสมโภชช้างสำคัญนี้ โปรดดู บรรเจิด
อ้างแล้ว หน้า 322-334.
ภาพจาก: พระราชวัง, สำนัก. (อภินันท์ โปษยานนท์) จิตรกรรมและประติมากรรมแบบตะวันตกในพระราชสำนัก,
กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง กรุ๊ป, 2536.
[พช./พระราชวังดุสิต ร.7 (3)/มค2556]
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น