ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร[1]
ตามความเชื่อในพระพุทธศาสนา
ช้างเป็นสัญลักษณ์ที่เป็นมงคลแห่งการบำเพ็ญบารมีใน
อดีตชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดังปรากฏในชาดกของพระโพธิสัตว์ว่าพระองค์เคยเสวยพระชาติเป็นพระยาช้างฉัททันต์และพระยาช้างปัจจัยนาเคนทร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการบำเพ็ญบารมีในพระเวสสันดรชาดก
และพระยาเศวตมงคลหัตถี หรือพระยามงคลนาคในทุมเมธชาดก และตามพระพุทธประวัติ
เมื่อพระนางสิริมหามายาทรงพระครรภ์ ก็ทรงพระสุบินเห็นช้างเผือกนำดอกบัวมาถวาย
อันเป็นนิมิตว่าผู้มีบุญญาธิการสูงได้มาอุบัติเป็นมนุษย์สู่พระครรภ์พระมารดาทางพระนาภีเบื้องขวา ช้างเผือกจึงเป็นที่นับถือว่าเป็นสัตว์มงคลที่สำคัญในพระพุทธศาสนา
พระเศวตคชเดชน์ดิลก
ในปี พ.ศ. ๒๔๖๙
นับเป็นปีพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่เสด็จเลียบมณฑลพายัพชาวเชียงใหม่ต่างปีติโสมนัสเมื่อปรากฏว่าเกิดช้างเผือกในเมืองขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์แทนที่จะถือกำเนิดในป่าดงพงไพรเช่นที่เคยมีมาก่อนหน้านี้นับเป็นร้อยปีตลอดมา
ช้างเผือกเชือกนี้กำเนิดจากแม่ช้าง สูง ๗ ฟุต ๔ นิ้ว ชื่อ พังล่า เป็นช้างของบริษัทบอร์เนียว ผู้ดำเนินกิจการสัมปทานป่าไม้ในประเทศไทย แถบเมืองเหนือ เมื่อตอนเช้าวันศุกร์ที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ ตรงกับแรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๖ ปีขาล ณ ตำบลป่าแม่ยางมิ้ม อำเภอเมืองฝาง จังหวัดเชียงใหม่
นายแม็คฟี ผู้จัดการบริษัทบอร์เนียว ได้ออกมาพิจารณาลูกช้างหลังจากคนงานผู้ทำหน้าที่ควาญช้างเข้าไปรายงานลักษณะลูกช้าง ตลอดจนสีสันที่มีสีประหลาดจากลูกช้างสามัญให้ทราบ แต่ นายแม็คฟีก็ยังไม่แน่ใจแม้ว่าจะมีความรู้สึกว่าลูกช้างมีลักษณะแตกต่างจากลูกช้างที่เคยพบเห็นมาก่อนเป็นแต่ได้กำชับควาญช้างให้ดูแลลูกช้างให้ดีที่สุด
การเจริญเติบโตของลูกช้างถูกจับตามองพร้อมกับวิจารณ์อย่างกว้างขวาง สีสันที่ปรากฏบ่งบอกความเป็นช้างเผือกตระกูลชั้นเอก พวกหมอช้างพร้อมด้วยผู้ชำนาญในการดูช้างต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าช้างพลายน้อยลูกแม่พังล่าเชือกนี้เป็นช้างเผือกที่เกิดมาเพื่อคู่พระบารมีของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างแท้จริงและเป็นช้างเผือกเชือกแรกที่เกิดในเมือง
นายแม็คฟีจึงได้มีหนังสือแจ้งให้ทางราชการทราบอย่างรีบด่วน หลังมีความเชื่อมั่นว่าช้างน้อยอายุประมาณ ๔ เดือนเชือกนี้เป็นช้างเผือก และถ้าหากทางสำนักพระราชวังจักได้ส่งผู้ชำนาญมาตรวจสอบว่าเป็นช้างเผือกจริงแล้ว ทางบริษัทบอร์เนียวก็พร้อมที่จะขอพระราชทานน้อมเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางสำนักพระราชวังจึงได้ส่งหลวงศรีนัจวิสัย เจ้าหน้าที่กรมช้างต้น ซึ่งเป็นผู้สัดทัดในเรื่องช้างเผือก
