ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

พระราชวังดุสิตกับพระปกเกล้าศึกษา(4)



 

       ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพล

“พระราชกิจส่วนพระองค์ในบริเวณพระราชวังดุสิต”  คือ เนื้อหาของตอนสุดท้ายของบทความนี้  ซึ่งแตกต่างจากของตอนอื่นๆ  ตรงที่จะช่วยให้เห็นถึงพระอุปนิสัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มากขึ้น  โดยเรียบเรียงจากคำบอกเล่าด้วยวาจาและข้อเขียนของผู้หลักผู้ใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้ว
 

น้ำพระทัยดี  มีเมตตากรุณา

“ท่านทรงพระสนับเพลาแพรจีนและฉลองพระองค์ชั้นในหรือกุยเฮงสีนวล  ทรงมีพระวรกายเล็ก  มีพระมัสสุ พระฉวีผ่อง[1] พระเนตรฉายแววแจ่มใส  แสดงถึงว่ามีน้ำพระทัยดี  เต็มไปด้วยเมตตากรุณา  ท่านเสด็จมาประทับตรงพื้นใกล้ๆที่ฉันนั่งอยู่ สมเด็จฯ ทรงเตือนให้ฉันเปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนและกราบถวายตัว  พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งกับฉันว่า “สีดาจะมาอยู่ด้วยกันแล้วหรือ?”  ฉันยิ้มแหย ไม่ตอบเลย  แล้วท่านก็เสด็จพระราชดำเนินออกจากห้องนี้เพื่อเสวยพระกระยาหารกลางวัน ณ ที่อื่น... “ [2]

นี่คือข้อความที่หม่อมเจ้าหญิงสีดาดำรวง (สวัสดิวัตน์)  ชุมพล  ทรงไว้เกี่ยวกับวาระที่ท่านหญิงเข้าเฝ้าฯถวายตัวเป็นข้าในพระองค์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พ.ศ. ๒๔๖๙  ปีถัดจากที่เสด็จขึ้นครองราชย์

ในวันนั้น  ท่านหญิงในวัย ๘ ปี  เสด็จจากตำหนักพระองค์เจ้าอรไทยเทพกัญญา ซึ่งเป็นที่พำนักของพระสุจริตสุดา (เปรื่อง  สุจริตกุล)  พระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  ผู้ได้เลี้ยงดูท่านหญิงมาตั้งแต่อายุ ๒ ขวบครึ่ง  ตำหนักนั้นอยู่บน “เกาะกวาง”  ใกล้พระที่นั่งวิมานเมฆ  ท่านหญิงเสด็จด้วยเรือพาย  ตามคลองเล็กๆจนถึง “อ่างหยก”  ขึ้นบนบกที่ท่าน้ำ ”เรือนต้น”  แล้วทรงพระดำเนินจากที่นั่นไปยังพระที่นั่งอัมพรสถาน  แสดงว่ายังมีการใช้เรือเป็นพาหนะสัญจรภายในพระราชวังดุสิต  ในสมัยนั้น
 

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ   ทรงมีพระเมตตาชุบเลี้ยงเด็กๆ  ซึ่งส่วนใหญ่  แต่ไม่ทั้งหมดเป็นหม่อมเจ้าชาย  มาตั้งแต่ยังไม่ได้ทรงอภิเษกสมรส และเรื่อยมาแม้เมื่อทรงครองราชย์แล้ว  หม่อมเจ้าการวิก  จักรพันธุ์   เป็นอีกองค์หนึ่ง ซึ่งได้เข้าถวายตัวในช่วงใกล้ๆ กับท่านหญิงสีดาฯ  ท่านชายทรงเล่าไว้ว่า  รับสั่งกับเสด็จพ่อของท่านชายว่า [3]   “เด็กคนนี้น่าเอ็นดูดี  เอามาให้ฉันเลี้ยงเถอะ[4]  และแล้วท่านชายซึ่งเดิมรู้สึกกลัวเกรง “พระเจ้าแผ่นดิน” อยู่บ้างก็ทรงพบว่า  “พระทัยดีและมีเมตตารักใคร่เด็กๆ  ผมจึงคลายใจลง” [5]  อีกพระองค์หนึ่ง คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาต [6]

พระราชกิจกับเด็กๆ :โรงเรียนในบ้าน (home school)
 

          พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงเลี้ยงดูเด็กๆเหล่านี้ไว้ใกล้ชิดพระองค์  “อยู่กับท่านตลอด ยกเว้นตอนไปเรียนหนังสือและรับประทานอาหาร  แต่เวลาน้ำชาก็ร่วมด้วยเสมอ  มีจานช่องแจกแต่ละคน” [7] ในเวลาเช้า  เด็กๆจะเข้าเฝ้าฯในห้องพระบรรทม ขณะที่กำลังเสวยพระกระยาหารเช้า    ท่านหญิงสีดาทรงเล่าว่า  “พอเสวยเสร็จ เขาก็ยกลงมาให้เราได้กินกัน..สนุกมาก...ทรงเพลิดเพลินกับการรุม “โจ๊ะ” ของพวกเรา... พวกเราก็คุยกับท่าน  แต่ส่วนมากก็คุยกันเอง หรือเล่นเกมส์อะไรกัน  ซึ่งเป็นแผ่นกระดาษ เช่น เสือตกถัง เป็นต้น...” [8]

            ในตอนเย็น บางครั้ง  พระองค์จะเสด็จลงเล่นน้ำกับเด็กๆ “สมัยนั้นยังไม่มีสระว่ายน้ำในบ้าน  ที่พระที่นั่งอัมพร มีเป็นสระแรกในเมืองไทย  เครื่องกรองน้ำและเคมีฆ่าเชื้อก็ยังไม่มี  ก็ยังโปรดทรงเล่นน้ำในสระนี้กับพวกเด็กๆเสมอ  แม้ว่าจะสกปรก มีกบ เขียดลงไปไข่เต็ม...”[9]

            นอกจากนั้นโปรดให้เด็กๆได้เล่นกีฬา เช่น เทนนิส  แบตมินตัน และสควอช (Squash) ซึ่งทรงเองด้วย  และให้เด็กๆได้รู้จักเก็บรักษาอุปกรณ์กีฬา  เด็กๆจึงได้ทั้งออกกำลังกายและฝึกวินัยไปด้วย  บางวันก็โปรดให้เด็กๆแจวเรือออกไปที่เขาดินวนาที่ซึ่งมีศาลาทรงไทยหลังย่อมๆปลูกไว้เป็นที่ทรงพระสำราญพระอิริยาบถ[10] หากไม่มีพระราชกรณียกิจ ก็จะทรงเล่านิทานแฝงคุณธรรมให้เด็กๆ ฟัง เช่น เรื่องทาร์ซาน (Tarzan) ซึ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์และธรรมชาติ  และการผจญภัยในป่า  ท่านชายการวิกทรงเล่าว่า “ทรงทำเสียงประกอบตามบทบาทของตัวละครด้วย” [11]  ทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าทรงวางพระองค์เสมือนทรงเป็นพ่อที่ใกล้ชิดกับลูกๆ  อีกทั้ง ท่านหญิงสีดาฯ ทรงเล่าว่า  แม้จะทรงมีเด็กๆเล่นกัน คุยกันอยู่รอบพระองค์  ขณะที่ทรงอ่านหนังสืออยู่อย่างเป็นพระกิจวัตรประจำก็ตาม  ก็ยังทรงสามารถแทรกเข้ามารับสั่งในเรื่องที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่ได้เสมอ  “ ทรงเป็นสุภาพบุรุษแท้  ทรงมีน้ำพระทัยกว้าง (ใจ sport) ทรงฟังความคิดเห็นของทุกๆคน  แม้ของเด็กๆ...ทรงมีนิสัยค่อนข้างเงียบ  แต่บางคราวกับผู้ที่ทรงคุ้นเคย  ก็ทรงสนุกสนาน  และทรงเป็นกันเองมาก...” [12]

 
            ในด้านการเรียนหนังสือนั้น  ทรงจัดห้องๆหนึ่งของพระที่นั่งอภิเศกดุสิตเป็นโรงเรียนสำหรับเด็กผู้ชาย  มีครูจากโรงเรียนดีๆ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเข้าไปสอน  โดยต้องพระราชประสงค์จะทรงทดลองจัดเป็นโรงเรียนนำร่องด้วย  จึงมีการสอนวิชาวิทยาศาสตร์เป็นพิเศษ  นอกจากนั้นมีการเรียนภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส  และการสอนพระพุทธศาสนาและศีลธรรม  รวมทั้งการออกกำลังกายทุกวัน [13]  ส่วนเด็กผู้หญิงซึ่งรวมถึงบุตรีข้าราชบริพารในพระองค์  เรียนหนังสือกับครูผู้หญิง เป็นต่างหากจากเด็กผู้ชาย 

