ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เมื่อพระปกเกล้าฯพระราชทานสัมภาษณ์นักหนังสือพิมพ์อเมริกัน


                                                                                                                             
วันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๔ วิทยาลัยฮาร์เวิร์ด เคมบริดจ์ ถวายปริญญาบัตร
                                                                                                                             
                                                                                                                           ม.ร.ว.พฤทธิสาณ  ชุมพล

จดหมายข่าวสถาบันพระปกเกล้าฉบับนี้  เป็นฉบับประจำเดือนพฤษภาคม  ซึ่งเป็นเดือนที่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๔ วันที่ ๓๐ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต  ณ พระตำหนักคอมพ์ตัน เฮาส์ (Compton House) ประเทศอังกฤษ  ตามธรรมดาคงจะต้องเขียนถึงวาระนั้น  แต่เพื่อให้เป็นการรำลึกถึงพระองค์ท่านในอีกรูปแบบหนึ่ง 
จึงขอเล่าสู่กันฟังถึงพระราชกรณียกิจอย่างหนึ่งที่สำคัญ และทรงประกอบแต่ครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐอเมริกาในพ.ศ. ๒๔๗๔แทน  พระราชกรณียกิจที่สำคัญนั้น  ก็คือ การพระราชทานสัมภาษณ์นักหนังสือพิมพ์อเมริกันที่โอเฟียร์ ฮอล (Ophir Hall) เมืองไวท์ เพลนส์ (White Plains) ซึ่งทรงเช่าจากนางไวท์ลอว์ รีด ( Mrs. Whitelaw Reid) เป็นที่ประทับ   เกือบจะทันทีที่เสด็จพระราชดำเนินเข้าประทับในปลายเดือนเมษายน ศกนั้น   และทรงรับการผ่าตัดต้อกระจกในพระเนตรซ้ายที่คฤหาสน์นั้นเอง เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม  โดยมีนายแพทย์จอห์น เอ็ม วีลเลอร์ (Dr. John M Wheeler ) และคณะเป็นผู้ถวายการผ่าตัด  ตรงนี้ต้องขอเล่าแถมว่า  ท่านผู้นี้เป็นคนละคนกับเซอร์ สตูเวิรต ดยุ๊ค -เอลเดอร์ (Sir Stewart Duke- Elder)  ซึ่งถวายการผ่าตัดพระเนตรข้างเดียวกันขั้นที่สองที่ลอนดอนคลินิก เมื่อเสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรปในพ.ศ. ๒๔๗๖-๒๔๗๗  เพราะมีผู้เข้าใจผิดอยู่ว่าเป็นทีมแพทย์เดียวกัน

รัชกาลที่ ๗ และนายแพทย์จอห์น เอ็ม วีลเลอร์
  นายแฮเริลด์ เอ็น. เด็นนี่ (Harold N. Denny )  ได้ตีพิมพ์รายงานข่าวของเขาในหนังสือพิมพ์ เธอะนิวยอร์ค ไทมส์ (The New York  Times) ว่า  เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ที่โอเฟียร์ฮอล  คณะผู้แทนหนังสือพิมพ์ ๔ คนได้เข้าเฝ้าที่ห้องทรงพระอักษรในบรรยากาศ“ที่เป็นกันเอง”

“ปรากฏชัดในทันทีว่าความสนพระทัยและความรู้ของพระองค์กว้างขวางอย่างน่าประหลาดใจ  การสนทนาครอบคลุมตั้งแต่ปรัชญาการปกครองไปจนถึงพระราชประสงค์ที่จะทอดพระเนตร เบบ รู๊ธ (Babe Ruth – นักเบสบอลล์) เหวี่ยงไม้ตีลูก ตั้งแต่ความเป็นอัจฉริยะของชาร์ลี แชปลิน (Charlie Chaplin )ไปจนถึงเสรีภาพในการนับถือศาสนาในสยาม  ทรงมีพระปรีชาเชาวน์เป็นเลิศ  พระเนตรฉายแววอย่างที่มิได้บ่งบอกว่าจะทรงเข้ารับการผ่าตัดพระเนตรเบื้องซ้ายในสัปดาห์หน้า  รับสั่งตอบคำถามต่างๆอย่างคล่องแคล่ว  เสมือนว่ากำลังทรงพระสำราญยิ่งกับการนั้น  โดยทรงแย้มพระสรวลและทรงพระสรวลอยู่บ่อยครั้ง”