พร้อมด้วยช่างเขียน ช่างปั้นฝีมือดี ไปตรวจสอบลักษณะของลูกช้างเผือกเชือกนี้ หลังพิสูจน์กายลักษณะของลูกช้างแล้ว หลวงศรีนัจวิสัยได้ลงความเห็นร่วมกับผู้สันทัดกรณีแห่งกรมช้างต้นว่า ลูกพังล่านี้เป็นช้างเผือกในตระกูล “อัคนิพงศ์” ซึ่งเป็นตระกูลช้างชั้นสูงซึ่งได้มีบันทึกการตรวจรายงานต่อกรม ว่า เมื่อลูกช้างถูกนำไปตรวจตามตำราคชลักษณ์เป็นครั้งแรกนั้น ก็ยินยอมให้ตรวจอย่างว่าง่าย เพราะคงรู้กาลข้างหน้าในชีวิต เจ้าหน้าที่ตรวจดูปาก ดูตามซอกรักแร้และแห่งอื่นๆ ช้างพลายน้อยก็มิได้ขัดขืน แม้จะตกอยู่ในท่ามกลางคนแปลกหน้าและดึงโน่นจับนี่อยู่ตลอดเวลา ทำให้ผู้ที่เฝ้าดูการตรวจพากันพิศวงในความสงบเรียบร้อย อาหารที่ใช้ป้อนลูกช้างเป็นหญ้าอ่อน ใบข้าวโพดอ่อน
เมื่อพระเศวตคชเดชน์ดิลกนี้ยังไม่หย่านม ชอบเล่นหัวอย่างใกล้ชิดกับบรรดาลูกๆ ของผู้จัดการบริษัทบอร์เนียวฝ่ายเมืองเหนืออย่างสนิทสนม ด้วยสัญชาตญาณในสายเลือดของการถือกำเนิดมาในตระกูลอัคนิพงศ์ ลูกช้างจะไม่ยอมคลุกคลีกับเด็กๆ ที่สกปรก ส่วนใหญ่ก็จะเล่นสนุกสนานกับลูกของ นายแม็คฟีเท่านั้น ความรักสะอาดและหวงแหนตัวเองนั้น มิใช่เพียงไม่เล่นกับเด็กที่แต่งกายมอมแมมเท่านั้น แม้เมื่อเวลาตามแม่พังล่าลงไปยังท่าน้ำ ถ้าหากพบมูลช้างอื่นถ่ายทิ้งขวางหน้าไว้ก็จะไม่ยอมลงอาบน้ำท่านั้น ถึงจะเป็นมูลของแม่พังล่าก็ตามจะต้องเลือกเดินไปลงท่าที่ปราศจากสิ่งโสโครก
ชาวเชียงใหม่ต้อนรับข่าวอันเป็นมหามงคลครั้งนี้กันทั่วหน้าเมื่อปรากฏแน่ชัดว่า ช้างเผือกที่เกิดในเมืองเชือกแรกแห่งกรุงสยามนี้ถือกำเนิดขึ้นในเมืองเชียงใหม่ ทางราชการของเชียงใหม่จัดงานอย่างครึกครื้นรื่นเริงยิ่งกว่างานใดๆ ที่เชียงใหม่ได้เคยมีมาก่อน เพื่อประกอบพิธีแห่แหนช้างเผือกน้อยพร้อมกับพังล่าผู้เป็นแม่
พิธีแห่ช้างเผือกนี้ กำหนดว่าจะนำมาเชิญสู่ขวัญและพำนักไว้ ณ เชิงดอยสุเทพ
แล้ววันอันเป็นมหามงคลที่ชาวเชียงใหม่รอคอยด้วยความกระตือรือร้นก็มาถึง วันนั้นตรงกับวันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ ขบวนแห่ได้จัดขึ้นเป็นขบวนใหญ่ยิ่ง ประชาชนหลั่งไหลกันมาทุกสารทิศแน่นขนัด เพื่อชมช้างเผือก และจะได้เข้าเฝ้าชมพระบารมีพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ที่จะเสด็จประพาสเชียงใหม่และทรงรับการน้อมเกล้าฯ ถวายลูกช้างเผือกของบริษัท บอร์เนียว ซึ่งขณะนั้นช้างพลายน้อยมีความสูง ๔๒ นิ้ว หนังเป็นสีดอกบัวโรย ขนตามตัวและตามศีรษะเป็นสีแดงปลายขาว ดวงตาเป็นสีฟ้าอ่อน (ในตำนานช้างตระกูลอัคนิพงศ์ มีตาดุจน้ำผึ้งรวง มีพรรณละเอียดเกลี้ยง) เพดานขาว ขนที่หูขาว เล็บขาว อันทโกษขาว ขนที่หางแดงปลายขาว เป็นเศวตกุญชรซึ่งมีมงคลลักษณะโดยสงเคราะห์เข้าในอัคนีพงศ์ ต้องตามตำรับว่าเป็น ปทุมหัตถี จัดเป็นช้างเผือกที่มีลักษณะงดงามยิ่ง
