ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

หัวหิน : พัฒนาการของสถานตากอากาศกว่าร้อยปี


                                                                                   ฉัตรบงกช  ศรีวัฒนสาร

การตากอากาศชายทะเลเป็นรสนิยมของชนชั้นสูงที่แพร่เข้ามาพร้อมกับชาวตะวันตก ผ่านความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่และการคมนาคมทางรถไฟ  การเริ่มต้นไปตากอากาศชายทะเลในสยามเกิดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕  จากการเรียกร้องของชาวอังกฤษในกรุงเทพฯที่ต้องการสถานที่พักผ่อนชายทะเล เพื่ออากาศบริสุทธิ์และการรักษาสุขภาพ เช่นเดียวกับการขอให้ทางการตัดถนนเพื่อขี่ม้าออกกำลังกายและการขอเช่าที่ดินแถบทุ่งพญาไทเพื่อการสร้างสนามม้า การขยายตัวออกไปด้วยเส้นทางคมนาคมทางรถไฟสายใต้ที่สร้างเสร็จในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดสถานพักตากอากาศที่ชื่อว่า หัวหิน ทางรถไฟสายใต้เปิดเดินทางจากสถานีบ้านชะอำ-หัวหิน  เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๕๔  ก่อนหน้านั้นได้เปิดเดินรถไฟจากสถานีธนบุรี-เพชรบุรี  เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๔๖  และจากสถานีเพชรบุรี-บ้านชะอำ  เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน  พ.ศ. ๒๔๕๔  (สงวน อั้นคง ๒๕๑๔.: ๔๐๑) 


การขยายเส้นทางรถไฟถึงหัวหินทำให้ชนชั้นสูงไม่ต้องนั่งเรือออกอ่าวไทยไปเกาะสีชังให้ลำบากเช่นสมัยก่อน  การโดยสารรถไฟมาหัวหินมีความสะดวกมากกว่า  สามารถขนข้าทาสบริวารเดินทางมาด้วยกันทั้งขบวน  ลักษณะภูมิประเทศอันงดงามของชายหาดบริเวณนี้เป็นเหตุจูงใจให้พระบรมวงศานุวงศ์  ขุนนาง  คหบดีจากกรุงเทพฯ  เริ่มมาสร้างบ้านพักชายทะเล  พระราชวังของพระมหากษัตริย์  เช่น  พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน  และวังไกลกังวล  ส่วนบรรดาเจ้านายและข้าราชการชั้นสูงก็นิยมสร้างบ้านพักในบริเวณนี้เช่นกัน
ความเหมาะสมของการเป็น สถานที่ตากอากาศ ของหัวหินปรากฏอยู่ในพระวินิจฉัยของพลเอกสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวงและเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคมในหนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทย ว่า

อากาศในตำบลนี้แห้งมากและเย็นสบายผิดกว่าที่อื่น ไม่มีที่ใดในพระราชอาณาเขตร์ที่มีอากาศแห้งและความร้อนหนาวของอากาศจะเป็นปรกติ ไม่ผันแปรเท่าที่ตำบลนี้ เป็นที่สำหรับคนป่วยไปพักรักษาตัวแลคนธรรมดาไปพักตากอากาศ... ( กรรณิการ์ ตันประเสริฐ :๒๕๔๖: ๓-๔)