            นอกจากการเรียนหนังสือแล้ว  บ่อยครั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เด็กๆ  ได้โดยเสด็จพระราชดำเนินด้วย  เมื่อเสด็จไปทรงกีฬา  หรือแม้แต่งานพระราชพิธี  ดังที่หม่อมเจ้าการวิกทรงเล่าว่า  ต้องทรงเป็นมหาดเล็กแต่งเครื่องแบบตามเสด็จ  คอยรับพระมาลา  เมื่อทรงถอด หรือพระแสง (ดาบ) มาเชิญไว้  เป็นต้น[14]  เด็กผู้หญิงก็จะทำหน้าที่เสริมนางพระกำนัลตามเสด็จสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ได้ออกงานรับพระราชอาคันตุกะในโอกาสที่เป็นกึ่งทางการด้วย  จึงได้ฝึกการใช้ภาษาต่างประเทศไปในตัว  ทั้งนี้รวมถึงเมื่อเสด็จประพาสดินแดนบ้านใกล้เรือนเคียง [15] การทรงเปิดโอกาสให้เช่นนี้ได้อำนวยให้เด็กๆในพระราชอุปการะทั้งชายและหญิงเติบโตเป็นผู้ที่มีความมั่นใจและรู้จักกาลเทศะในการสมาคมกับผู้คนทั้งในโลกจารีตและในโลกสมัยใหม่  

ในการจัดการศึกษาอบรมแก่เด็กๆ นี้  มิได้ทรงละเลยสุนทรียศาสตร์โดยได้โปรดเกล้าฯ ให้นักดนตรีไทยเดิมชั้นนำ เข้าไปฝึกสอนการเล่นเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ  เช่น จะเข้ ซอ ฆ้อง และระนาด  จนกระทั่งปรากฏว่า หม่อมเจ้าการวิกทรงฆ้องได้ดีถึงขนาดที่โปรดเกล้าฯให้ได้ร่วมวง”อัมพร” วงดนตรีส่วนพระองค์สำหรับพระองค์เอง   และสมเด็จฯนั้นทรงซอ  และได้ทรงพระราชนิพนธ์เพลงไทย ๓ เพลง  ซึ่งเพลงแรกคือ “ราตรีประดับดาว” (เถา) ซึ่งบรรเลงออกอากาศทางวิทยุซึ่งเพิ่งมีขึ้นในสมัยนั้น มีเนื้อร้องตอนหนึ่งว่า “เพลงของท่านแต่งใหม่ในวังหลวง” ซึ่งหมายถึงว่า “ในหลวง” ทรงแต่ง มากกว่าใน “วังหลวง” คือ พระบรมมหาราชวัง  หากแต่น่าจะเป็นที่พระที่นั่งอัมพรสถาน  พระราชวังดุสิต

            การทอดพระเนตรภาพยนตร์เป็นพระจริยวัตรประจำทุกวันพุธและวันศุกร์  ซึ่งเด็กๆก็จะเฝ้าอยู่แทบพระบาท  ทรงอธิบาย “หนังเงียบ” ให้พวกเขาเข้าใจ หรือบางครั้งทรงซอคันเล็ก  ซึ่งราชสกุลบริพัตรทูลเกล้าฯถวาย (“ซอตุ๋น”) คลอเบาๆ  ระหว่างพักพระราชทานเลี้ยง “ไอศกรีมโซดา” ซึ่งเด็กๆชื่นชอบมาก

พระราชกิจ ณ สวนจิตรลดา

          พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผนวกรวมสวนจิตรลดาเข้าไว้ในพระราชวังดุสิต  และได้ทรงใช้เพื่อประโยชน์อย่างน้อย 3 ประการ 

