ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ตอนที่ ๑)


                                                                                                                 
                                                                      ม.ร.ว. พฤทธิสาณ  ชุมพล

              วันที่ ๑๘ สิงหาคมของทุกปีเป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๒๕  เป็นต้นมา  โดยเป็นการรำลึกถึงวันที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ ๔  ได้ทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงที่ตำบลหว้ากอ  ในพื้นที่ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่นั้น  เดือนนั้น  ในพ.ศ. ๒๔๑๑  พร้อมทั้งถวายพระราชสมัญญนาม“บิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย”  ด้วยได้ทรงแสดงพระปรีชาสามารถยิ่งใหญ่ในวิทยาศาสตร์  วิทยาการสมัยใหม่  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านดาราศาสตร์  ทรงคำนวญเวลา “อุปราคา”  ได้อย่างแม่นยำกว่าผู้อื่นปรากฏเป็นที่ยอมรับสรรเสริญของบรรดานักวิทยาศาสตร์ชาวตะวันตกที่มาชุมนุมอยู่ ณ ที่นั้น  (ส. พลายน้อย, ๒๕๔๔,น. ๒๔๓-๒๕๒ ) 

              ดูแล้วไม่เห็นจะเกี่ยวกับ “พระปกเกล้าศึกษา” ตรงไหนเลย  แต่เป็นความจริงที่มีผู้สนใจกันน้อยว่า  พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ ๗  ทรงดำเนินรอยตามพระยุคลบาทสมเด็จพระอัยกาธิราชเจ้าพระองค์นั้นไม่น้อยเลย  เพราะนอกจากจะทอดพระเนตรสุริยุปราคาถึง ๒ ครั้งในรัชกาล  ยังได้ทรงเน้นย้ำบ่อยครั้งถึงความสำคัญของวิชาวิทยาศาสตร์และการใช้ระเบียบวิธีที่เป็นวิทยาศาสตร์ในการหาเหตุผล  และผลของสรรพสิ่ง  อีกทั้งยังทรงปฏิบัติเอง  และทรงส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาในวิชานี้   ตลอดจนมีความสนพระราชหฤทัยในเทคโนโลยีแขนงต่างๆอันเป็นผลพวงของข้อค้นพบทางวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมากด้วย  แม้ว่าจะไม่ปรากฏพระปรีชาสามารถเป็นพิเศษในวิชาวิทยาศาสตร์ในระหว่างที่ทรงศึกษาเล่าเรียน  แต่การที่ทรงผ่านการศึกษาและทรงประกอบวิชาชีพเป็นนายทหารปืนใหญ่  พระองค์ย่อมต้องมีความรู้ความเข้าใจในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีบางแขนงตามสมควร

พระราชทานทุนวิทยาศาสตร์

              ครั้นเมื่อทรงขึ้นครองราชย์สมบัติแล้ว  ในพ.ศ .๒๔๗๒  พระองค์มีพระราชปรารภว่า “วิทยาศาสตร์มีคุณสมบัติสามารถช่วยเหลือในการตรวจค้นมูลเหตุได้ ตระหนักแล้วประกอบหาผลสำเร็จกิจที่พึงประสงค์ เป็นวิชชาที่กำลังรุ่งเรืองก้าวหน้าไปโดยรวดเร็ว  ทำประโยชน์แก่มานุษยชาติเห็นประจักษ์โดยอเนกประการ    ถ้าชาติใดล้าหลังในวิชชาสำคัญนี้  ก็หานับว่ามีความเจริญอันแท้จริงไม่  สมควรจะทรงทะนุบำรุงวิชชาแผนกนี้แก่ประชาชนชาวสยาม และเพื่อได้มีความรู้ความสามารถเทียมทันสมัยนิยม” (ตัวสะกดตามต้นฉบับ) และทรงประกาศพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นทุนเล่าเรียนแก่กุลบุตรเพื่อได้ศึกษาวิทยาศาสตร์ปีละหนึ่งคน  แต่ละคนเป็นเวลา ๕ ปี  เป็นต่างหากไปจากทุนของรัฐบาล และจะยังคงพระราชทานเป็นต่างหากต่อไปแม้เมื่อรัฐบาลจะได้ตั้งทุนแผนกนี้ขึ้นในภายหลัง  (กรมศิลปากร, กรม ๒๕๒๔, น. ๓๖๖)

              แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ทรงเห็นความสำคัญของวิชานี้สำหรับความก้าวหน้าของประเทศและประชาชนถึงขนาดที่ทรงนำร่องด้วยการบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นการส่วนพระองค์ในภาวะที่รัฐบาลขาดแคลนเงินงบประมาณแผ่นดิน

              แต่ทั้งนี้  มิใช่ว่าจะทรงชื่นชมกับความก้าวหน้าในตะวันตกแต่ฝ่ายเดียว  เพราะในขณะเดียวกัน  มีพระราชดำริด้วยว่า  การศึกษาไม่ควรจะแยกจากวัด  ในขณะที่อารยธรรมต่างชาติกำลังแผ่อิทธิพลเข้ามา  สมควรให้เยาวชนไทยมีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวกำกับความประพฤติและการปฏิบัติ

ความเป็นวิทยาศาสตร์ของพุทธศาสนา

              ที่สำคัญ พระราชนิพนธ์คำนำหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก  ซึ่งได้ทรงพระกรุณาเพื่อโปรดเกล้าฯให้ราชบัณฑิตยสภาจัดประกวดและพิมพ์ฉบับที่ได้รับรางวัลที่ ๑ เพื่อพระราชทานเป็นประจำทุกปีในวันวิสาขบูชา  ฉบับประจำปีพ.ศ. ๒๔๗๑  พระราชปรารภว่า  พระพุทธศาสนา “เป็นสาสนาที่จริง  ที่สุขุมลึกซึ้งอย่างยิ่ง  ไม่ขัดกับความรู้ในทางวิทยาศาสตร์ทั้งไม่ต้องมีความเชื่ออย่างงมงาย  เป็นสาสนาที่ผู้มีศรัทธาเลื่อมใสย่อมเชื่อได้และแลเห็นจริงตามได้ด้วยปัญญา...พระพุทธศาสนานั้นจะเป็นสิ่งที่จะนำสันติสุขมาสู่โลกนี้ได้  และจะแก้นิสสัยอันนิยมไปในทางโลก (materialistic spirit)ของชนสมัยนี้ได้...”  (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๗ น ๑-๒ ; ตัวสะกดตามต้นฉบับ)

ทรงเน้นระเบียบวิธีเชิงวิทยาศาสตร์

              ทรงเน้นถึงวิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์ปรากฏในพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสหลายองค์ซึ่งพระราชทานแก่ลูกเสือและนักเรียน  เช่น  “ให้รู้จักใช้ความสังเกต ให้รู้จักใช้ความคิด...การที่มนุษย์เรามีความเจริญเป็นลำดับมานี้ก็ได้อาศัยความสังเกตตริตรองหาเหตุผลเป็นใหญ่  เป็นต้นว่าการที่มนุษย์เรารู้จักใช้กำลังไอน้ำรู้จักใช้ไฟฟ้า  ก็ด้วยอาศัยความสังเกตของคนบางคน  และอาศัยความคิดความอ่านที่จะตริตรองหาเหตุผลนั่นแหละเป็นสำคัญ” (ตัวสะกดตามต้นฉบับ)  และ       “ไม่ใช่แต่จะเรียนจำตามที่สอนเท่านั้น  ต้องฝึกหัดใช้ความคิด  ไม่ใช่เชื่ออย่างงมงาย... จะเป็นไปได้เชียวหรือ  ไส้เดือนจะกลายเป็นตะพาบน้ำไปได้อย่างไร  อย่างน้อยก็ลองจับไส้เดือนมาใส่กะลาครอบไว้ดูก็ได้...ต่อไปถ้าเราได้เรียนวิชชาพิเศษ เช่น วิทยาศาสตร์แล้ว  เราก็ควรจะคิดดัดแปลงให้เป็นประโยชน์สำหรับประเทศสยามหรือเป็นประโยชน์แก่โลกทั่วไปได้เหมือนกัน...” เป็นต้น 

