เหตุการณ์”กบฏบวรเดช”
กับเรือ “ศรวุรณ”
คอประวัติศาสตร์การเมืองสมัยรัชกาลที่๗
ย่อมทราบถึงเหตุการณ์ “กบฏบวรเดช” เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๔๗๖
ซึ่งทหารหัวเมืองฝ่ายพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช (อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ผู้ซึ่งเมื่อพ.ศ.
๒๔๗๔ ได้ทรงลาออกจากตำแหน่งในรัฐบาลที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นหัวหน้าด้วยพระองค์เอง
เพราะไม่พอพระทัยที่งบประมาณของกระทรวงนี้ถูกตัดทอนมากเช่นเดียวกับของกระทรวงอื่นๆ)
กับทหารฝ่ายรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนาได้รบพุ่งกันจนเสียเลือดเสียเนื้อที่ทุ่งดอนเมือง
ในขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับแปรพระราขฐานอยู่ที่สวนไกลกังวล
หัวหิน พระองค์ทรงเศร้าสลดพระทัยมากที่คนไทยรบกันเอง
และได้ทรงแสดงพระราชประสงค์จะทรงเป็น “คนกลาง” ให้ทั้งสองฝ่ายได้เจรจาสงบศึกกัน
แต่ไม่มีฝ่ายใดตอบสนอง
พระองค์จึงได้ตัดสินพระราชหฤทัยเสด็จฯจากหัวหินด้วยเรือยนต์พระที่นั่งลำเล็กนามว่า
“ศรวรุณ” ในค่ำวันที่ ๑๗ ตุลาคม กลางทะเลลึกมุ่งสู่สงขลา เพื่อที่ องค์พระประมุข
จักได้เป็นต่างหากจากการรบกันสังหารกันระหว่างคนไทยด้วยกัน
“ศรวรุณ” เป็นเรืออะไร อย่างไร
คอการเมืองคงไม่ค่อยได้สนใจ
แต่คอพระปกเกล้าศึกษาน่าจะมีคำถามอยู่บ้าง
จึงขอเก็บความมาเล่าสู่กันฟัง
เป็นอรรถรสและเผื่อว่ามี “หนูจำไม” ถามผู้นำชมที่พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจะได้ตอบได้บ้าง
พระราชนิยมเรือยนต์เร็ว
สรศัลย์ แพ่งสภา ผู้เกิดเมื่อพ.ศ. ๒๔๖๓ ในสมัยรัชกาลที่ ๖
และวายชนม์เมื่อพ.ศ.๒๕๕๒ สิริอายุรวม ๘๙ปีกว่า
และได้ชื่อว่าเป็น “ฒ.ผู้เฒ่า”
นักเขียนเรื่องเก่าๆเป็นสารคดีได้อรรถรสไว้มากมายหลายเรื่อง
ให้ข้อมูลเรื่องเรือลำนี้ไว้โดยละเอียดในหนังสือ ราตรีประดับดาวที่หัวหิน(กรุงเทพฯ
:สำนักพิมพ์สารคดี, ๒๕๓๙) นับเป็นข้อมูลที่หาได้ยากอยู่
จึงขอสรุปความมาเล่าให้ได้อ่านกันและเรียนรู้กัน ดังนี้
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯโปรดเรือยนต์เร็วมาตั้งแต่ครั้งที่ยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนฯประทับ
ณ วังศุโขทัย ริมคลองสามเสนใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา
ซึ่งในสมัยนั้นการสัญจรไปมาในกรุงเทพฯทางน้ำยังเป็นปกติวิสัย แม้จะมีถนนแล้วก็ตาม
พระองค์ทรงสั่งซื้อเรือยนต์เร็วจากบริษัททอร์นิคครอฟต์ (John
I. Thornycroft & Company) ประเทศอังกฤษ ลำหนึ่งเครื่องยนต์ 8
สูบเรียงแถว ใช้น้ำมันก๊าดความเร็วสูงสุดประมาณ
๒๒ นอต (๓๙.๕ก.ม./ช.ม.) มีเก๋งที่ประทับ
ด้านข้างลำเรือมีตราลูกศร ๑ ดอก พันด้วยงูเล็กสีเขียว
สัญลักษณ์ลูกศรมาจากคำว่า “เดชน์” ในพระนาม “ประชาธิปศักดิเดชน์” งูเล็ก
หมายถึงปีมะเส็ง ปีพระราชสมภพ และสีเขียว หมายถึง วันพุธวันพระราชสมภพ เรือลำนี้เรียกกันว่า
“เรือศร-๑” บรรจุคนประจำเรือได้เต็มที่ ๑๙ คน เรือ
“ข้าหลวงเดิม”(คือถวายงานมาตั้งแต่ยังไม่ได้ครองราชย์) ลำนี้แปลกตรงที่ไม่มีกง
(ไม้รูปโค้งที่ตั้งเป็นโครงเรือ) แต่มีความทนทะเลสูง
เมื่อทรงราชสมบัติแล้ว ทรงสั่งซื้อเรือยนต์เร็วพระที่นั่งอีกลำหนึ่งจากบริษัทเดิม
เข้ามาราวพ.ศ. ๒๔๗๐ รูปร่างลำเรือและเก๋งสวยงามแต่เล็กกว่าเรือ “ศร-๑”
จึงสันนิษฐานว่าทรงขับเรือด้วยพระองค์เอง
ลำนี้มีกง เครื่องยนต์ ๘ สูบ เชื้อเพลิงนี้เป็นก๊าดเช่นกัน ด้านข้างเรือมีลูกศร ๒ ลูก
กับงูเล็กสีเขียว จึงเรียกกันว่า
เรือพระที่นั่ง” ศร-๒”
เรือพระที่นั่ง
“ศรวรุณ”
ครั้นประมาณกลางปี พ.ศ. ๒๔๗๓ ทรงสั่งเข้ามาจากบริษัทเดิมอีกลำหนึ่ง ใหญ่กว่า “ศร-๑” เล็กน้อยมีเก๋งเช่นกัน ใช้เครื่องยนต์ฮิสแปโนซุยซา ๑๒ สูบเรียงแถว
๘๘๐แรงม้า เชื้อเพลิงน้ำมันก๊าด ความเร็วสูงสุด ๔๐ นอต (๗๒ ก.ม./ช.ม.)
ขนาดความยาวประมาณ ๓๔-๓๘ฟุต กว้าง ๘ ฟุต เรือพระที่นั่งลำนี้พระราชทานนามว่า “ศรวรุณ”
ด้านข้างลำเรือมีตราลูกศร ๓ ดอก หรือพระแสงศร ๓ องค์
เช่นเดียวกับที่มีบนพระราชลัญจกรประจำรัชกาลกับงูเล็กสีเขียว
ตรงนี้
ผมมีข้อสังเกตเรื่องตราสัญลักษณ์ว่าเคยเห็นแหนบหรือเข็มแบบพระแสงที่มีศรหนึ่งองค์
ซึ่งทราบว่าพระราชทานตั้งแต่ยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนฯ
และแบบที่เป็นพระแสงศร ๓ องค์ มีงูลงยาสีเขียวรูปร่างคล้ายพระนามาภิไธย
“ปปร.”มีพระมหามงกุฎอยู่เบื้องบนหัวงู
บนเข็ม/แหนบซึ่งพระราชทานสหชาติ/อุปชาติปีมะเส็ง เมื่อฉลองพระชนมพรรษา ๓ รอบในพ.ศ.