เมื่อช้างเผือกจะต้องเดินทางเข้าสู่กรุงเทพฯ เปลี่ยนฐานะจากลูกช้างธรรมดาขึ้นสู่ฐานะใหม่ การล่ำลาจากกันระหว่างลูกๆ ของผู้จัดการห้างบอร์เนียวกับลูกแม่พังล่าได้เป็นไปอย่างน่าสงสารและจับใจในเยื่อใยและความผูกพันระหว่างคนกับช้าง การแสดงความอาลัยอาวรณ์จากจิตใจที่รักใคร่กันมาตั้งแต่เกิดทำให้ผู้ที่ได้เห็นภาพการลาจากครั้งนี้เป็นที่ประทับใจอย่างยิ่งยวด บุตรๆ ของ นายแม็คฟีตรงเข้าไปกอดช้าง ส่วนเศวตกุญชรน้อยเล่าก็ใช้งวงไขว่คว้าและกอดรัดตอบ แม้ว่าจะพูดไม่ได้ว่าเป็นเรื่องที่เศร้าใจเพียงใด แต่ก็เป็นการลาจากที่เต็มตื้น แสดงถึงความรักอันลึกซึ้งที่มีต่อกันการพบช้างเผือกในเมืองเชียงใหม่เป็นข่าวใหญ่ที่หนังสือพิมพ์ได้ลงข่าวกันอย่างครึกโครม และบางฉบับได้เสนอความคิดเห็นว่า การนำเศวตกุญชรมายังกรุงเทพฯ ควรให้เดินทางมาพร้อมกับพังล่าผู้เป็นแม่
เป็นประเพณีมาแต่โบราณกาล เมื่อแผ่นดินของพระมหากษัตริย์พระองค์ใดได้พบช้างเผือกมาสู่พระบรมโพธิสมภารเป็นราชพาหนะเฉลิมพระเกียรติยศ เป็นมิ่งมงคลคู่บ้านคู่เมือง พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้นย่อมทรงบุญญาภินิหารเป็นที่พึ่งของไพร่ฟ้าประชาชนให้รุ่งเรืองสืบไป
ในพระบรมราชวงศ์จักรีได้ปรากฏคล้องช้างเผือกได้จากป่ามาแล้วทุกรัชกาล เพราะในป่าสูงดงดิบยังเต็มไปด้วยโขลงช้าง และเส้นทางอันเต็มไปด้วยความทุรกันดารอย่างเหลือแสนกว่าจะบุกบั่นกันเข้าไปคล้องช้างเผือกได้แต่ละเชือก พวกหมอช้าง ควาญ ต้องประกอบพิธีกรรมตามขนบธรรมเนียมอย่างเคร่งครัดกว่าจะรอนแรมออกไปคล้องช้างแต่ละครั้ง
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวครองราชย์สมบัติได้เพียงปีเดียวก็เกิดช้างเผือกขึ้น มิหนำซ้ำมิได้จากป่าหากแต่เป็นช้างในเมือง จึงเป็นเรื่องที่กล่าวขวัญถึงกันอย่างมากในลักษณะตามคชลักษณ์ของช้างเผือกซึ่งได้นามว่า พระเศวตคชเดชน์ดิลก นี้เป็นอัคนิพงศ์อย่างสมบูรณ์
ขบวนแห่ช้างเผือกในเมืองเชียงใหม่เป็นไปอย่างชื่นตาชื่นใจทั่วทุกคน เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีปรีดาดังกังวานทั่วไปตลอดเส้นทางที่ช้างเผือกย่างเยื้องผ่านไปอย่างช้าๆ ชาวเหนือทุกจังหวัดใกล้เคียงกับเชียงใหม่เดินทางมาร่วมงานสมโภชครั้งยิ่งใหญ่มโหฬารนี้เป็นประวัติการณ์ ทางเจ้านครเชียงใหม่ยังจัดสาวงามฟ้อนถวายตัวในงานสมโภชน์ครั้งนี้อีกด้วย
