พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวประดิษฐานที่รัฐสภา |
พุทธศาสนสุภาษิตหมวดขันติวรรค คือ หมวดอดทน กล่าวถึงข้อคิดที่สำคัญไว้ดังนี้
“ ผู้มีขันติได้ชื่อว่า นำประโยชน์มาให้ทั้งแก่ตนทั้งแก่ผู้อื่น ผู้มีขันติธรรมอยู่ในใจ
ได้ชื่อว่าเป็นผู้ย่างขึ้นสู่หนทางสวรรค์และนิพพานโดยแท้ พระพุทธองค์ยังทรงสรรเสริญอีกว่า "ยกเว้นปัญญาแล้ว เราตถาคตสรรเสริญว่า “ขันติเป็นเลิศ"เพราะฉะนั้น
ขันติบารมีจึงเป็นบารมีที่เราจะต้องสั่งสมไว้ให้มาก ให้ติดตามตัวเราไปทุกภพทุกชาติ
ขันติ ย่อมตัดรากแห่งบาปทั้งสิ้น
ผู้มีขันติชื่อว่าย่อมขุดรากแห่งความติเตียนและการทะเลาะกันเป็นต้นได้
ผู้มีขันตินับว่ามีเมตตา มีลาภ
มียศ และมีสุขเสมอ
ผู้มีขันติเป็นที่รักที่ชอบใจของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย [1]
ดังนั้น บารมีที่สำคัญที่นักสร้างบารมีทั้งหลายพึงต้องมีอยู่ในจิตใจ
คือ
ขันติบารมี ขันติ หมายถึง ความอดทนเป็นตบะอย่างยิ่ง
ที่จะนำเราก้าวไปสู่จุดหมายปลายทางของชีวิต เพราะในขณะเดินทางไกลจะต้องเจอปัญหา
และอุปสรรคนานัปการ ถ้าหากว่าเรามีความอดทนแล้ว
แม้มรสุมร้ายจะถาโถมเข้ามากระทบนาวาชีวิต ระลอกแล้วระลอกเล่า เราก็ยังยืนหยัดสู้ต่อไปไม่ยอมให้นาวาชีวิตลำนี้ล่มเสียกลางทะเล
พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงสรรเสริญขันติธรรมว่าเป็นเลิศ เป็นหลักเป็นประธานที่ทำให้เกิดคุณ คือ ศีล สมาธิ
กุศลธรรมทุกอย่างจะเจริญขึ้นมาได้
ก็เพราะอาศัยขันติเป็นพื้นฐาน” ดังข้อความต่อไปนี้
“กุลบุตรใดไม่มีความพยาบาท ไม่เบียดเบียน มีความสงบวิเวกเป็นอาวุธ
มีความอดทนเป็นเกราะ กุลบุตรนั้นย่อมเป็นไปเพื่อความเกษมจากโยคะ พรหมฌานอันยอดเยี่ยมภายใน
เกิดขึ้นในบุคคลเหล่าใด บุคคลเหล่านั้นเป็นนักปราชญ์ ย่อมพ้นไปจากโลก
โดยความแน่ใจว่ามีชัยชนะโดยแท้” [2]
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๗ ทรงเป็นพระราชโอรสองค์สุดท้ายในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระศรีพัชรินทรา
บรมราชินีนาถ ประสูติเมื่อวันพุธที่ ๘
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๖ ทรงได้รับพระราชทานพระนามในพระสุพรรณบัฏว่า
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ฯ กรมขุนศุโขทัยธรรมราชา [3] ทรงครองราชย์สมบัติเมื่อ ๒๖ พฤศจิกายน .พ.ศ.๒๔๖๘ และประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ในวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๘ (นับตามแบบโบราณ คือนับเดือนเมษายนเป็นปีใหม่) พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเปี่ยมไปด้วยพระราชขันติธรรมอย่างยอดเยี่ยม ดังจะพิจารณาจากพระราชประวัติ พระราชกรณีกิจ และพระราชจริยาวัตร ๗ ประการ
ดังนี้
ประการที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีความพยายามใฝ่เรียนรู้ อย่างวิริยะอุตสาหะ ดังปรากฏในพระราชประวัติตั้งแต่ที่ทรงได้รับการศึกษาฝึกฝนอย่างมีระเบียบวินัยที่วิทยาลัยอีตัน
(Eton) และโรงเรียนนายร้อยวูลิส
(Woolwich) ประเทศอังกฤษ หลังจากจบการศึกษา
ทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายร้อยตรีในกองทัพบกอังกฤษ พระราชประสงค์จะทรงศึกษาและดูงานทหารเพิ่มเติมที่ประเทศฝรั่งเศส
ทรงเข้าศึกษาที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบกฝรั่งเศส
ชื่อ Ecole de Querre ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เอง ต่อมาเมื่อทรงผนวช พระองค์ทรงศึกษาหลักธรรมและพระราชนิพนธ์เรียงความแก้กระทู้ธรรมถึง
