ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ตอนที่ 2)


ม.ร.ว.พฤทธิสาณ  ชุมพล

ทอดพระเนตรสุริยุปราคา

              “อยากดูสถานที่และเครื่องมือของนักวิทยาศาสตร์ต่างๆด้วย มีปัญหาว่าจะมีมากี่คณะ?     และจะไปดูสุริยุปราคาที่คณะใด? ถ้ามีหลายคณะ เอาดังนี้ก็ได้ คือไปเยี่ยมสถานที่ทุกคณะ       แต่การดูสุริยุปราคาจริงๆนั้น คงดูที่คณะที่เชิญมานี้ เพราะเชิญมาก่อนคนอื่น ...” (อ้างใน ฉัตรบงกช 2548:2)

              นี่คือพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2471  เมื่อทรงทราบว่าคณะนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต  เข้ามาตั้งกล้องดูสุริยุปราคาเต็มดวง ซึ่งพยากรณ์กันว่าจะมีขึ้นในเดือนพฤษภาคมปีถัดไป     และได้ขอกราบถวายบังคมทูลเชิญเสด็จฯ ทอดพระเนตร และเป็นที่คาดกันว่าจะมีคณะอื่นจากประเทศอื่นกระทำเช่นกัน

              แสดงว่าความสนพระราชหฤทัยอยู่ที่เครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่คณะสำรวจต่างๆใช้       แต่ในเมื่อทรงเป็นพระมหากษัตริย์ก็ต้องทรงรักษาน้ำใจของทุกคณะ

              พระราชดำรินี้ได้นำมาสู่พระราชปฏิบัติ คือการเสด็จพระราชดำเนินยังปัตตานีเป็นครั้งที่ 2        ทั้งๆ ที่เพิ่งจะเสด็จเยือนเป็นเวลาครึ่งเดือน เมื่อ 13 เดือนก่อนหน้านั้นเอง การเสด็จฯ    เป็นโดยเรือพระที่นั่งจักรี ซึ่งทรงใช้ประทับแรมด้วย การล่องเรือ เวลา 2 คืน 1 วัน   จากหัวหินที่ประทับแปรพระราชฐานถึงอ่าวจังหวัดปัตตานีตอนเช้า วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2472          จนในเวลา 14.00น.ได้เสด็จฯไปยังสถานที่สำรวจของนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษที่สนาม                               หน้าโรงเรียนประจำมณฑลปัตตานี แล้วเสด็จฯไปยังสถานสำรวจของชาวเยอรมันและของกรมแผนที่       และกรมชลประทานที่ยอดเนินโคกโพธิ์ตามลำดับ เป็นวิธีการที่อำนวยให้พระองค์ได้ทอดพระเนตรเครื่องมือสำรวจของทุกคณะก่อนที่จะเกิดสุริยุปราคาในวันรุ่งขึ้น

              ครั้นในวันจริง คือวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2472 เวลา 13.00 น.จึงเสด็จฯ ยังสถานสำรวจ    ของนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ ซึ่งกราบถวายบังคมทูลเชิญมาเป็นคณะแรก ด้วยคำนวณกันว่าสุริยุปราคา      จะเริ่มจับเวลา 12.09 น. และเต็มดวงเวลา 13.34 น. มืดมิดประมาณ 5 นาที และพ้นคราส(โมกขบริสุทธิ์) เวลา 14.00 น. หากแต่ว่าในวันนั้นอากาศไม่เป็นใจ “ มีเมฆปกคลุมท้องฟ้าเหมือนว่าฝนจะตก ดวงอาทิตย์       ถูกเมฆบังเสียสิ้น ไม่มีดวงอาทิตย์ ไม่มีเงา ไม่มีรัศมี ไม่มีแสงไม่มีอะไรจะถ่ายภาพได้ทั้งหมด                        คงได้แต่ภาพดวงจันทร์มาบดบังดวงอาทิตย์เต็มคราสเท่านั้น” จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันรายงานไว้เช่นนี้ (บรรเจิด บก. 2537:512-513) เท่ากับว่าไม่เห็นประกายแสง (corona) แผ่ออกจากดวงอาทิตย์         ข้อสังเกตที่นักวิทยาศาสตร์หวังว่าจะได้ไปประกอบความรู้เกี่ยวกับดวงอาทิตย์ ซึ่งคณะชาวเยอรมันอธิบายว่ามีถึง 6 ประการด้วยกัน ก็เลยได้ไปไม่มาก อย่างไรก็ตามมีผู้ไปดูถึงประมาณ 25,000 คน    โดยมีการจัดรถไฟพิเศษจากกรุงเทพฯ ไปโคกโพธิ์อำนวยความสะดวก