เจ้านครเชียงใหม่ ได้เป็นผู้นำช้างเผือกน้อยของบริษัทบอร์เนียว น้อมเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ และทรงโปรดเกล้าให้นำลงมาสมโภชขึ้นระว่างเมื่อวันพุธที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๐ พระราชทานนามว่า
“พระเศวตคชเดชน์ดิลก ประชาธิปชุมรัตนดำรี
เทวอัคนีรุฒชุบเชิด กำเนิดนภีสีฉานเฉวียง
ฉวีเยี่ยงบุษกรโกมล นขาขนขาวผ่องแผ้ว
แก้วเนตรน้ำเงินงามลึก วันวณึกบรรณาการ
คเชนทรยานยวดยิ่ง มิ่งมงคลฉนำเฉลิมฉัตร
สตตมกษัตริย์ทรงศร อมรรัตนโกสินทร์
ระบือระบินบารมีทศ ยืนพระยศธรรมราชัย
นิรามัยมนุญคุณ บุณยโกศล เลิศฟ้า"
ต่อมา พระเศวตคชเดชน์ดิลกฯ ยืนโรงอยู่ ณ โรงช้างต้น พระราชวังดุสิต (ปัจจุบันคือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ช้างต้น) คู่กับ พระเศวตวชิรพาหฯ เป็นเวลา ๑๖ ปี จึงล้มลงเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๖ หลังจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตที่ประเทศอังกฤษได้ประมาณปีเศษเท่านั้นนับเป็นช้างเผือกคู่พระบารมีโดยแท้
ช้างเผือกเชือกนี้กำเนิดจากแม่ช้าง สูง ๗ ฟุต ๔ นิ้ว ชื่อ พังล่า เป็นช้างของบริษัทบอร์เนียว ผู้ดำเนินกิจการสัมปทานป่าไม้ในประเทศไทย แถบเมืองเหนือ เมื่อตอนเช้าวันศุกร์ที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ ตรงกับแรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๖ ปีขาล ณ ตำบลป่าแม่ยางมิ้ม อำเภอเมืองฝาง จังหวัดเชียงใหม่
นายแม็คฟี ผู้จัดการบริษัทบอร์เนียว ได้ออกมาพิจารณาลูกช้างหลังจากคนงานผู้ทำหน้าที่ควาญช้างเข้าไปรายงานลักษณะลูกช้าง ตลอดจนสีสันที่มีสีประหลาดจากลูกช้างสามัญให้ทราบ แต่ นายแม็คฟีก็ยังไม่แน่ใจแม้ว่าจะมีความรู้สึกว่าลูกช้างมีลักษณะแตกต่างจากลูกช้างที่เคยพบเห็นมาก่อนเป็นแต่ได้กำชับควาญช้างให้ดูแลลูกช้างให้ดีที่สุด
การเจริญเติบโตของลูกช้างถูกจับตามองพร้อมกับวิจารณ์อย่างกว้างขวาง สีสันที่ปรากฏบ่งบอกความเป็นช้างเผือกตระกูลชั้นเอก พวกหมอช้างพร้อมด้วยผู้ชำนาญในการดูช้างต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าช้างพลายน้อยลูกแม่พังล่าเชือกนี้เป็นช้างเผือกที่เกิดมาเพื่อคู่พระบารมีของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างแท้จริงและเป็นช้างเผือกเชือกแรกที่เกิดในเมือง
นายแม็คฟีจึงได้มีหนังสือแจ้งให้ทางราชการทราบอย่างรีบด่วน หลังมีความเชื่อมั่นว่าช้างน้อยอายุประมาณ ๔ เดือนเชือกนี้เป็นช้างเผือก และถ้าหากทางสำนักพระราชวังจักได้ส่งผู้ชำนาญมาตรวจสอบว่าเป็นช้างเผือกจริงแล้ว ทางบริษัทบอร์เนียวก็พร้อมที่จะขอพระราชทานน้อมเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางสำนักพระราชวังจึงได้ส่งหลวงศรีนัจวิสัย เจ้าหน้าที่กรมช้างต้น ซึ่งเป็นผู้สัดทัดในเรื่องช้างเผือก