๒๔๗๒ (หนึ่งปีก่อนที่เรือ”ศรวรุณ” จะมาถึง) ส่วนแบบที่มีพระแสงศร ๒ องค์
เห็นจะมีแต่ข้างเรือพระที่นั่ง “ศร-๒” เท่านั้น
คุณสรศัลย์เขียนไว้ว่าเรือพระที่นั่งทั้ง
๓ ลำนี้ “ทรงจัดซื้อด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์แท้ๆ”และอยู่ในความรับผิดชอบของหมวดเรือยนต์หลวง
และในการเสด็จแปรพระราชฐานไปประทับ ณ สวนไกลกังวล หัวหิน
ทุกครั้งจะต้องจัดเรือพระที่นั่งยนต์แบบเรือเร็วนี้ไปประจำพร้อมอยู่ที่นั่น ตรงนี้ผมขอเสริมว่ามีปรากฏในจดหมายเหตุ
พระราชกิจรายวันขณะประทับอยู่ที่นั่นว่า
เสด็จฯเลียบชายฝั่งและเกาะต่างๆใกล้ฝั่งในแถบนั้นด้วยเรือยนต์เร็วพระที่นั่ง
และทรงแวะทอดพระเนตรโป๊ะจับปลาของชาวประโมงพื้นถิ่น
“ศรวรุณ”ฝ่าฟ้ามืดและคลื่นลมสู่สงขลา
วันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๗๖
ทหารที่เพชรบุรียอมจำนนต่อทหารฝ่ายรัฐบาลที่ตีไปถึง แต่บางส่วนอาจแตกพ่ายไปยังหัวหิน ในขณะเดียวกันพระยานิติศาสตร์ไพศาล (วัน
จามรมาน)
ผู้แทนรัฐบาลก็ได้มาถึงหัวหินโดยรถไฟ
เพื่อเข้าเฝ้า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯทรงเกรงอยู่ตลอดแล้วว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจยึดพระองค์ไว้เป็น
“องค์ประกัน” (hostage)
จึงได้ตัดสินพระราชหฤทัยเสด็จฯจากสวนไกลกังวลโดยเรือพระที่นั่งศรวรุณเมื่อเวลาประมาณ
๒๐.๐๐ นาฬิกา โดยมีนายเรือเอก หลวงประดิยัตนาวายุทธ (เฉียบ
แสง-ชูโต)
เป็นกัปตันชั่วคราวด้วยเป็นราชองครักษ์ซึ่งเพิ่งเดินทางไปถึงโดยเรือยามฝั่งซึ่งมีนายเรือเอกหลวงสวัสดิ์วรฤทธิ์
(สวัสดิ์ วรทรัพย์)เป็นผู้บังคับการ มีผู้โดยสาร ลูกเรือ และทหารรักษาวัง รวมทั้งสิ้นไม่เกิน ๒๐ คน
เป็นสตรีเพียง ๒ คน ซึ่งก็คือ
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ และพระมารดา
หลวงประดิยัตฯเขียนเล่าประสบการณ์ของตนเมื่อพ.ศ.
๒๔๙๘ มอบให้ ปรีดา วัชรางกูร ข้าราชสำนักซึ่งถวายงานอยู่ที่สวนไกลกังวล และได้เดินทางโดยรถไฟที่ยึดมาได้ไปสมทบขบวนเสด็จฯที่สงขลา
ตีพิมพ์ในหนังสือ พระปกเกล้าฯกับระบอบประชาธิปไตย ของเขา(กรุงเทพฯ : การพิมพ์พระนคร, ๒๕๒๐)หน้า ๓๑๕-๓๒๐
สรุปความได้ว่า
โดยที่เป็นคืนข้างแรมท้องฟ้ามืดจึงมองไม่ค่อยเห็นอะไร เข็มทิศเดินเรือไม่ได้มีการสอบแก้คำนวณไว้
จึงไม่อาจทราบทิศทางแน่ชัดพอที่เรือจะปลอดภัยจากการกระแทกหินโสโครกหรือซากเรืออัปปางใต้น้ำ
อีกทั้งแผนที่สำหรับเดินเรือไม่มีติดต่อกันโดยตลอดจนถึงสงขลา ความเร็วเรือก็เป็นปัญหา คือทราบแต่เพียงว่าอาจทำได้เพียงประมาณ
๑๗-๑๘ นอต เพราะไม่ได้ปรับเครื่องยนต์มานาน จึงคาดไว้ว่าจะเป็นเพียง ๑๕ นอต
และโดยที่สงขลาอยู่ห่างจากหัวหินไปทางทิศใต้ประมาณ ๓๕๐ ไมล์
ถ้าไปตรงๆก็ใช้เวลาประมาณ ๒๔
ชั่วโมงแต่ในเมื่อไม่ทราบทิศทางแน่ชัดและต้องอ้อมเลี้ยวเลี่ยงอุปสรรคต่างๆในน้ำจึงเชื่อว่าต้องใช้เวลามากกว่านั้นแน่