นับตั้งแต่นั้นมาหัวหินก็เติบโตเป็นเมืองตากอากาศชายทะเลที่มีชื่อเสียงระดับประเทศอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นเมืองตากอากาศที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ปัจจุบันก็ยังมีการจัดเทศกาลเพลงแจ๊ส (Jazz Festival) ตามพระราชนิยมและมีการถือครองที่ดินของคนต่างชาติที่มีคู่สมรสเป็นหญิงไทย และมีนักท่องเที่ยวที่เข้ามาพำนักแบบ (Long Stay : การท่องเที่ยวแบบพำนักระยะยาว) ในอัตราที่สูง ซึ่งมองจากภายนอกหัวหินเป็นเมืองแห่งมนต์เสน่ห์ทางการท่องเที่ยว
วิวัฒนาการเชิงภูมิศาสตร์สังคม
พื้นที่หัวเมืองชายทะเลแถบเพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์น่าจะเป็นที่รู้จักกันดีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา หลักฐานพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาระบุถึงการเสด็จฯประพาสชลมารคมาตามหัวเมืองดังกล่าวของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับสมเด็จพระเอกาทศรถไปถึงเขาสามร้อยยอด และขากลับยังได้เสด็จฯประทับแรมที่บ้านโตนดหลวง ในเขตอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรีด้วยและในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์เสด็จฯประพาสทางเรือไปยังเพชรบุรีและประชวรระหว่างทาง แต่เมื่อเสด็จฯถึงชายหาดแห่งหนึ่งของจังหวัดเพชรบุรี พระอาการประชวรก็หายไป จึงพระราชทานนามให้แก่ชายหาดแห่งนั้นว่า หาดเจ้าสำราญ (กรมศิลปากร  : ๒๕๓๔ : ๑๗๖)
วิวัฒนาการเชิงภูมิศาสตร์สังคมของเมืองหัวหินแบ่งออกเป็น ยุค  ดังนี้
ยุคที่๑  ชุมชนเกษตรกรรมพื้นบ้านและหมู่บ้านชายประมงชายฝั่ง
อรุณ กระแสสินธุ์  เล่าถึงการสร้างบ้านเรือนของราษฎรกลุ่มแรกในหัวหินว่าเกิดขึ้นเมื่อประมาณ ๒๐๐ ปีมาแล้ว  โดยถือเอา พ.ศ. ๒๓๕๒ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ เสด็จฯยาตราทัพมาทางปักษ์ใต้จากเมืองเพชรบุรีผ่านตำบลชะอำ และนายนรินทรธิเบศร์ (อิน) มหาดเล็กผู้โดยเสด็จฯบันทึกเป็นโคลงนิราศอ้างถึงชุมชนชาวชะอำและชุมชนชาวทับใต้ (เทศบาลเมืองหัวหิน : ๒๕๔๙: ๔) ไม่ปรากฏชื่อหมู่บ้านบางควาย ตำบลห้วยทราย ตำบลบ่อฝ้าย หรือตำบลหนองแกเพราะตำบลทับไต้อยู่ห่างจากตำบลหัวหินไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ ๑๒๐ เส้นหรือประมาณ ๙.๖ กิโลเมตร (เทศบาลเมืองหัวหิน : ๒๕๔๙ : ๕) โคลงนิราศนรินทร์ ชี้ให้เห็นว่าในพ.ศ. ๒๓๕๒  ตำบลหัวหินอาจจะยังไม่ตั้งขึ้นเพราะสภาพภูมิประเทศยังเป็นป่าทึบ แต่อาจมีชาวบ้านตำบลหนองแกหรือตำบลชระอำมาทำไร่แตงโมบ้างเป็นกลุ่มๆ ชุมชนใกล้เคียงที่สุดอยู่ห่างไปทางทิศใต้ คือ หมู่บ้านชาวประมง เขาตะเกียบห่างจากหัวหินราว ๗ กิโลเมตร ส่วนทางเหนือก็มีชุมชนบ้านบ่อฝ้ายตั้งอยู่  ต่อมาก็มีราษฎรจากบ้านบางจานและบ้านบางแก้ว จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งประสบกับปัญหาการทำมาหากินชักชวนกันมาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่รกร้างที่ตำบลหัวหินเพิ่มขึ้น ในปีพ.ศ.๒๓๗๗ สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) พบว่าในเขตพื้นที่เมืองเพชรบุรีมีหาดทรายชายทะเลแปลกกว่าที่อื่น คือ มีกลุ่มหินกระจัดกระจายอยู่อย่างสวยงาม   จึงสันนิษฐานว่าแต่เดิมหัวหินอาจมีชื่อเรียกกันว่า บ้านสมอเรียง” “บ้านหินเรียง” “บ้านหัวกรวดและ แหลมหินเป็นต้น คำว่า สมอ นั้นอาจเพี้ยนมาจาก  ถมอในภาษาเขมร  ซึ่งแปลว่า หิน
คนรุ่นใหม่อาจตั้งข้อสงสัยว่า  ภาษาเขมรเข้ามาเกี่ยวกับภูมิภาคชายฝั่งตะวันตกได้อย่างไร  จึงขออธิบายโดยสังเขปว่า นับแต่สังคมไทยรับเอาภาษาขอม-เขมรมาใช้ตั้งแต่ก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยาโดยเฉพาะในคัมภีร์ใบลานก็มีการจารึกเนื้อหาของพระไตรปิฏกเอาไว้  ทำให้ผู้ที่จะสอบเปรียญต้องศึกษาอักษรขอม-เขมรให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งจึงจะสามารถสอบคัมภีร์ใบลานผ่านได้  วัฒนธรรมดังกล่าวเลิกไปหลังพ.ศ.๒๕๐๐ ไม่นานนัก  กระนั้นก็ตามรีสอร์ทบางแห่งของทายาทชนชั้นสูงยังได้พลิกแพลงย้อนกลับไปนำภาษาเขมรโบราณมาตั้งเป็นชื่อแบรนด์เนมใหม่ว่า  กบาลถมอ   ซึ่งแปลว่า หัวหิน
นายทักษ์ เตชะปัญญา อดีตประธานสภาเทศบาลตำบลหัวหินให้สัมภาษณ์แก่แพทย์หญิงกรรณิการ์ ตันประเสริฐเมื่อพ.ศ.๒๕๔๔ ว่า                          
...สมัยกรมพระนเรศวรฤทธิ์ท่านเสด็จมาประทับเป็นประจำเสมือนหนึ่งเป็นชาวหัวหินก็บอกว่า  ชื่อแหลมหินมันเชยเปลี่ยนเสียใหม่ว่า หัวหิน.... (กรรณิการ์ ตันประเสริฐ :๒๕๔๖ :๔๗)
 .ยุคแห่งการสำราญพระอิริยาบถ (พ.ศ.๒๔๕๒ -๒๔๗๕)
            สรศัลย์ แพ่งสภากล่าวในหนังสือ ราตรีประดับดาวที่หัวหิน ว่าปลายรัชกาลที่ ๕ ต่อเนื่องกับสมัยรัชกาลที่ ๖ (ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๕๒-๒๔๖๐) นายช่างชาวอังกฤษ ชื่อ มิสเตอร์ เฮนรี กิตตินส์ (Henry Gittins)เจ้ากรมรถไฟหลวงสายใต้ (สรศัลย์ แพ่งสภา: ๒๕๓๙ : ๒๗) สำรวจเส้นทางจากเพชรบุรีมุ่งสู่ภาคใต้ของประเทศไทยผ่านภูมิประเทศแห้งแล้งกันดาร จนพบพื้นที่อ่าวมีหาดทรายสีขาวเป็นแนวยาวจากกลุ่มแนวโขดหินใหญ่จรดเขาตะเกียบ  จึงนำความกราบทูล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธินซึ่งดำรงพระยศเป็นที่ปรึกษากรมรถไฟหลวง เมื่อทางรถไฟสายใต้จากสถานีบางกอกน้อยถึงเขตบ้านสมอเรียงสร้างเสร็จแล้ว  ทำให้การคมนาคมไปยังหัวหินสะดวกสบายขึ้น พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ตลอดจนพ่อค้าและคหบดี จึงไปซื้อที่ดินบริเวณชายหาดบ้านสมอเรียงซึ่งมีทิวทัศน์งดงาม เพื่อสร้างบ้านพักตากอากาศและเรียกพื้นที่ดังกล่าวว่า หัวหินตามชื่อหาดหน้าพระตำหนักของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ
            สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศรวรฤทธิ์ (ต้นราชสกุลกฤดากร) เป็นเจ้านายพระองค์แรกที่สร้างพระตำหนักหลังใหญ่ชายทะเลด้านใต้ของหมู่หิน (ติดกับโรงแรมรถไฟหัวหิน)และประทานชื่อว่าตำหนักแสนสำราญสุขเวศน์ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศ พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้า กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา ทรงเคยมาประทับพักผ่อนตากอากาศด้วย     ต่อมากรมพระนเรศวรฤทธิ์ทรงปลูกตำหนักอีกหลังหนึ่งแยกเป็น แสนสำราญและ สุขเวศน์เพื่อไว้ใช้รับเสด็จฯเจ้านาย และทรงสร้างเรือนเล็กใต้ถุนสูงเพิ่มอีกหลายหลัง ชื่อว่า บานฤทัย ใจชื่น รื่นจิตต์ ปลิดกังวล ดลสุขเพลิน เจริญอาหาร สมานอารมณ์และรับลมทะเล (ม.ร.ว.รมณียฉัตร แก้วกิริยา:มปป:99)  ต่อมาหมู่เรือเหล่านี้ได้พัฒนาเป็น บังกะโลสุขเวศน์          
            โฮเต็ลรถไฟและเดอะรอยัลหัวหินกอล์ฟคอร์ส(The Royal Hua Hin Golf Course)
หัวหินเป็นสถานที่พักผ่อนตากอากาศริมทะเลมาตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๔๖๓ ก่อนที่จะเริ่มมีการก่อสร้างสถานีรถไฟหัวหินและสร้างสนามกอล์ฟแห่งแรกของไทยขึ้นในสมัย รัชกาลที่ ๖ (พ.ศ.๒๔๕๓- ๒๔๖๘ โดยในครั้งนั้น รัชกาลที่ ๖ เสด็จพระราชดำเนินไปประทับแรมที่ค่ายหลวงบางทะลุ ปากคลองบางทะลุ ชายทะเลเมืองเพชรบุรี และพระราชทานนามว่า ค่ายหลวงหาดเจ้าสำราญ ต่อมาโปรดเกล้าฯให้สร้างพระราชนิเวศน์มฤคทายวันขึ้นที่ชายหาดตำบลบางกรา (คือ ตำบลห้วยทรายเหนือ อำเภอชะอำ)ใน พ.ศ.๒๔๖๔ อันเป็นปีที่ทางรถไฟสายใต้เชื่อมเข้ากับเส้นทางรถไฟของรัฐมลายู และทรงมีพระราชประสงค์ให้หัวหินเป็นสถานตากอากาศทันสมัยที่สุดในการรับรองชาวต่างประเทศ พระองค์จึงโปรดเกล้าฯให้สร้างโฮเต็ลรถไฟหัวหินแห่งสยามประเทศ (Hua Hin Hotel Siam) และสนามกอล์ฟหลวงหัวหินที่สวยงามและได้มาตรฐานที่สุดในภูมิภาคขึ้นโดยเปิดดำเนินการในปีพ.ศ.๒๔๖๕ ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงพระราชทานชื่อสนามกอล์ฟแห่งนี้ว่า เดอะ รอยัล หัวหิน กอล์ฟ คอร์ส (The Royal Hua Hin Golf Course-สนามกอล์ฟหลวง)”
ความเฟื่องฟูของหัวหินเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อโปรดเกล้าฯให้สร้างวังไกลกังวลขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ วังไกลกังวล เป็นวังส่วนพระองค์ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชทานแด่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี
 โดยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จากพระคลังข้างที่  อยู่ห่างจากหาดหัวหินไปทางทิศเหนือประมาณ ๓ กิโลเมตร หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากร เป็นสถาปนิกผู้ออกแบบ  พระตำหนักต่างๆในวังไกลกังวล ได้แก่ พระตำหนักเปี่ยมสุข พระตำหนักปลุกเกษม ตำหนักเอิบเปรมและตำหนักเอมปรีดิ์     โดยมีวิศวกรชาวต่างประเทศเป็นผู้เดินทางไปควบคุมการก่อสร้างทุกเดือนโดยพักที่โรงแรมรถไฟดังปรากฏหลักฐานค่าใช้จ่ายประกอบด้วย ค่าที่พัก ๔ บาท น้ำชาเช้า ๕๐ สตางค์ อาหารเช้า ๑ บาท ๗๕ สตางค์ อาหารกลางวัน ๒ บาท ๗๕ สตางค์ อาหารเย็น ๓ บาท(กรรณิการ์ ตันประเสริฐ : เรื่องเดิม : ๑๗ )