              ค่ำวันนั้นบนเรือพระที่นั่งมหาจักรี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ    ได้ทรงเสด็จสู่ที่สรงพระมุรธาภิเษกสนานตามพระราชประเพณี เป็นการสะเดาะเคราะห์ด้วย       แสดงว่าทรงอนุโลม ตามความเชื่อของไทยแต่เดิม ทั้งๆที่ทรงเห็นความสามารถของวิทยาศาสตร์ในการแสวงหาความจริง

              วันรุ่งขึ้น ได้พระราชทานเลี้ยงอาหารกลางวันบนเรือพระที่นั่งแก่นักดาราศาสตร์ทั้งหลาย            ที่มาสำรวจและศึกษา ซึ่งมีชาวอินเดียและชาวจีนด้วย แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับ   โดยแวะที่เกาะพงัน “ทรงพระราชดำเนินไปยังน้ำตกชั้นยอดแล้ว เสด็จกลับลงมาสรง ณ ธารเสด็จชั้นล่าง”    (บรรเจิด บก. 2537:515) ประทับบนเกาะประมาณ 3 ชั่วโมง น่าสงสัยว่าเป็นครั้งนี้หรือไม่ที่ทรงถ่ายภาพยนตร์ เรื่อง “แหวนวิเศษ” ซึ่งโปรดเกล้าให้ผู้เยาว์ในพระราชอุปการะเป็นผู้แสดงในธรรมชาติของเกาะพงัน เมื่อ พ.ศ. 2472 ความสนพระราชหฤทัยในเรื่องสุริยุปราคายังคงมีต่อเนื่องมา
       ด้วยปรากฏว่าเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2476  สี่ปีกว่าหลังจากนั้นขณะที่ประทับแปรพระราชฐาน
 อยู่ที่วังไกลกังวล หัวหิน ได้ทอดพระเนตรสุริยุปราคาอีกครั้งหนึ่งเป็นการภายใน ครั้งนี้เป็นเพียงแบบวงแหวน เกี่ยวกับเรื่องนี้สมเด็จฯ   เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ซึ่งประทับอยู่ที่หัวหิน ทรงไว้ใน “บันทึกรายวัน” ของพระองค์   (นริศรานุวัดติวงศ์ ม.ปป:66)
        ครั้งนี้ ไม่ทราบว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงพระมุรธาภิเษกสนานหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือในเดือนตุลาคมนั้นเอง ได้เกิดการสู้รบกันระหว่างคนไทยด้วยกันคือ ฝ่ายที่ไม่พอใจรัฐบาลกับฝ่ายรัฐบาลของคณะราษฎรจนบาดเจ็บล้มตายกันทั้งสองฝ่าย ครั้นต้นเดือนมกราคมถัดมา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ก็ได้เสด็จฯ พระราชดำเนินเยือนยุโรปและไม่ได้เสด็จฯ กลับมาอีกเลย
เสด็จเยือนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสถาน
 