๖ เรื่อง และทรงได้รับรางวัลใน ๓ เรื่อง ได้แก่ “คนผู้ได้รับฝึกหัดแล้วเป็นผู้ประเสริฐในหมู่มนุษย์” มีประเด็นสำคัญกล่าวถึงผู้ที่ต้องมีขันติหรือความอดทนจึงจะทำได้กล่าวคือ
การได้รับฝึกหัดทางกาย ฝึกหัดทางวาจา และทางใจมาอย่างดีแล้วย่อมเป็นผู้ประเสริฐ คือ
ความสมถะในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย
จากพื้นฐานทางการศึกษาของพระองค์อาจกล่าวได้ว่า มิได้ทรงเตรียมพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ แต่ทรงได้รับการฝึกหัดมาให้เป็นทหาร รวมทั้งเรื่อง
“โลกอันเมตตาค้ำจุนไว้” และ เรื่อง
“ความรู้จักพอดียังประโยชน์ให้สำเร็จทุกเมื่อ”
ประการที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีความพอดี (ดุล) คนเราจะเสาะหาความพอดีพบและดำเนินชีวิตด้วยความพอดีได้ จะต้องมีกุญแจดอกใหญ่สองดอก คือ
ความอ่อนน้อมและสำรวม
ความอ่อนน้อมทำให้ไม่ลำพอง ไม่โอ้อวด
ไม่ถือโทสะเพื่อเอาชนะคะคาน การอวดเบ่ง
หรืออวดเก่ง หรือจ้องแต่จะแข่งขันอย่างบ้าคลั่ง ส่วนความสำรวมจะทำให้มีสติ
รู้ได้ว่าจะไม่ทำอะไรให้เป็นเหตุแห่งทุกข์ แห่งปัญหา ไม่ว่าจะเกิดกับตัวเองหรือใคร
ประการที่๓ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง
(Integrity) พระราชขันติธรรมข้อนี้ ดังเห็นได้จากการที่ทรงอธิบายความเชื่อเรื่องกรรมไว้ว่า
“...ความเชื่อในกรรมนั้นมักจะมีผู้กล่าวอยู่บ้าง ว่าเป็นความเชื่อที่ทำให้ผุ้เชื่อ เช่นนั้น “รามือราเท้า” ไม่ทำอะไรเลย
มัวแต่หวังในบุญกรรมอย่างที่เรียกว่า “ปล่อยไปตามบุญตามกรรม” ผู้เชื่อในกรรมเช่นนี้ก็เห็นจะมีบ้างแต่เป็นทางเชื่อที่ ไม่ตรงกับพระบรมพุทโธวาทเลย เป็นความเชื่ออย่างที่ฝรั่งเรียกว่า “ Fatalistic “ ที่จริง “กรรม” นั้นแปลว่า “ทำ”
ผู้ที่เชื่อในกรรมจริงๆ ต้อง พยายามทำความดีให้มากที่สุด และละเว้นทำชั่ว เพราะต้องเชื่อว่า “ทำดีได้ดีทำ ชั่วได้ชั่ว”
จึงจะได้ชื่อว่ามีความเข้าใจดีในคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็จงนึกเสีย เถิดว่า
มิวันใดก็วันหนึ่งเขาจะหนีผลกรรมของเขาหาพ้นไม่ มิควรจะเอาเป็นเหตุ ให้ท้อถอยต่อการบำเพ็ญกุศลกรรมแต่อย่างใดเลย
จงเชื่อมั่นในผลของกรรมแล้ว บำเพ็ญกรณียกิจของตน
ให้สมกับที่เป็นพุทธมามกะอันแท้จริงเถิด ถ้าคนเราไม่มี ความเชื่อในความยุติธรรมอันใดอันหนึ่งที่สูงกว่าความยุติธรรมของคนต่อคนกัน แล้ว
คนที่ประพฤติดีเห็นจะมีน้อยเต็มทีและจะเป็นที่น่าเหี่ยวแห้งใจอย่างยิ่ง …” [4]
ประการที่ ๔
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีความขยันหมั่นเพียร คือ
ความใส่พระราชหฤทัยต่องานราชการ ความข้อนี้ปรากฏหลักฐานการเสด็จพระราชดำเนินเลียบหัวเมืองมณฑลต่างๆ ด้วยต้องพระราชประสงค์จะทอดพระเนตรภูมิประเทศถิ่นฐานบ้านเมือง เพื่อทรงทราบถึงทุกข์สุขของราษฎร สำหรับประกอบพระราชดำริในการปรับปรุงแก้ไขการปกครองบ้านเมือง และการเสด็จพระราชดำเนินประพาสต่างประเทศ เพื่อเจริญพระราชไมตรีและนำสิ่งที่เห็นว่าเป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองมาใช้ในประเทศสยามให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาประเทศ พระองค์เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมประชาชนในภาคต่างๆของประเทศรวม ๔ ครั้ง คือระหว่าง พ.ศ. ๒๔๖๙ ถึง ๒๔๗๑ เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลฝ่ายเหนือ หัวเมืองชายทะเลตะวันออก หัวเมืองชายทะเลตะวันตก และมณฑลภูเก็ต
ประการที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีหลักการ
(principled) ทรงตระหนักดีว่า
การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจะต้องเกิดขึ้นในรัชกาลของพระองค์ เพราะภายหลังที่พระองค์เจ้าบวรเดช
กราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหมแล้ว มีข่าวลือว่าจะมีผู้ก่อการปฏิวัติขึ้น
และหากเกิดการปฏิวัติเกิดขึ้นแล้วทรงคาดว่าจะมีแต่เสียประโยชน์ ทางหนึ่งที่จะทรงปฏิบัติได้ก็คือ
การพระราชทานรัฐธรรมนูญตามหลักการและแนวทางของพระองค์เสียก่อน ผู้จะครองตนให้มีหลักการ ไม่ว่าสิ่งใด
จะต้องมีทั้งสติ ปัญญา และธรรมราชา ดังจะเห็นได้จาก
พระราชหัตถเลขาฉบับหนึ่งที่พระราชทานพระวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ว่า
“...ฉันได้คิดรายละเอียดของพิธีนี้มาหลายปี เพราะรู้ดีว่าจะต้องเกิดขึ้นในรัชกาลของฉัน ฉันร่างคำประกาศไว้ในใจฉันเป็นเวลานานแล้ว ฉันอดเสียใจไม่ได้ มิได้บังเกิดขึ้นตามแนวที่ฉันเคยกะไว้ แต่ที่จริงเป็นไปอย่างนี้ก็ดีแล้ว เพราะว่าถ้าฉันได้มีโอกาสให้รัฐธรรมนูญตามโอกาสและตามใจฉันเอง
คนที่อยากจะได้อำนาจแต่บัดนี้ก็ได้อำนาจแล้ว ก็คงยังจะไม่ได้อะไร
ฉะนั้นอาจจะยังพยายามจัดให้มีรีปับลิค” [5]
ประการที่
๖ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีความเป็น
“คน” ความเป็น “มนุษย์” มีการมองโลกอย่างเชื่อมโยง พระราชจริยาวัตรในข้อนี้
ดังปรากฏในพระราชหัตถเลขาสละราชสมบัติ เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ใจความตอนหนึ่ง ว่า
“...เมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่าบัดนี้เป็นอันหมดหนทางที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือหรือให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนได้ต่อไปแล้ว
ข้าพเจ้าจึงขอสละราชสมบัติและออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์แต่บัดนี้เป็นต้นไป...”
เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรันทดพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่งที่ไม่สามารถจะปฏิบัติพระราชภารกิจของพระมหากษัตริย์สยามอันมีมาแต่โบราณในการให้ความคุ้มครองประชาชนให้ได้รับความยุติธรรมได้สำเร็จได้
ประการที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีความอดทนอดกลั้น
คือ ขันติบารมี ความกล้าหาญในสิ่งที่ควรกล้า
ดังหลักฐานพระราชกระแสตอนหนึ่งว่า
“....ถ้าอะไรไม่ดีมักจะติและโทษเอาพระองค์สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินพระองค์เดียวนั้นเป็นของธรรมดาไม่แปลกอะไร
การสิ่งนี้ย่อมเป็นอยู่เสมอ พระเจ้าแผ่นดินจะต้องทรงถูกซัดทุกอย่าง
แม้ดินฟ้าอากาศวิปริตไม่ต้องตามฤดูกาลก็ยังถูกซัด เป็นของธรรมดาที่จะต้องรับความซัดทอดเหล่านั้นด้วยขันติ
ถ้าหากการที่ฉันได้ดำริจัดขึ้นได้ผลดี
แม้จะไม่มีใครชมหรือหลงชมว่าเป็นความดีของคนอื่นก็หาโทมนัสไม่
ด้วยเมื่อทราบอยู่แก่ตนแล้วว่าสิ่งที่ได้จัดไปนั้นเป็นผลดีก็เป็นรางวัลอันเพียงพอแล้ว...”
[1]พุทธศาสนสุภาษิต. ฉบับภาษาบาลี-ไทย-อังกฤษ “ขันติวรรคหมวดอดทน “ จัดพิมพ์เผยแพร่โดย
ศูนย๋ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ,2532., หน้า 19
[3]
คำว่า
“กรมขุนศุโขทัยธรรมราชา” ใช้ “ศ” สะกดเพราะอยู่ในจารึกพระสุพรรณบัฏประกาศเฉลิมพระนามทรงกรมเป็นกรมขุน เมื่อ พ.ศ.2448 ต่อมาอีกยี่สิบปี พ.ศ. 2468
ทรงได้รับการเลื่อนสถาปนาเป็นกรมหลวง
และในประกาศสถาปนาในพระสุพรรณบัฏตอนนี้ใช้ “ส” สะกด จึงเขียนเป็นกรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา
.
.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น