            ประการแรก  ได้โปรดเกล้าฯให้สร้างสนามกอล์ฟหลวงขึ้น  เข้าใจว่าเมื่อประมาณพุทธศักราช ๒๔๗๓  เพื่อเป็นสนามสำหรับเสด็จไปทรงกอล์ฟเป็นการส่วนพระองค์กับเจ้านายและข้าราชบริพาร    สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ก็ได้ทรงสนองพระราชนิยมด้วย  เมื่อการกีฬากอล์ฟกลายเป็นที่นิยมกันมากในหมู่ข้าราชบริพาร  อีกทั้งชนชั้นนำอื่นๆทั้งบุรุษและสตรี เรื่องการเล่นกอล์ฟจึงเป็นข้อสนทนากันในราชสำนักจนเกินกาลเทศะ  พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ  จึงโปรดเกล้าฯให้ตั้งกล่องค่าปรับขึ้น  อาการดังกล่าวจึงลดลง  นอกจากจะทรงใช้ส่วนพระองค์แล้ว  ยังได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัด และเสด็จทอดพระเนตรการแข่งขันกอล์ฟชิงถ้วยชนะเลิศแห่งสยาม  ซึ่งเป็นถ้วยพระราชทานเมื่อวันที่ ๑๖  มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๓  อีกด้วย  โดยในขณะนั้น พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ทรงเป็นนายกกรรมการ สมาคมกอล์ฟแห่งสยาม  นายทิม กันภัย เป็นผู้ชนะเลิศ  และอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๔  เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการแข่งขันกอล์ฟชนะเลิศแห่งคณะกอล์ฟสมัครเล่นกับการแข่งขันชนะเลิศฝ่ายสตรี  และพระราชทานรางวัลด้วย[16]

ประการที่สอง  ด้วยเหตุที่การถ่ายภาพยนตร์เป็นพระราชกิจส่วนพระองค์ที่โปรดมากพอๆ กับการทรงถ่ายภาพนิ่งอีกทั้งมีเจ้านายและชนชั้นนำอื่นๆ นิยมเช่นกัน  จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้มีการประชุมนักถ่ายภาพยนตร์สมัครเล่นเพื่อก่อตั้งสมาคมขึ้นเป็นศูนย์กลาง  เสด็จฯเป็นองค์ประธานในที่ประชุม  เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๓  ใช้ชื่อว่า  “สมาคมภาพยนตร์สมัครเล่นแห่งสยาม”  ใช้อักษรย่อว่า “ส.ภ.ส”  ภาษาอังกฤษว่า Amateur Cinema Association of Siam  (A.C.A.S) เป็นสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ มีสำนักอยู่ในบริเวณสวนจิตรลดา  สมาชิกประชุมกันเดือนละครั้ง  เพื่อนำภาพยนตร์ฝีมือของตนไปฉายให้ได้ติชมกัน  โปรดเกล้าฯให้ทำแหนบหรือเข็มชนิดหนึ่งด้วยทองคำแบบตราอาร์มมีอักษรลงยาในวงตราว่า ส.ภ.ส. เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้ง  มีพระมหามงกุฏอยู่เบื้องบนของตัวอักษร ลงยาว่า “ส.ภ.ส” ในกรอบสี่เหลี่ยมติดกันคล้ายแผ่นฟิล์มภาพยนตร์   
 

ต่อมาสมเด็จกรมพระนครสวรรค์วรพินิต  และกรมพระกำแพงเพชรทรงเป็นสภานายกตามลำดับ  มีคณะอนุกรรมการแผนกขายของ  และแผนกห้องสมุดภาพยนตร์ โดยแผนกขายของมีหม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา  (สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ในภายหลัง)  ทรงเป็นอนุกรรมการ  ครั้งหนึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  ให้นำภาพยนตร์ “อัมพร” ของหลวง เรื่องการเสด็จประพาสเกาะบาหลี  เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒  ออกฉายและยังได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายเป็นตอนๆ จนตลอดด้วย

ซึ่งมีรายงานว่า “พระราชกระแสแจ่มใสไพเราะ  และยังพระราชทานความขบขันอีกหลายตอน”[17]

ประการที่สาม  ได้โปรดเกล้าฯให้ย้าย โรงเรียนเยาวกุมาร จากพระที่นั่งอภิเศกดุสิตไปที่กรมมหาดเล็กในสวนจิตรลดา ( ซึ่งต่อมาในรัชกาลปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสถานีวิทยุอ.ส. (อัมพรสถาน)  พระราชวังดุสิตและปัจจุบันเป็นที่ตั้งของกรมราชองครักษ์)  ศาสตราจารย์ระพี สาคริก  เป็นผู้หนึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้ไปเป็นนักเรียนที่นั่น  เล่าว่า”ในนั้นเป็นสนามกอล์ฟ เป็นป่าทั้งนั้น...มีนักเรียนอยู่ ๑๕ คน ๑๖ คน...ผมยังจำได้ปี ๒๔๗๕  โรงเรียนเล่นละคร  ผมเป็นนกโพราดก  พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ เสด็จประทับทอดพระเนตร  เสร็จแล้วก็(ทรง)  เอาเด็กๆมานั่งตักด้วย ถ่ายรูปกัน  วันนั้นเสด็จฯกลับ ๒ ยาม  เด็กๆก็วิ่งดันหลังรถ  ร้องไชโย  ไม่มีใครเหนื่อย” [18]  ครั้นหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองพ.ศ. ๒๔๗๕  จึงได้เลิกโรงเรียนนี้ไป