ต่อคำกราบบังคมทูลถามเกี่ยวกับเป้าประสงค์สูงสุดของการปกครองคืออะไร  รับสั่งตอบว่า

“เป้าประสงค์ของการปกครองก็คือ  การส่งเสริมให้คนจำนวนมากที่สุดมีความสุข  เราไม่สามารถวางเป้าหมายให้ทุกคนมีความสุข  นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  แต่เราสามารถมุ่งให้คนจำนวนมากที่สุดมีความสุข”

คำถามหนึ่งซึ่งผู้สื่อข่าวไม่แน่ใจว่าควรกราบบังคมทูลถามหรือไม่  คือคำถามที่ว่า  “ปัจเจกบุคคลอาจไม่มีเสรีภาพในระบอบกษัตริย์ที่มีผู้ปกครองพระองค์เดียวมากเท่ากับในระบอบประชาธิปไตยที่มีผู้ปกครองหลายคนใช่หรือไม่?”

“พระองค์อาจจะทรงรู้สึกว่า  ในฐานะที่ทรงเป็นอาคันตุกะของประเทศประชาธิปไตย  พระองค์ไม่ควรที่จะทรงออกความเห็น”  นายเดนนี่เขียนไว้เช่นนั้น  และรายงานว่า รับสั่งตอบอย่างทรงทราบกาลเทศะว่า

“รูปแบบการปกครองที่ดีที่สุดก็คือ  แบบที่ผู้คนที่อยู่ในระบอบนั้นเห็นว่าเหมาะสม”

ผมกลับคิดว่า  รับสั่งตอบอย่างที่ทรงเชื่อมากกว่า 

ในโอกาสเดียวกันนั้น  พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเปิดเผยแผนการของพระองค์ในอันที่ประชาชนของพระองค์จะได้มีสิทธิเสียง  รับสั่งว่า

“เรากำลังร่างกฎหมายเทศบาลขึ้นเพื่อที่จะทดลองการใช้สิทธิเสียง  ภายใต้กฎหมายนี้  ประชาชนจะได้รับอนุญาตให้เลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลบางส่วน”

“ข้าพเจ้าเห็นว่าการเริ่มให้มีสิทธิเสียงควรจะเป็นในระดับเทศบาล  ข้าพเจ้าเชื่อว่าประชาชนควรที่จะมีสิทธิเสียงในกิจการของท้องถิ่น  เรากำลังพยายามจะให้เขาได้เรียนรู้ที่จะทำเช่นนั้น  ข้าพเจ้าคิดว่าจะเป็นความผิดพลาดที่เราจะมีการปกครองในระบบรัฐสภาทั้งๆที่ประชาชนยังไม่ได้เรียนรู้เลยที่จะใช้สิทธิเสียงของเขาโดยได้มีประสบการณ์ในการปกครองท้องถิ่น”

หลังจากที่การพระราชทานสัมภาษณ์ได้สิ้นสุดลง  สมเด็จกรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ได้ประทานข้อความที่เป็นทางการ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ  พระราชทานแก่นักหนังสือพิมพ์ผู้เข้าเฝ้าฯ ความตอนหนึ่งว่า

“ข้าพเจ้าขออนุญาตมอบข้อคิดแก่ท่านไว้สักเล็กน้อยว่า  ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะสามารถทำให้หนังสือพิมพ์ที่มีเสรีภาพซึ่งได้พัฒนาขึ้นในอเมริกาแล้วนี้มีความมั่นคงยิ่งขึ้น  และพยายามไม่เพียงแต่จะรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันด้วยความแม่นยำและมารยาทที่ดี  หากแต่ทำตัวเป็นสื่อในอันที่จะสร้างความเข้าใจ  และความอดทนอดกลั้นต่อกันและกันมากขึ้นเรื่อยๆ  จนในที่สุด  สันติภาพระหว่างประเทศเกิดขึ้นมา” 

นับว่าเป็น “พระราชมรดก” อีกองค์หนึ่ง  ที่ทรงมอบไว้แก่เราเป็นคติเตือนใจ

                                                                                             [พช /ร.๗ นสพ.อเมริกัน /พ.ค.๕๖.