รัชกาลที่ ๗  ทรงเรียกวังไกลกังวลว่า สวนไกลกังวล และไม่ปรากฏหลักฐานเรื่องการยกวังไกลกังวลเป็นพระราชวังในหนังสือราชกิจจานุเบกษา จึงเรียกวังแห่งนี้ว่าวังไกลกังวลมาโดยตลอด อย่างไรก็ดี การขาดแคลนน้ำในหัวหินเป็นปัญหาสำคัญ โดยปกติน้ำดื่มน้ำใช้ในวังไกลกังวลนำมาจากจังหวัดเพชรบุรีหรือปราณบุรี ทำให้มีหลักฐานว่าค่าใช้จ่ายเรื่องน้ำดื่มน้ำใช้ในการประทับแรมที่หัวหินสูงยิ่งกว่าค่าใช้จ่ายเรื่องไฟฟ้า (กรรณิการ์  ตันประเสริฐ : เรื่องเดิม: ๓๑)
การสร้างวังไกลกังวลแม้จะก่อให้เกิดความภาคภูมิใจแก่ชาวท้องถิ่นเป็นอันมาก แต่ก็อาจสร้างความไม่พอใจแก่คนบางกลุ่ม จึงมีผู้ร้ายชุกชุมรบกวนการก่อสร้าง แม้จะมีการจ้างแขกยามเฝ้าทรัพย์สินเป็นเงินเดือนละ ๓๕บาท
            เจ้านายสำคัญที่เกี่ยวข้องกับหัวหินขณะสร้างวังไกลกังวล คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน (พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร ต้นราชสกุลฉัตรชัย)
          สร้างตลาดฉัตร์ไชยบนที่ดินพระคลังข้างที่ โดยทรงออกแบบให้มีหลังคารูปโค้งครึ่งวงกลมต่อเนื่องกัน ๗โค้ง หมายถึงสร้างขึ้นในรัชกาลที่ ๗  ทั้งตัวอาคารและแผงขายสินค้ามีลักษณะเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ตัวตลาดโล่ง  อากาศถ่ายเทสะดวก และถูกสุขลักษณะที่สุดขณะนั้น ชื่อตลาดนำมาจากพระนามเดิมของพระองค์  การสร้างตลาดฉัตร์ไชยทำให้หัวหินเจริญเติบโตขึ้นเป็นสถานตากอากาศหรูหราและมีชื่อเสียงที่สุด  แต่มีสิ่งที่น่าแปลกประการหนึ่งคือ ข้อมูลจากเชื้อพระวงศ์ท่านหนึ่งเล่าว่า กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธินไม่ทรงมีที่ดินในหัวหินเลยแม้แต่น้อย สิ่งนี้อาจ สะท้อนให้เห็นว่าทรงปฎิบัติราชการด้วยหลักธรรมาภิบาลและไม่ทรงมีผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จฯแปรพระราชฐานมายังหัวหินอยู่เนืองๆ เอกสารทางการรัชกาลที่ ๗ ระบุว่า ในพ.ศ. ๒๔๗๑ ชาวพระนครและชาวต่างชาติเดินทางไปเที่ยวหัวหินถึงราว ๑๐,๐๐๐ คน  ปีถัดมา(พ.ศ. ๒๔๗๒ ) ชาวพระนครและชาวต่างชาติเดินทางไปเที่ยวหัวหินเพิ่มขึ้นเป็น ๓๐,๐๐๐ คน (กรรณิการ์ ตันประเสริฐ : เรื่องเดิม: ๕)
            ยุคที่ ๓  .จากยุคคณะราษฎรถึงยุคปริศนาพาฝัน  (พ.ศ.๒๔๗๕ - ๒๕๑๐)
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองพ.ศ.๒๔๗๕  กระแสต่อต้านเจ้ารุนแรงมาก หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุลทรงเล่าว่า
...หัวหินกลายเป็นที่ชุมนุมชนทุกชั้น มีตั้งแต่คณะรัฐมนตรีใหม่และพระยามโนฯ นายกรัฐมนตรี พระยาศรีวิศาลวาจาและนายประยูร ภมรมนตรี ออกไปอยู่ตามหัวเมือง พวกทหารโดยมากไม่มีงานทำในหลวงจึงทรงพระดำริจะจับจองที่ว่างทางหลังเขา แบ่งเป็นผืนๆ ให้พวกเหล่านี้ปลูกปอ และจะทรงลงทุนทำโรงงานทำกระสอบข้าวเล็กๆขึ้นในแถวนั้น โปรดให้กรมพระกำแพงฯไปติดต่อกับทางบริษัทในเมืองManila ยังไม่ทันเป็นผลสำเร็จในหลวงก็ถูกกล่าวหาว่าทำทางไว้จะหนีไปเมืองพม่า