              การใช้ความสังเกตนั้น  ทรงแนะนำให้ใช้ในการสังเกตพฤติกรรมของมนุษย์ด้วย  ทรงยกตัวอย่างในการชมภาพยนตร์ว่า

              “เจ้าคงสังเกตเวลาดูหนังที่มาจากอเมริกา...เจ้านึกบ้างหรือไม่ว่าอเมริกานั้นทำไมจึงเจริญได้อย่างยิ่ง...เจ้าคงสังเกตหนังเรื่องพงศาวดารของอเมริกา  เชื่อว่าจะเห็นชาวอเมริกันที่พยายามบุกป่าฝ่าดง...หาที่ทำการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์...หาแร่ทอง...ทำให้ประเทศอเมริกาเป็นประเทศที่เจริญอย่างยิ่ง..เขามีแต่ความเพียรพยายามและกล้าหาญเท่านั้นแหละเป็นทุนสำคัญของเขา...” (บรรเจิด (บก.), ๒๕๓๖, น. ๑๑๐-๑๑๒ และ น. ๑๕๒-๑๕๔)

ทรงเรียนรู้และทรงใช้เทคโนโลยีเพื่อสังคม

              พระอัจฉริยภาพด้านการถ่ายภาพนิ่งและภาพยนตร์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นที่ทราบกันทั่วไป  เทคโนโลยีภาพยนตร์นั้น  กำเนิดขึ้นในโลกเมื่อพ.ศ. ๒๔๓๖  ซึ่งเป็นปีพระบรมราชสมภพ  โดยนายโธมัส อัลวา เอดิสัน  ผลิตเครื่องดูภาพยนตร์แบบถ้ำมอง (kinetoscope) ขึ้นและในพ.ศ. ๒๔๓๘  พี่น้องตระกูลลูมิแอร์  ก็ผลิตภาพยนตร์ชนิดฉายขึ้นจอ (cinematograph) ออกเผยแพร่เป็นครั้งแรก  ซึ่งภาพยนตร์แบบนี้ได้เข้ามาถึงสยามเพียง ๒ ปีหลังจากนั้น  พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ  จึงน่าจะทรงคุ้นเคยกับภาพยนตร์มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์  และเมื่อยังทรงเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าฯ  และเสด็จกลับมาจากฝรั่งเศสในพ.ศ. ๒๔๖๗  ผ่านทางสหรัฐอเมริกานั้น  ได้เสด็จทอดพระเนตรโรงถ่ายภาพยนตร์ที่ฮอลลีวู๊ด  และคงจะทรงได้รับแรงบันดาลพระทัยให้ทรงเริ่มถ่ายภาพยนตร์ด้วยพระองค์เองเป็นแบบสมัครเล่นก่อนที่จะเสด็จขึ้นครองราชสมบัติในพ.ศ. ๒๔๖๘  เล็กน้อย  โดยทรงใช้ภาพยนตร์ระบบฟิล์ม ๑๖ มิลลิเมตร  เป็นภาพยนตร์เงียบหรือไร้เสียง  โดยทรงเรียนรู้วิธีการส่วนหนึ่งจาก  พระเจ้าพี่ยาเธอ  กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ผู้ทรงบุกเบิกกองภาพยนตร์เผยแผ่ข่าวของกรมรถไฟหลวง  และอีกส่วนหนึ่งจากการทรงเรียนรู้ด้วยพระองค์เองจากคู่มือและหนังสือ (โดม , ๒๕๓๗,น.๖ และ ๑๐-๑๑ )