             แม้ว่าในระหว่างที่ทรงศึกษา จะไม่ปรากฏหลักฐานว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว      ทรงมีพระปรีชาสามารถในด้านวิทยาศาสตร์เป็นพิเศษ แต่ก็ปรากฏทั้งจากพระราชดำรัสและพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ว่าสนพระราชหฤทัยและทรงตระหนักในความสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมาก ทรงเห็นว่าวิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่จะนำมาซึ่งความเจริญ และสยามจะล้าหลังในวิชานี้ไม่ได้ จึงได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ตั้งเป็นทุนการศึกษาเพิ่มเติม สำหรับผู้ที่จะศึกษาต่อในวิชานี้ แต่ที่สำคัญมิได้ทรงเน้นแต่ในเรื่องของเนื้อหาวิชา หากแต่ในวิธีการของการค้นคว้าอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ด้วย ดังในพระบรมราโชวาทแก่ลูกเสือให้รู้จักใช้ความสังเกต เพราะ “การที่มนุษย์เรามีความเจริญเปนลำดับมานี้ก็ได้อาศัยความสังเกตตริตรองหาเหตุผลเป็นใหญ่” แล้วทรงยกตัวอย่างเครื่องจักรไอน้ำและไฟฟ้า อีกทั้งทรงแนะนำให้เด็ก ๆ ชมภาพยนตร์ด้วยความสังเกต เช่นว่าชาวอเมริกันทำให้ประเทศของเขามีความเจริญได้ก็ด้วยความอุตสาหะบากบั่น และในพระราชดำรัสแก่นักเรียนได้ทรงเตือนไม่ให้ “เอาอย่างเขาตะบันไป....ไม่ใช่แต่จะเรียนจำตามที่สอนเท่านั้น ต้องฝึกหัดใช้ความคิด ไม่ใช่เชื่ออย่างงมงาย...ต้องคิดอีกทีหนึ่งว่าจะทำอย่างไรจึงจะดีขึ้นได้อีก..ต้องคิดอะไรให้เป็นประโยชน์แก่มนุษย์ทั่วโลกได้อย่างเขา จึงจะนับได้ว่าเป็นชาติเก่งจริงเจริญจริง...ที่จริงชาติไทยเราได้รับความเจริญของประเทศอื่นมาคิดแปลงให้เป็นรูปร่าง ให้เป็นประโยชน์หรืองดงามขึ้นก็มีแล้ว เช่นแต่ก่อนเรารับอารยธรรมมาจากอินเดียและเขมร แต่เรามาดัดแปลงผะสมผะเสจนเป็นศิลปกรรม เป็นส่วนหนึ่งของไทย เป็นความงดงามพิเศษ ต่อไปถ้าเราได้เรียนวิชชาพิเศษเช่นวิทยาศาสตร์แล้ว เราก็ควรจะคิดดัดแปลงให้เป็นประโยชน์...ได้เหมือนกัน” (ตัวสะกดตามต้นฉบับ) เห็นได้ว่าทรงเน้นที่การคิด วิธีคิด และการคิดค้นสร้างสรรค์นวัตกรรม
พระราชกรณียกิจระหว่างเสด็จพระราชดำเนิน
           พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเยือนสถานที่ต่าง ๆ มีที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นอันมากและหลายแขนง ที่ภูเก็ต ทอดพระเนตรการทำเหมืองดีบุกหลายประเภท เสด็จปัตตานีเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ เป็นครั้งที่ ๒ เป็นการเฉพาะเพื่อทอดพระเนตรสุริยปราคา ที่ชวาเสด็จทอดพระเนตรปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยา มีภูเขาไฟและน้ำพุร้อนทั้ง ๆ ที่เป็นไปด้วยความลำบากแก่พระวรกาย เขื่อนพลังน้ำ โรงทำยาควินิน โรงรีดยาง โรงทำสบู่ โรงน้ำตาล และสถานีทดลองผสมพันธุ์ปลา เป็นต้น เมื่อเสด็จฯ สหรัฐอเมริกา ทอดพระเนตรห้องทดลองการไฟฟ้าของบริษัท General Electric ที่นิวยอร์ค และโรงถ่ายภาพยนตร์ของบริษัท Paramount การทดลองส่งภาพทางไกลและภาพยนตร์ประกอบเสียงของบริษัท American Telephone และการวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรเลข เมื่อเสด็จฯ ยุโรปในช่วงปลายรัชกาลที่อิตาลีเสด็จฯ เยี่ยมโรงเรียนครูกสิกรรมสตรี ที่ลอนดอน เสด็จฯ ไปที่โรงเรียนการอนามัยและการใช้ยารักษาโรคเขตร้อน และพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ที่เดนมาร์ค ทอดพระเนตรโรงเบียร์ของบริษัท Carlsberg ซึ่งให้ทุนบำรุงการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการเพาะปลูก เสด็จฯโรงไฟฟ้า คลังน้ำมัน สหกรณ์โคนม โรงเนยและเนยแข็งตลอดจนการสร้างสะพานสูงยาวข้ามอ่าว          ที่เยอรมัน เสด็จฯ โรงไฟฟ้าของบริษัท Siemens โรงทดลองวิทยาศาสตร์และโรงผสมยาของ Schering โรงกลั่นน้ำมัน หอสอนดาราศาสตร์ (ท้องฟ้าจำลอง) โรงงานเจียระไนแก้วทำเลนส์ชนิดต่าง ๆ พิพิธภัณฑ์ซึ่งจัดแสดงเครื่องมือวิทยาศาสตร์หลายแขนง โรงผลิตเรือบินทะเล โรงงานรถยนต์ของ Mercedes Benz การทดลองเพาะปลูก ทำปุ๋ยและยาปราบศัตรูพืช คณะวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัย Heidelberg โรงงานถลุงเหล็กที่เมือง Essen และโรงงานผลิตและผสมสี ที่เบลเยี่ยมเสด็จฯ โรงพิมพ์ ที่เชคโกสโลวาเกีย   เสด็จฯ เมือง Karlsbad เมืองอาบน้ำแร่รักษาโรค โรงเครื่องแก้วเจียระไนของ Moser โรงงานรถยนต์ โรงงานผลิตเครื่องปั่นไฟ เครื่องฟังเสียงอากาศยานยามค่ำคืน โรงถลุงเหล็กและประกอบเครื่องจักรและรถรบขนาดย่อม โรงงานยานยนตร์ของ Skoda  ถ้ำน้ำแข็งบนภูเขา และสถานีสงวนพันธุ์ปลา และที่ฮังการีเสด็จฯ ทอดพระเนตรโรงงานทำโคมไฟ เครื่องไฟฟ้า เครื่องวิทยุ ของบริษัท Standard Works พิพิธภัณฑ์กสิกรรม กองผสมสัตว์ของรัฐบาลและโรงงานทำสิ่งเบ็ดเตล็ด และเครื่องอาภรณ์ต่าง ๆ ที่ Koh - i - Noor Workshop เหล่านี้เป็นประจักษ์พยานว่าพระองค์สนพระราชหฤทัยอย่างจริงจังในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และน่าจะต้องพระราชประสงค์ที่จะนำมาปรับใช้ในสยาม ดังปรากฎว่าสามปีต่อมาคือใน พ.ศ. ๒๔๘๐ บริษัท Skoda ได้มาสร้างโรงงานผลิตน้ำตาลที่จังหวัดลำปาง เป็นต้น
 สรุป
             รวมความว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงประโยชน์ของวิชาวิทยาศาสตร์และวิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการค้นหาความจริง และของเทคโนโลยีที่สืบเนื่อง ในการนำมาซึ่งความเจริญ จึงทรงสนับสนุนการศึกษาด้านนี้อย่างจริงจัง แต่ก็ทรงเล็งเห็นถึงอันตรายที่อาจมีหากใช้ในทางที่ผิด           จึงมีพระราชดำริถึงการที่ผู้คนจะต้องมีศีลธรรมกำกับ อีกทั้งทรงเรียนรู้จนทรงปฏิบัติเองได้  เช่นในด้านเทคโนโลยีภาพถ่ายและภาพยนตร์ และมีพระราชอุตสาหะเสด็จฯไปทอดพระเนตรกิจการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมากมายหลายแขนง หวังพระราชหฤทัยให้มีการถ่ายทอดและประยุกต์ใช้ในประเทศอย่างเหมาะสม
     ทั้งหมดนับเป็นพระราชกรณียกิจด้านหนึ่ง  ซึ่งหากจะช่วยให้เราได้เข้าถึงพระปัญญาคุณและพระอุปทั้งหมดนับเป็นพระราชกรณียกิจด้านหนึ่งซึ่งหากศึกษาจะช่วยให้เราได้เข้าถึงพระปัญญาคุณและพระอุปนิสัยของพระองค์
 