            พวกผู้ดีสมัยใหม่ก็ enjoy ไปตากอากาศที่หัวหิน จนถึงมีรถไฟพิเศษลดราคาสำหรับให้คนไปเที่ยวแน่นๆในวัน weekend และพวกเราที่ถูกเตะออกไปใหม่ๆ ก็เป็นตัวแมลงสำหรับคนเหล่านี้ไปเดินผ่านดูด้วยความเยาะเย้ยต่างๆ บางคนก็ยังรู้จัก บางคนก็แกล้งไม่รู้จัก คำว่า เสรีภาพ” “เสมอภาค” “ภราดรภาพ เป็นสิ่งที่มึนเมาอย่างน่าสะพรึงกลัว ครั้งหนึ่งหม่อมเจ้าทองเติม ทองแถม ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ขึ้นรถไฟนั่งมาทางกรุงเทพฯ มีชายคนหนึ่งเข้าไปนั่งข้างๆแล้วเหยียดตีนไปที่หัวเข่าและหัวเราะพูดว่า ไหนลองเหยียดตีนใส่เจ้าดูสักที พี่ทองเติม(our cousin) ตอบว่า ได้ แต่อย่าให้ถูกตัวฉันก็แล้วกัน ถ้าถูกจะตบหน้าให้ดูว่าเขาปราบกิริยาชั่วกันอย่างไร ชายผู้นั้นก็เลยทำหน้าแหยๆแล้วลุกๆไป... (ม.จ.พูนพิศมัย  ดิศกุล : ๒๕๔๖ : ๖๘-๖๙)
หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุลเล่าว่า กระแสต่อต้านเจ้าทำให้หัวหินมีคนแปลกหน้าซึ่ง
ตอนหลังทรงสืบได้ว่าเป็นพวกนักเรียนกฎหมายเดินเล่นทุกหนทุกแห่ง พลอยทำให้ราษฎรในหัวหินแบ่งออกเป็น ๒ พวก คือ
 ...พวกผู้ใหญ่ยังมาหาเจ้าและคอยบอกเหตุการณ์แต่พวกหนุ่มๆ เปลี่ยนกิริยาเป็นแบบ
เสรีภาพเที่ยวเดินตรวจดูทั้งทางหน้าบ้านหลังบ้านตามสบาย ถ้าเห็นพวกสาวๆก็ทำ
ท่าทางจะเกี้ยวไปทุกหนทุกแห่ง... (ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล : เรื่องเดิม: ๗๕)
หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุลบันทึกถึงพฤติกรรมจาบจ้วงของกลุ่มต่อต้านเจ้าว่า
เย็นวันหนึ่งในหลวงทรงพระดำเนินเล่นตามชายหาดทางโฮเต็ล ราษฎรหาบของกินขาย
จำได้ก็วางหาบลงนั่งถวายบังคม ในหลวงตรัสทักว่า ขายอะไร?’ ยายคนนั้นดีใจพนม
มือทูลตอบ พอเสด็จเลยไปนิดเดียวก็มีชายหนุ่ม ๒ คนแวะเข้าไปขู่ถามยายคนขายของ
นั้นว่า หน้ายาวขึ้นไหมที่ในหลวงพูดด้วยน่ะ?’ ยายคนนั้นตอบว่า ธุระอะไรของมึง
วันรุ่งขึ้นแกก็มาเล่าให้เราฟังว่า มันแต่งตัวกางเกงสั้นใส่เสื้อขาว มีผ้าเช็ดหน้าเหลืองโผล่
ที่กระเป๋าเสื้อทั้ง ๒ คนและยังมีพวกใส่หมวก beret สีน้ำเงินอีกพวกหนึ่งที่รู้กันดีว่าเป็น
พวกเกลียดเจ้า... (ม.จ.พูนพิศมัย  ดิศกุล : เรื่องเดิม : ๗๕)
ในสมัย จอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี (พ.ศ.๒๔๘๑-๒๔๘๗) รัฐบาลพยายามปรับปรุงสังคมไทยให้มีวัฒนธรรมทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ เช่น มีการออกรัฐนิยม ซึ่งประกอบไปด้วยการปลูกฝังวัฒนธรรมทั้งด้านภาษา การแต่งกาย  ทรงผม  กิริยา มารยาทและอื่นๆ  ทำให้ผู้หญิงต้องแต่งกายด้วยกระโปรงกับเสื้อเข้าชุดกัน สวมหมวก เลิกนุ่งผ้าโจงกระเบนกับผ้าคาดอก ผู้ชายใส่เสื้อนอกเสื้อในครบชุด สวมหมวกและเปิดหมวกโค้งคำนับทักทายผู้ใหญ่เห็นชินตาที่โรงแรมรถไฟหัวหิน ผู้มีฐานะและคนชั้นสูงนิยมเดินทางไปพักผ่อนตามชายทะเล แม้แต่หม่อมเจ้าพจน์ปรีชา พระเอกในนิยายรักอมตะเรื่อง ปริศนาของ ว.ณ. ประมวลมารค(พระวรวงศ์เธอ  พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต) ก็ทรงมีตำหนัก มโนรมณ์ ที่หัวหิน  ครอบครัวของปริศนาไปพักบังกะโลของกรมรถไฟหลวง ความรักของ ท่านชายพจน์กับปริศนา ท่ามกลางฟองคลื่นและหาดทรายสีขาวละเอียดโดยมีเสียงเพลง หัวหินสิ้นมนต์รัก กังวานก้องห้องเต้นรำของโรงแรมรถไฟ (เพลง หัวหินสิ้นมนต์รัก แต่งโดยไสล ไกรเลิศ บันทึกเสียงครั้งแรกพ.ศ. ๒๕๐๔  ขับร้องโดยสุเทพ วงศ์กำแหง)