 

 

 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัย : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว - 26 พฤศจิกายน 2468   : สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนศุโขทัยธรรมราชาเสด็จขึ้นครองราชย์ - 25 กุมภาพันธ์ 2468 :  พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาพระวรชายาเป็นสมเด็จพระบรมราชินี และเสด็จไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถาน (ร.7 พระชนม์ 32 พรรษา,สมเด็จฯ 21 พรรษา) -6 มกราคม -5 กุมภาพันธ์ 2469 : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า รำไพ พรรณีฯ เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพเพื่อเยี่ยมราษฎร -16 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2470 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก -24 มกราคม - 11 กุมภาพันธ์ 2471: เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลภูเก็ต -10 เมษายน-12 เมษายน 2472 : พระราชพิธีราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุข สวนไกลกังวล -พฤษภาคม 2472  : เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลปัตตานี (ทอดพระเนตรสุริยุปราคา) -31 กรกฎาคม -11 ตุลาคม 2472 : เสด็จพระราชดำเนินเยือน สิงคโปร์ ชวา บาหลี -6 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2473 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนอินโดจีน -6 เมษายน - 9 เมษายน 2474 : เสด็จฯเยือนสหรัฐอเมริกาและญี่

ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมสมัยรัชกาลที่ 7

                                                                                                                                   ฉัตรบงกช   ศรีวัฒนสาร [1]                 องค์ประกอบสำคัญในการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของสังคมมนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยสภาวะความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงเป็นพลังสำคัญ ในทัศนะของ อริสโตเติล ( Aristotle) นักปรัชญากรีกโบราณ   ระบุว่า   ศิลปะทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นดนตรี   การแสดง   หรือ ทัศนศิลป์   ล้วนสามารถช่วยซักฟอกจิตใจให้ดีงามได้   นอกจากนี้ในทางศาสนาชาวคริสต์เชื่อว่า   ดนตรีจะช่วยโน้มน้าวจิตใจให้เกิดศรัทธาต่อศาสนาและพระเจ้าได้     การศรัทธาเชื่อมั่นต่อศาสนาและพระเจ้า คือ ความพร้อมที่จะพัฒนาการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ [2]                 ราชบัณฑิตยสถานอธิบายความหมายของศิลปะให้สามารถเข้าใจได้เป็นสังเขปว่า “ศิลปะ(น.)ฝีมือ,   ฝีมือทางการช่าง,   การแสดงออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์เห็น โดยเฉพาะหมายถึง วิจิตรศิลป์ ” [3] ในที่นี้วิจิตรศิลป์ คือ ความงามแบบหยดย้อย   ดังนั้น คำว่า “ศิลปะ” ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถานจึงหมายถึงฝีมือทางการช่างซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา

ห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพ

  ขอบคุณภาพจากพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และขอบคุณเนื้อหาจาก รศ.วุฒิชัย  มูลศิลป์ ภาคีสมาชิกสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง  ราชบัณฑิตยสถาน        พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน รศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี  พระอรรคราชเทวี (ต่อมาคือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ  และสมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ  พระบรมราชชนนี ตามลำดับ)  โดยทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ของสมเด็จพระนางเจ้าฯและองค์ที่ 76 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว     ในห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพนี้  ประเทศไทยหรือในเวลานั้นเรียกว่าประเทศสยาม หรือสยามเพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่มาได้เพียง 1 เดือน 5 วัน  คือ วิกฤตการณ์สยาม ร. ศ. 112 ที่ฝรั่งเศสใช้กำลังเรือรบตีฝ่าป้อมและเรือรบของไทยที่ปากน้ำเข้ามาที่กรุงเทพฯได้  และบีบบังคั