 [พช/ ร.7 วิทยาศาสตร์ (2)/สค.56]
บรรณานุกรม
ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร.2548. “77 ปีมโนทัศน์เกี่ยวกับรัชกาลที่ 7 เสด็จฯ ทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่ปัตตานี”,กรุงเทพธุรกิจ, 15 พฤศจิกายน 2548, หน้า 12
บรรเจิด อินทุจันทร์ยง(บรรณาธิการ).2537.จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 กรุงเทพฯ คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยฯ สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี วัชรินทร์การพิมพ์
นริศรานุวัดติวงศ์,สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยา.มปป.บันทึกรายวันของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ พ.ศ. 2476 กรุงเทพฯ : วัฒนชัยการพิมพ์(หม่อมเจ้าดวงจิตร จิตรพงศ์ ทรงจัดพิมพ์)
 


 

 
 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัย : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว - 26 พฤศจิกายน 2468   : สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนศุโขทัยธรรมราชาเสด็จขึ้นครองราชย์ - 25 กุมภาพันธ์ 2468 :  พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาพระวรชายาเป็นสมเด็จพระบรมราชินี และเสด็จไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถาน (ร.7 พระชนม์ 32 พรรษา,สมเด็จฯ 21 พรรษา) -6 มกราคม -5 กุมภาพันธ์ 2469 : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า รำไพ พรรณีฯ เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพเพื่อเยี่ยมราษฎร -16 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2470 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก -24 มกราคม - 11 กุมภาพันธ์ 2471: เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลภูเก็ต -10 เมษายน-12 เมษายน 2472 : พระราชพิธีราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุข สวนไกลกังวล -พฤษภาคม 2472  : เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลปัตตานี (ทอดพระเนตรสุริยุปราคา) -31 กรกฎาคม -11 ตุลาคม 2472 : เสด็จพระราชดำเนินเยือน สิงคโปร์ ชวา บาหลี -6 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2473 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนอินโดจีน -6 เมษายน - 9 เมษายน 24...

ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมสมัยรัชกาลที่ 7

                                                                                                                                   ฉัตรบงกช   ศรีวัฒนสาร [1]                 องค์ประกอบสำคัญในการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของสังคมมนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยสภาวะความสืบเนื่องและการเปล...

ห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพ

  ขอบคุณภาพจากพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และขอบคุณเนื้อหาจาก รศ.วุฒิชัย  มูลศิลป์ ภาคีสมาชิกสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง  ราชบัณฑิตยสถาน        พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน รศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี  พระอรรคราชเทวี (ต่อมาคือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ  และสมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ  พระบรมราชชนนี ตามลำดับ)  โดยทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ของสมเด็จพระนางเจ้าฯและองค์ที่ 76 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว     ในห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพนี้  ประเทศไทยหรือในเวลานั้นเรียกว่าประเทศสยาม หรือสยามเพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่มาได้เพียง 1 เดือน 5 วัน  คือ วิกฤตการณ์สยาม ร. ศ. 112 ที...