หญิงสาวที่ไปหัวหินมักนุ่งกางเกงขาสั้น ชุดว่ายน้ำ แต่งหน้า ทาปากและแก้มสีแดงชาด ทำผมหยิกเป็นลอน จนมีชายหนุ่มมาเกี้ยวพาราสีและตกหลุมรัก จึงมักได้ยินคำถามว่า สุภาพสตรีคนนั้นคนนี้เป็นลูกเต้าเหล่าใคร มีชาติตระกูลเป็นอย่างไรเพราะหนุ่มสาวที่จะไปเดินเล่นที่ชายหาดหัวหินได้ต้องว่าจัดเป็นคนมีชาติตระกูล 
โรงแรมรถไฟซึ่งมีราคาค่อนข้างแพง คือ ค่าที่พักและค่าอาหารรวมวันละ ๓๐ บาท ขณะนั้นข้าราชการระดับเจ้าพระยามีเงินเดือนๆละ ๒,๐๐๐ บาท ส่วนข้าราชการผู้น้อยมีเงินเดือนเพียงเดือนๆละ ๕๐ บาท ช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ (พ.ศ.๒๔๘๔ -๒๔๘๘) หัวหินมีบรรยากาศซบเซาเป็นช่วงสั้นๆ เพราะไม่มีนักท่องเที่ยวเลย แต่เจ้านายและคหบดีซึ่งมีที่พักถาวรต่างพากันมาหลบพักที่หัวหินเป็นแรมปี
หลังสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้ไม่นาน หัวหินกลับได้รับความนิยมอีกครั้งเรียกว่า ยุคคลั่งไคล้หัวหิน (Hua Hin Fever”ระหว่างพ.ศ.๒๔๙๐ ๒๔๙๒ ) ชาวกรุงเทพฯในวงสังคมทันสมัยต่างพากันไปพักที่บ้านตากอากาศของครอบครัวหรือที่โรงแรมรถไฟ ช่วงนี้เริ่มมีการสร้างโรงแรมและตึกแถวรองรับนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ทำให้มีการสร้างโรงแรมหน้าตลาดฉัตร์ไชย เป็นต้น นิยายเรื่อง พล นิกร กิมหงวน ตอนมนต์รักที่หัวหินของ ป. อินทรปาลิตกล่าวถึงค่านิยมสมัยนั้นว่า
"...ส่วนประเภทมีสตางค์หน่อย พอนึกจะไปตากอากาศ ก็เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทาง
แล้วขึ้นรถไฟตรงไปหัวหินทีเดียว  ไปถึงที่นั่นหาโรงแรมถูกๆ พักเล่นข้างแกงตามตลาด เดินย่ำต๊อกวางมาดชายทะเลทุกเช้าเย็น แต่งตัวให้ภูมิฐานหน่อย อยู่ที่หัวหินสักหนึ่งอาทิตย์พอผิวเนื้อถูกแดดดำคล้ำก็กลับกรุงเทพฯ พบหน้าใครๆ ก็คุยอวดว่า ไปตากอากาศ    ที่หัวหินกลับมา โรงแรมรถไฟที่นั่นสบายมาก สนามกอล์ฟงดงาม อาหารแพงหน่อย เพื่อนฝูงไม่รู้ความจริงก็เลยนับถือ เรื่องมันเป็นอย่างนี้จริงๆครับ ไม่ใช่ผมมดเท็จพูด ในวงสังคม           ถ้าหากใครคนใดคนหนึ่งพูดว่า เขาไปหัวหินกลับมา ก็รู้สึกว่าเป็นของโก้เก๋เหลือเกิน.."
พ.ศ.๒๔๙๓ ผู้ที่มีรถยนต์ก็สามารถไปเที่ยวหัวหินได้อย่างเป็นส่วนตัว 