เกี่ยวกับสภาพเรือนี้ สรศัลย์
สงสัยว่าอยู่ในสภาพดีจริงหรือ
และอธิบายว่าที่เรือพระที่นั่งไม่มีเข็มทิศช่วยการเดินเรือก็เพราะไม่จำเป็น
ด้วยเรือขนาดนี้แล่นห่างฝั่งมากไม่ได้อยู่แล้ว ส่วนที่ผู้อื่นว่ามีการตั้งปืนกลหนักบนดาดฟ้าเรือนั้น ทำไม่ได้แน่นอน
เพราะลำเรือและดาดฟ้าทาสปาร์วาร์นิชขัดเงาตามธรรมเนียมเรือเร็วทั่วไป ดังนั้นเมื่อเปียกดาดฟ้าจะลื่น ทหารรักษาวังบนเรือน่าจะมีแต่ปืนกลเล็ก
หลวงประดิยัตฯ บันทึกต่อไปว่า เมื่อยิ่งห่างจากฝั่งคลื่นลมทวีความรุนแรงขึ้น
ลมกระโชกยอดคลื่นมีสีขาว
แต่เมื่อห่างออกไปอีก ลมและคลื่นกลับลดลง
แต่เกิดมีแสงไฟเรือลำหนึ่งปรากฎมาทางเบื้องหลังใกล้เข้ามาทุกที
ทหารรักษาวังประจำปืนกลเตรียมตัว ฉายไฟส่องเข้าไปเมื่อเรือนั้นเข้ามาใกล้พอ
พบว่าเป็นเรือยามฝั่งลำเดิมที่มีหลวงสวัสดิ์วรฤทธีเป็นผู้บังคับการนำอาหารกระป๋องและเสบียงมาถวาย แล้วกลับไป
พอเช้าจึงหันเรือเข้าหาฝั่งเล็กน้อยเพื่อหาเกาะเต่าหรือเกาะพงัน จะได้ทราบตำแหน่งแห่งที่ของเรือ แต่ปรากฏว่ายังไปไม่ถึง ถึงเพียงแหลมช่องพระ
เมื่อถึงชุมพรน้ำมันจะหมด
จึงโปรดเกล้าฯให้แวะเพื่อส่งคนไปหาซื้อน้ำมันและจะได้พักผ่อนกันบ้าง เย็นวันนั้น
สมเด็จพระบรมราชินีทรงประกอบอาหารด้วยพระองค์เอง พระราชทานอย่างทั่วถึง เช้าวันรุ่งขึ้นจึงส่งคนขึ้นฝั่งได้น้ำมันมา
ออกเดินทางต่อไปในสภาพอากาศดี
ผ่านหมู่เกาะต่างๆสู่ท้องทะเลกว้างจนผ่านหมู่เกาะอ่างทอง
และช่องเกาะสมุยหลังเที่ยงวัน
ครั้นออกสู่ทะเลกว้างอีกครั้งหนึ่ง
ก็ประสบพายุร้ายอีก ลำเรือโคลงเคลงมากขึ้นทุกที และแล้วเมฆฝนที่ได้ตั้งเค้าได้เคลื่อนเข้ามากระหน่ำอย่างหนัก
คลื่นและลมพายุกระพือรุนแรง
แต่อัศจรรย์ว่าสงบเงียบลงโดยฉับพลันกว่าที่คาด
เมื่อใกล้อ่าวนครศรีธรรมราช
เห็นเรือวลัย เรือสินค้าของบริษัทอีสต์เอเชียติกจอดนิ่งอยู่ จึงได้เข้าไปสอบถามได้ความว่า จะเดินทางไปสงขลาในค่ำวันนั้น
ผู้บังคับการเรือชาวเดนมาร์กกราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯประทับบนเรือวลัย
และพ่วงเรือพระที่นั่งไปด้วย
เช้าวันรุ่งขึ้นที่ ๒๐ ตุลาคม
แพงเขาสงขลาก็ปรากฏขึ้นในระยะไกล แต่ในท้องทะเลมีควันสีดำลอยสูงขึ้นไปบนอากาศ
แล้วเสาเรือรบก็ปรากฏให้เห็น เรือศรวรุณจึงเดินเครื่อง ปลดออกจากเรือวลัย
เพื่อให้เรือวลัยได้แล่นเร็วขึ้น เรือวลัย และเรือ”ศรวรุณ”
เข้าอ่าวได้ก่อนเรือรบนั้น และแล้วปรากฏว่าเป็นเรือหลวงสุโขทัย
ซึ่งนายนาวาเอกพระยาวิชิตชลธี (ทองดี สุวรรณพฤกษ์)
ผู้บัญชาการทหารเรือเป็นผู้นำมาเพื่อแสดงความจงรักภักดีและถวายความปลอดภัย
จากนั้นจึงได้เสด็จฯลงจากเรือวลัยประทับเรือพระที่นั่งศรวรุณแล่นเข้าสู่ทะเลสาบสงขลา