              ในเรื่องภาพนิ่งและภาพยนตร์นี้  มิได้ทรงถ่ายเท่านั้น  แต่ทรงล้างฟิล์มและทรงอัดเองด้วย  ดังปรากฏมีห้องมืดสำหรับการนั้นในวังศุโขทัย  วังส่วนพระองค์  (ข้อมูลส่วนบุคคล)  แสดงว่าทรงมีฐานความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์ทั้งในเรื่อง แสง ไฟ เคมี และเครื่องจักรกลเพียงพอที่จะทรงแสวงหาความรู้เพิ่มเติมจนทรงประยุกต์ใช้งานได้จริงในการนั้น  แต่พระอัจฉริยภาพมิได้มีเพียงเท่านั้น  หากแต่ได้ทรงผสมผสานกับความสนพระหฤทัยในทางศิลปะ  ดังจะเห็นได้จากภาพยนตร์ส่วนพระองค์ซึ่งทรงถ่ายเอง  หรือทรงอำนวยการการถ่ายทำ ซึ่งพบในภายหลังว่ามีร่วม ๓๐๐ ม้วน  ความยาวประมาณ ๗๐,๐๐๐  ฟุต  แต่พอจะอนุรักษ์ได้เพียง ๑๗๘ ม้วน  ความยาวประมาณ ๖๐,๐๐๐ ฟุต  (โดม. ๒๕๓๗, น. ๒๑-๒๒)

              ภาพยนตร์เหล่านี้แสดงว่าทรงใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อประโยชน์แก่สังคม  เพราะมีทั้งที่เป็นภาพยนตร์สารคดีบันทึกขนบธรรมเนียมประเพณีและเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนและสถานที่ต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เสด็จพระราชดำเนิน ซึ่งตั้งพระทัยให้บันทึกไว้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์  อีกทั้งภาพยนตร์ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า “สาระบันเทิง”  (edutainmemt)  เช่น ภาพยนตร์สำหรับเด็ก  ซึ่งโปรดเกล้าฯให้ผู้เยาว์ในพระราชอุปการะได้เป็นตัวแสดง  มีเนื้อหาเป็นนิทานแห่งคุณธรรม  คุณโดม สุขวงศ์  หัวหน้าหอภาพยนตร์ (องค์กรมหาชน)   จึงเปรียบเทียบว่า “ทรงใช้กล้องถ่ายภาพยนตร์ต่างปากกา”  (โดม. ๒๕๓๗,น. ๒๙.) มีความประณีตทั้งในเชิงศิลปและในเชิงสาระที่แสดงผ่านภาพเคลื่อนไหว  ตัวอย่างเช่น  การถ่ายภาพยนตร์พระราชพิธีสรงน้ำมูรธาภิเษกสนานในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก  กล้องมิได้จับที่พระองค์ในทันที  หากแต่ที่ยอดพระมหาเศวตฉัตรเหนือขึ้นไป  แล้วแพน (pan) ลงมาสู่พระองค์  ผู้ทรงเป็น “ตัวแสดง”  ประทับอยู่ใต้พระมหาเศวตฉัตรนั้น  หรือภาพบรรดาผู้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในที่ต่างๆ เสมือนเป็นภาพที่ทอดพระเนตรเห็นจริงๆจากพระราชอาสน์ที่ประทับ (ดูภาพใน พระปกเกล้า, สถาบัน,๒๕๔๗,น.๒๒ และ น. ๓๔-๓๖) และที่น่าจะทรงถ่ายเองคือ ภาพยนตร์ซึ่งจับรายละเอียดของรูปศิลาสลักต่างๆที่ศาสนสถานโบราณบุโรพุทโธที่เกาะชวา  เป็นต้น  (ดูภาพยนตร์ได้ที่พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว) 