ทางหลวงหมายเลข๔ ถนนเพชรเกษมสร้างเสร็จแล้ว แต่รถยนต์ยังมีราคาแพงทำให้คนรวยยังเป็นผู้นำของการไปเที่ยวหัวหินและนำวัฒนธรรมการเดินเล่นยามเช้า (Morning walk) ไปด้วย(เดินจากประตูน้ำไปราชดำริและเพลินจิตเพื่อไปดื่มกาแฟ และรับประทานปาท่องโก๋ (หรือ อิ้วจาก้วย)  โจ๊กไก่ หรือต้มเลือดหมู )  เนื่องจากมีการตัดถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ถนนวิทยุและถนนราชดำริ ดังนั้นทุกเช้าจะเห็นนักท่องเที่ยวตากอากาศเดินทักทายคนรู้จักตามชายหาด แล้วก็ไปหาโจ๊ก หรือกาแฟและไข่ลวกรับประทาน  กลายเป็นกิจวัตรยอดนิยมที่ส่งผลให้ ร้านกาแฟเจ๊กเปี๊ยะขายดี(สุกัญญา  ไชยภาษี : ๒๕๕๑ :๑๐)
พาหนะที่ใช้ทั่วไปในหัวหิน คือ รถสามล้อถีบ ซึ่งก่อนหน้านั้นแม้แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งเสด็จฯทรงตรวจงานการสร้าง สวนไกลกังวล ก็ยังทรงประทับอย่างผ่อนคลายพระอิริยาบถบนรถสามล้อแบบที่เรียกในปัจจุบันว่า รถซาเล้ง” 