ส่งเสด็จฯขึ้นฝั่งเมื่อเวลาประมาณเที่ยงวันของวันที่ ๒๐ ตุลาคม รวมระยะเวลาอยู่บนท้องทะเลทั้งสิ้น ๒วัน ครึ่ง
แล้วเสด็จฯไปประทับที่จวนสมุหเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช หรือตำหนักเขาน้อย ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ
เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศร สมัยทรงเป็นอุปราชปักษ์ใต้
โดยพระยาศรีธรรมราช สมุหเทศาภิบาลได้ย้ายไปพำนักที่อื่น
(ดูบทความของผู้เขียนในจดหมายข่าวสถาบันพระปกเกล้า เมษายน ๒๕๕๒, หน้า ๙-๑๐)
“ขออย่าได้คิดใช้กำลังอาวุธเลย”
คุณปรีดาเขียนเล่าว่า
ระหว่างที่ประทับอยู่นั้น
วันหนึ่งคณะนายทหารเรือซึ่งตามผู้บัญชาการไปอยู่ที่สงขลาได้รวมตัวกันไปเข้าเฝ้าฯกราบบังคมทูลอาสาจะยื่นคำขาดให้รัฐบาลทำอะไรก็ตามที่เป็นพระราชประสงค์ หากไม่ทำจะใช้ปืนเรือรบยิงเข้าไป พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯรับสั่งตอบว่า
“ขออย่าได้คิดใช้กำลังอาวุธเลย”จะเสียเลือดเนื้อของคนไทยไปโดยใช่เหตุ ถ้าฉันคิดรบ ก็จะรบเสียนานแล้ว”
ต่อมา พระยาวิชิตชลธี
ผู้บัญชาการทหารเรือได้ถูกจับกุมไปสอบสวน โดยในระหว่างนั้นถูกคุมขังอยู่หลายวัน และต่อมาถูกปลดออกจากตำแหน่ง
สำหรับหลวงประดิยัตนาวายุทธผู้ขับเรือพระที่นั่งถวายก็ถูกเรียกตัวกลับกรุงเทพฯ เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน
ซึ่งท่านได้กราบถวายบังคมทูลลากลับจากสงขลา ตามคำสั่งของรัฐบาลด้วยดี
ส่วนที่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับคนอื่นนั้นไม่เกี่ยวโดยตรงกับเรือศรวรุณ จึงของดเว้นไม่กล่าวถึงในที่นี้
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯประทับอยู่ที่สงขลาจนถึงวันที่
๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้เสด็จฯกลับกรุงเทพฯโดยเรือเมล์ลำหนึ่ง
ซึ่งสืบทราบว่าผ่านมาจากฮ่องกง ชื่อว่า “หมุยนำ”
เพื่อทรงเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร (กึ่งแต่งตั้งกึ่งเลือกตั้งทางอ้อม)
ในวันรุ่งขึ้น
ครั้นวันที่
๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๖ (พ.ศ. ๒๔๗๗ นับตามปฎิทินปัจจุบัน)
ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จฯออกไปประพาสประเทศในยุโรป ๙ ประเทศ ในโอกาสดังกล่าว เรือเร็วพระที่นั่ง”ศรวรุณ”
ได้ถวายงานเป็นครั้งสุดท้าย ในการเป็นเรือลำเลียงส่งเสด็จจากท่าราชวรดิษฐ์สู่เรือพระที่นั่งมหาจักรีลำใหญ่
ส่วนที่ว่า
เมื่อพระองค์ได้สละราชสมบัติจากที่ประทับในประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ.
๒๔๗๗ (พ.ศ. ๒๔๗๘ นับตามปฎิทินปัจจุบัน)แล้ว อะไรเกิดขึ้นกับเรือ “ศรวรุณ”
เป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันค้นคว้าต่อไป
{พช/ศรวรุณ/มีนาคม
๒๕๕๘}
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น