              ในตอนต่อไป  จะได้เล่าถึงพระราชกรณียกิจเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรกิจการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหลายแขนงทั้งในประเทศและต่างประเทศ  ให้ได้เห็นเป็นประจักษ์ถึงความสนพระราชหฤทัยทางด้านนี้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าด้านอื่นๆ

บรรณานุกรม

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๗. ประมวลหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พิมพ์พระราชทาน พุทธศักราช ๒๔๗๑-๒๔๗๗.         กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

โดม สุขวงศ์. “พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯกับภาพยนตร์” ในเอกสารประกอบการประชุมทางวิชาการ           เรื่อง สังคมไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  จัดโดย  สถาบันไทยคดีศึกษาและ  ฝ่ายวิจัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๗-๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๗ ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

บรรเจิด อินทุจันทร์ยง.๒๕๓๖.ประมวลพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว , กรุงเทพฯ: คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ ไทยฯ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, บริษัทวัชรินทร์การพิมพ์จำกัด.

พระปกเกล้า, สถาบัน. ๒๕๔๗. ภาพนิ่งจากฟิล์มภาพยนตร์รัชกาลที่ ๗, กรุงเทพฯ: บริษัทรุ่งศิลปะการพิมพ์ (1977) จำกัด.

ศิลปากร, กรม. ๒๕๒๔ . พระราชประวัติ   และพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จ
พระปรมินทรมหา     ประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว กรุงเทพฯ : บริษัทรุ่งศิลปะการพิมพ์ (1977) จำกัด.

 

 

                                                                                                            [ พช/ร.๗ วิทยาศาสตร์/ (๑) ก.ค. ๒๕๕๖]

             

             

 

 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัย : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว - 26 พฤศจิกายน 2468   : สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนศุโขทัยธรรมราชาเสด็จขึ้นครองราชย์ - 25 กุมภาพันธ์ 2468 :  พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาพระวรชายาเป็นสมเด็จพระบรมราชินี และเสด็จไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถาน (ร.7 พระชนม์ 32 พรรษา,สมเด็จฯ 21 พรรษา) -6 มกราคม -5 กุมภาพันธ์ 2469 : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า รำไพ พรรณีฯ เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพเพื่อเยี่ยมราษฎร -16 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2470 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก -24 มกราคม - 11 กุมภาพันธ์ 2471: เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลภูเก็ต -10 เมษายน-12 เมษายน 2472 : พระราชพิธีราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุข สวนไกลกังวล -พฤษภาคม 2472  : เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลปัตตานี (ทอดพระเนตรสุริยุปราคา) -31 กรกฎาคม -11 ตุลาคม 2472 : เสด็จพระราชดำเนินเยือน สิงคโปร์ ชวา บาหลี -6 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2473 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนอินโดจีน -6 เมษายน - 9 เมษายน 24...

ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมสมัยรัชกาลที่ 7

                                                                                                                                   ฉัตรบงกช   ศรีวัฒนสาร [1]                 องค์ประกอบสำคัญในการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของสังคมมนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยสภาวะความสืบเนื่องและการเปล...

ห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพ

  ขอบคุณภาพจากพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และขอบคุณเนื้อหาจาก รศ.วุฒิชัย  มูลศิลป์ ภาคีสมาชิกสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง  ราชบัณฑิตยสถาน        พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน รศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี  พระอรรคราชเทวี (ต่อมาคือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ  และสมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ  พระบรมราชชนนี ตามลำดับ)  โดยทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ของสมเด็จพระนางเจ้าฯและองค์ที่ 76 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว     ในห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพนี้  ประเทศไทยหรือในเวลานั้นเรียกว่าประเทศสยาม หรือสยามเพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่มาได้เพียง 1 เดือน 5 วัน  คือ วิกฤตการณ์สยาม ร. ศ. 112 ที...