ยุคที่ ๔ พ.ศ.๒๕๑๐ -ปัจจุบัน
            ความซบเซาของหัวหินเกิดขึ้นหลังการประกาศแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ ๑
(พ.ศ.๒๕๐๔- ๒๕๐๙ ) ทำให้มีการตัดถนนทั่วประเทศ  นักท่องเที่ยวเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวกันมากขึ้น ประกอบกับมีสถานที่พักตากอากาศแห่งใหม่เกิดขึ้น เช่น สถานตากอากาศบางปู จังหวัดสมุทรปราการ ชายหาดบางแสนและพัทยา จังหวัดชลบุรี และการสร้างถนนสุขุมวิทจากกรุงเทพฯถึงจังหวัดตราด  ผู้คนจึงเดินทางไปเที่ยวทางตะวันออกของอ่าวไทยกันมาก  เป็นเหตุให้หัวหินเงียบเหงาลง โรงแรมรถไฟประสบภาวะขาดทุนต้องให้เอกชนเข้ามาบริหารกิจการ ทำให้สถานตากอากาศหัวหิน-ชะอำเสื่อมความนิยมลงไปกว่ายี่สิบปี  จวบจนปัจจุบัน หัวหินกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งจากความโดดเด่นทางด้านประวัติศาสตร์และกลิ่นอายของอดีตที่ผสมผสานกับบรรยากาศการท่องเที่ยวสมัยใหม่ อาทิ การจัดเทศกาลแจ๊สเฟสติวัล(Jazz Festival) การสร้างร้านอาหารเพลินวานเพื่อเลียนแบบวิถีวัฒนธรรม