พระบรมราชานุสาวรีย์สถิตในบริเวณพระราชวังดุสิต
 

          คงเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า  พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงประกอบพระราชพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม  เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕  ในพระที่นั่งอนันตสมาคม  ซึ่งในการนั้นได้เสด็จออกสีหบัญชร  เมื่อมีการเชิญรัฐธรรมนูญออกให้ประชาชนได้เห็นที่บริเวณปะรำที่สนาม  พระราชพิธีนั้นตลอดจนพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล และสมโภชรัฐธรรมนูญ ณ พระที่นั่งองค์ดังกล่าว  ได้โปรดเกล้าฯให้บันทึกเป็นภาพยนตร์ไว้ด้วย  โดยได้เสด็จฯทรงอำนวยการเตรียมการถ่ายภาพยนตร์ด้วยพระองค์เอง

            ต่อมาหนึ่งปีให้หลัง  คือ เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๖  พระองค์ได้เสด็จฯไปทรงเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้งกึ่งหนึ่ง  แต่งตั้งกึ่งหนึ่ง  ครั้งแรกที่พระที่นั่งอนันต์ โดยตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมา  สภาฯได้ใช้พระที่นั่งองค์นี้เป็นที่ประชุม  และพระที่นั่งอภิเษกดุสิตเป็นที่ตั้งของสำนักงาน  ตราบจนกระทั่งได้สร้างอาคารรัฐสภาปัจจุบัน  เสร็จในพ.ศ. ๒๕๑๗  ในบริเวณหลังพระที่นั่งอนันต์

            ทั้งนี้  เลขาธิการรัฐสภาได้มีดำริตั้งแต่ได้รับอนุมัติให้ก่อสร้างรัฐสภานี้ใน พ.ศ. ๒๕๑๒  ว่าสมควรสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์  พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นด้วย  แต่ปรากฏว่า มีข้อขัดข้องต่างๆเรื่อยมา  ส่วนหนึ่งเกี่ยวกับสถานที่ตั้งว่าจะเป็นที่หน้าอาคารหลังใหม่  หรือในบริเวณพระที่นั่งอนันตสมาคม  ในที่สุดตกลงได้สร้างที่หน้าอาคารรัฐสภา  ซึ่งอยู่ในเขตพระราชฐานเช่นกัน  และแต่เดิมเป็นที่ตั้งของ “ฝ่ายหน้า” (บุรุษ)  มีทิมดาบกรมวัง เป็นต้น  อยู่ด้านในของประตูประสิทธิ์สุรเดช  ถัดไปจากโรงช้างต้น  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๓[19]

            บทความนี้ได้เล่าขานมาถึง ๔ ตอนว่า  พระราชวังดุสิตมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมาเกือบตลอดพระชนมชีพอย่างไรบ้าง  ด้วยเหตุนี้  การที่พระบรมราชานุสาวรีย์ของพระองค์ตั้งสถิตอยู่ในเขตพระราชฐานของพระราชวังดุสิตเช่นนี้  จึงเหมาะสมอยู่แล้ว ด้วยอยู่ใกล้กับสถานที่ซึ่งเคยทรงประกอบพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่  อีกทั้ง  เมื่อรัฐสภาย้ายที่ทำการไปแล้วในภายหน้า  ทำเลที่ตั้งริมถนนอู่ทองในก็สามารถที่จะได้รับการบริหารจัดการให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าได้ไปถวายราชสักการะได้ทุกเมื่อเชื่อวันมากกว่าที่จะกระทำได้ในปัจจุบัน  เฉกเช่น ที่ทำได้ในกรณีของพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ ๕  ที่ลานพระราชวังดุสิต  และรัชกาลที่ ๖ ที่หน้าสวนลุมพินี  สถานที่สองแห่งซึ่งมีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับพระองค์นั้นๆ