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัย : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว - 26 พฤศจิกายน 2468   : สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนศุโขทัยธรรมราชาเสด็จขึ้นครองราชย์ - 25 กุมภาพันธ์ 2468 :  พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาพระวรชายาเป็นสมเด็จพระบรมราชินี และเสด็จไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถาน (ร.7 พระชนม์ 32 พรรษา,สมเด็จฯ 21 พรรษา) -6 มกราคม -5 กุมภาพันธ์ 2469 : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า รำไพ พรรณีฯ เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพเพื่อเยี่ยมราษฎร -16 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2470 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก -24 มกราคม - 11 กุมภาพันธ์ 2471: เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลภูเก็ต -10 เมษายน-12 เมษายน 2472 : พระราชพิธีราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุข สวนไกลกังวล -พฤษภาคม 2472  : เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลปัตตานี (ทอดพระเนตรสุริยุปราคา) -31 กรกฎาคม -11 ตุลาคม 2472 : เสด็จพระราชดำเนินเยือน สิงคโปร์ ชวา บาหลี -6 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2473 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนอินโดจีน -6 เมษายน - 9 เมษายน 2474 : เสด็จฯเยือนสหรัฐอเมริกาและญี่

ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมสมัยรัชกาลที่ 7

                                                                                                                                   ฉัตรบงกช   ศรีวัฒนสาร [1]                 องค์ประกอบสำคัญในการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของสังคมมนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยสภาวะความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงเป็นพลังสำคัญ ในทัศนะของ อริสโตเติล ( Aristotle) นักปรัชญากรีกโบราณ   ระบุว่า   ศิลปะทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นดนตรี   การแสดง   หรือ ทัศนศิลป์   ล้วนสามารถช่วยซักฟอกจิตใจให้ดีงามได้   นอกจากนี้ในทางศาสนาชาวคริสต์เชื่อว่า   ดนตรีจะช่วยโน้มน้าวจิตใจให้เกิดศรัทธาต่อศาสนาและพระเจ้าได้     การศรัทธาเชื่อมั่นต่อศาสนาและพระเจ้า คือ ความพร้อมที่จะพัฒนาการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ [2]                 ราชบัณฑิตยสถานอธิบายความหมายของศิลปะให้สามารถเข้าใจได้เป็นสังเขปว่า “ศิลปะ(น.)ฝีมือ,   ฝีมือทางการช่าง,   การแสดงออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์เห็น โดยเฉพาะหมายถึง วิจิตรศิลป์ ” [3] ในที่นี้วิจิตรศิลป์ คือ ความงามแบบหยดย้อย   ดังนั้น คำว่า “ศิลปะ” ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถานจึงหมายถึงฝีมือทางการช่างซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา

ห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพ

  ขอบคุณภาพจากพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และขอบคุณเนื้อหาจาก รศ.วุฒิชัย  มูลศิลป์ ภาคีสมาชิกสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง  ราชบัณฑิตยสถาน        พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน รศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี  พระอรรคราชเทวี (ต่อมาคือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ  และสมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ  พระบรมราชชนนี ตามลำดับ)  โดยทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ของสมเด็จพระนางเจ้าฯและองค์ที่ 76 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว     ในห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพนี้  ประเทศไทยหรือในเวลานั้นเรียกว่าประเทศสยาม หรือสยามเพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่มาได้เพียง 1 เดือน 5 วัน  คือ วิกฤตการณ์สยาม ร. ศ. 112 ที่ฝรั่งเศสใช้กำลังเรือรบตีฝ่าป้อมและเรือรบของไทยที่ปากน้ำเข้ามาที่กรุงเทพฯได้  และบีบบังคั