                                                                        [พช/พระราชวังดุสิต+ร.๗ (๔)/ม.ค. ๒๕๕๖]

                ------------------------------------------                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                         
 
[1] พระสนับเพลาแพรจีน = กางเกงแพรแบบจีน ;  เสื้อกุยเฮง = เสื้อคอกลม ผ่าอกตลอด ติดกระดุม ;  พระมัสสุ = หนวด; พระฉวี = ผิว.
[2] “อัตชีวประวัติ ในที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพ  หม่อมเจ้าหญิงสีดาดำรวง ชุมพล วันที่  ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๓  ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส . กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรุงเทพ (๑๙๘๔ ) จำกัด, ๒๕๓๓, หน้า ๔๓.
[3] พระเจ้าวรวงศ์เธอ  พระองค์เจ้าเสรษฐวงศ์วราวัตร  กรมหมื่นอนุพงศ์จักรพรรดิ
[4] “นรุตม์” (ลำดับเรื่อง) ใต้ร่มฉัตร : หม่อมเจ้าการวิก  จักรพันธุ์. กรุงเทพฯ : แพรวสำนักพิมพ์, ๒๕๓๙, หน้า ๓๓.
[5] เพิ่งอ้าง , หน้า 34.
[6] พระโอรสใน สมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังสีสว่างวงศ์  กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช  พระอนุชาในพระมารดาเดียวกันกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ต่อมาเมื่อทรงสละราชสมบัติแล้ว  ได้ทรงจดทะเบียนพระองค์เจ้าจิรศักดิ์ฯเป็นพระราชบุตรบุญธรรม.
[7] มจ. สีดาดำรวง อ้างแล้ว, หน้า ๔๕. ประมาณ 16.00-17.00 น. “เวลาน้ำชา” หมายถึงเวลาน้ำชาตอนบ่าย (afternoon tea) ตามแบบอังกฤษ ซึ่งมีแซนด์วิช ขนมปังปิ้ง และขนมให้รับประทานพร้อมกัน  แต่ในราชสำนักอาจมี ของว่างแบบไทย เช่น ปั้นสิบ  ไส้กรอกปลาแนม หรือเกี๊ยวน้ำ เป็นต้น ด้วย  ทั้งอาจจัดที่สนามหญ้า หรือระเบียง (ดูภาพประกอบ)
[8] ที่เดียวกัน.
[9] ที่เดียวกัน.
[10] เลื่อน  เทพหัสดิน ณ อยุธยา, คุณหญิง.  “ เรื่องเล่าจากแม่ : กุลสตรีห้าแผ่นดิน” ใน อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุวัดโสมนัสราชวรวิหาร วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕. กรุงเทพฯ : บริษัทจรัลสนิทวงศ์การพิมพ์จำกัด,๒๕๕๕, หน้า ๑๐๕.
[11] ใต้ร่มฉัตร (อ้างแล้ว),หน้า ๓๘.
[12] หม่อมเจ้าสีดาดำรวง (อ้างแล้ว), หน้า ๔๕.
[13] ใต้ร่มฉัตร, (อ้างแล้ว), หน้า ๓๗.
[14] ใต้ร่มฉัตร, (อ้างแล้ว) ,หน้า ๓๙.
[15] หม่อมเจ้าสีดาดำรวง. (อ้างแล้ว),หน้า ๕๐. เช่น การร่วมในการพระราชทานเลี้ยงเป็นการภายใน แก่เจ้าชายเฟดริค มกุฎราชกุมารแห่งเดนมาร์ก ที่ พระที่นั่งอัมพรสถาน ซึ่งเสด็จมาเยือนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๒ เป็นต้น
[16]  บรรเจิด  อินทุจันทร์ยง (บก.) จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันฯ ภาคปลาย. (กรุงเทพฯ : วัชรินทร์การพิมพ์, #*$%ม หน้า ๗๕๙ และ ๘๓๓.
 
[17]  โดม  สุขวงศ์  “พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯกับภาพยนตร์”  ใน เอกสารประกอบการประชุมวิชาการเรื่อง  สังคมไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  จัดโดย สถาบันไทยคดีศึกษาและฝ่ายวิจัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ ๗ – ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๗ ณ ห้องประชุมสารนิเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, หน้า ๑๔ -๑๙.
[18] ระพี สาคริก, ศาสตราจารย์. คำบรรยายเรื่อง “วิทยาการเพื่อชีวิตและสังคม” ในการสัมมนาผู้รับทุนการศึกษาฯ วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๗ ใน รายงานกิจการประจำปี ๒๕๔๗ มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์รัฐสภา, ๒๕๔๘, หน้า ๑๒- ๑๓.
[19] ศึกษาเรื่องจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้จาก หะริน  หงสกุล, พลอากาศเอก ”พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว” ตีพิมพ์ซ้ำใน รายงานประจำปี ๒๕๕๐ มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี. กรุงเทพฯ :  โรงพิมพ์รัฐสภา, ๒๕๕๑,หน้า ๙ - ๒๗.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัย : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว - 26 พฤศจิกายน 2468   : สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนศุโขทัยธรรมราชาเสด็จขึ้นครองราชย์ - 25 กุมภาพันธ์ 2468 :  พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาพระวรชายาเป็นสมเด็จพระบรมราชินี และเสด็จไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถาน (ร.7 พระชนม์ 32 พรรษา,สมเด็จฯ 21 พรรษา) -6 มกราคม -5 กุมภาพันธ์ 2469 : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า รำไพ พรรณีฯ เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพเพื่อเยี่ยมราษฎร -16 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2470 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก -24 มกราคม - 11 กุมภาพันธ์ 2471: เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลภูเก็ต -10 เมษายน-12 เมษายน 2472 : พระราชพิธีราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุข สวนไกลกังวล -พฤษภาคม 2472  : เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลปัตตานี (ทอดพระเนตรสุริยุปราคา) -31 กรกฎาคม -11 ตุลาคม 2472 : เสด็จพระราชดำเนินเยือน สิงคโปร์ ชวา บาหลี -6 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2473 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนอินโดจีน -6 เมษายน - 9 เมษายน 2474 : เสด็จฯเยือนสหรัฐอเมริกาและญี่

ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมสมัยรัชกาลที่ 7

                                                                                                                                   ฉัตรบงกช   ศรีวัฒนสาร [1]                 องค์ประกอบสำคัญในการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของสังคมมนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยสภาวะความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงเป็นพลังสำคัญ ในทัศนะของ อริสโตเติล ( Aristotle) นักปรัชญากรีกโบราณ   ระบุว่า   ศิลปะทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นดนตรี   การแสดง   หรือ ทัศนศิลป์   ล้วนสามารถช่วยซักฟอกจิตใจให้ดีงามได้   นอกจากนี้ในทางศาสนาชาวคริสต์เชื่อว่า   ดนตรีจะช่วยโน้มน้าวจิตใจให้เกิดศรัทธาต่อศาสนาและพระเจ้าได้     การศรัทธาเชื่อมั่นต่อศาสนาและพระเจ้า คือ ความพร้อมที่จะพัฒนาการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ [2]                 ราชบัณฑิตยสถานอธิบายความหมายของศิลปะให้สามารถเข้าใจได้เป็นสังเขปว่า “ศิลปะ(น.)ฝีมือ,   ฝีมือทางการช่าง,   การแสดงออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์เห็น โดยเฉพาะหมายถึง วิจิตรศิลป์ ” [3] ในที่นี้วิจิตรศิลป์ คือ ความงามแบบหยดย้อย   ดังนั้น คำว่า “ศิลปะ” ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถานจึงหมายถึงฝีมือทางการช่างซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา

ห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพ

  ขอบคุณภาพจากพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และขอบคุณเนื้อหาจาก รศ.วุฒิชัย  มูลศิลป์ ภาคีสมาชิกสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง  ราชบัณฑิตยสถาน        พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน รศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี  พระอรรคราชเทวี (ต่อมาคือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ  และสมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ  พระบรมราชชนนี ตามลำดับ)  โดยทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ของสมเด็จพระนางเจ้าฯและองค์ที่ 76 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว     ในห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพนี้  ประเทศไทยหรือในเวลานั้นเรียกว่าประเทศสยาม หรือสยามเพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่มาได้เพียง 1 เดือน 5 วัน  คือ วิกฤตการณ์สยาม ร. ศ. 112 ที่ฝรั่งเศสใช้กำลังเรือรบตีฝ่าป้อมและเรือรบของไทยที่ปากน้ำเข้ามาที่กรุงเทพฯได้  และบีบบังคั