พร้อมด้วยช่างเขียน ช่างปั้นฝีมือดี ไปตรวจสอบลักษณะของลูกช้างเผือกเชือกนี้ หลังพิสูจน์กายลักษณะของลูกช้างแล้ว หลวงศรีนัจวิสัยได้ลงความเห็นร่วมกับผู้สันทัดกรณีแห่งกรมช้างต้นว่า ลูกพังล่านี้เป็นช้างเผือกในตระกูล “อัคนิพงศ์” ซึ่งเป็นตระกูลช้างชั้นสูงซึ่งได้มีบันทึกการตรวจรายงานต่อกรม ว่า เมื่อลูกช้างถูกนำไปตรวจตามตำราคชลักษณ์เป็นครั้งแรกนั้น ก็ยินยอมให้ตรวจอย่างว่าง่าย เพราะคงรู้กาลข้างหน้าในชีวิต เจ้าหน้าที่ตรวจดูปาก ดูตามซอกรักแร้และแห่งอื่นๆ ช้างพลายน้อยก็มิได้ขัดขืน แม้จะตกอยู่ในท่ามกลางคนแปลกหน้าและดึงโน่นจับนี่อยู่ตลอดเวลา ทำให้ผู้ที่เฝ้าดูการตรวจพากันพิศวงในความสงบเรียบร้อย อาหารที่ใช้ป้อนลูกช้างเป็นหญ้าอ่อน ใบข้าวโพดอ่อน
เมื่อพระเศวตคชเดชน์ดิลกนี้ยังไม่หย่านม ชอบเล่นหัวอย่างใกล้ชิดกับบรรดาลูกๆ ของผู้จัดการบริษัทบอร์เนียวฝ่ายเมืองเหนืออย่างสนิทสนม ด้วยสัญชาตญาณในสายเลือดของการถือกำเนิดมาในตระกูลอัคนิพงศ์ ลูกช้างจะไม่ยอมคลุกคลีกับเด็กๆ ที่สกปรก ส่วนใหญ่ก็จะเล่นสนุกสนานกับลูกของ นายแม็คฟีเท่านั้น ความรักสะอาดและหวงแหนตัวเองนั้น มิใช่เพียงไม่เล่นกับเด็กที่แต่งกายมอมแมมเท่านั้น แม้เมื่อเวลาตามแม่พังล่าลงไปยังท่าน้ำ ถ้าหากพบมูลช้างอื่นถ่ายทิ้งขวางหน้าไว้ก็จะไม่ยอมลงอาบน้ำท่านั้น ถึงจะเป็นมูลของแม่พังล่าก็ตามจะต้องเลือกเดินไปลงท่าที่ปราศจากสิ่งโสโครก
ชาวเชียงใหม่ต้อนรับข่าวอันเป็นมหามงคลครั้งนี้กันทั่วหน้าเมื่อปรากฏแน่ชัดว่า ช้างเผือกที่เกิดในเมืองเชือกแรกแห่งกรุงสยามนี้ถือกำเนิดขึ้นในเมืองเชียงใหม่ ทางราชการของเชียงใหม่จัดงานอย่างครึกครื้นรื่นเริงยิ่งกว่างานใดๆ ที่เชียงใหม่ได้เคยมีมาก่อน เพื่อประกอบพิธีแห่แหนช้างเผือกน้อยพร้อมกับพังล่าผู้เป็นแม่
พิธีแห่ช้างเผือกนี้ กำหนดว่าจะนำมาเชิญสู่ขวัญและพำนักไว้ ณ เชิงดอยสุเทพ
แล้ววันอันเป็นมหามงคลที่ชาวเชียงใหม่รอคอยด้วยความกระตือรือร้นก็มาถึง วันนั้นตรงกับวันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ ขบวนแห่ได้จัดขึ้นเป็นขบวนใหญ่ยิ่ง ประชาชนหลั่งไหลกันมาทุกสารทิศแน่นขนัด เพื่อชมช้างเผือก และจะได้เข้าเฝ้าชมพระบารมีพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ที่จะเสด็จประพาสเชียงใหม่และทรงรับการน้อมเกล้าฯ ถวายลูกช้างเผือกของบริษัท บอร์เนียว ซึ่งขณะนั้นช้างพลายน้อยมีความสูง ๔๒ นิ้ว หนังเป็นสีดอกบัวโรย ขนตามตัวและตามศีรษะเป็นสีแดงปลายขาว ดวงตาเป็นสีฟ้าอ่อน (ในตำนานช้างตระกูลอัคนิพงศ์ มีตาดุจน้ำผึ้งรวง มีพรรณละเอียดเกลี้ยง) เพดานขาว ขนที่หูขาว เล็บขาว อันทโกษขาว ขนที่หางแดงปลายขาว เป็นเศวตกุญชรซึ่งมีมงคลลักษณะโดยสงเคราะห์เข้าในอัคนีพงศ์ ต้องตามตำรับว่าเป็น ปทุมหัตถี จัดเป็นช้างเผือกที่มีลักษณะงดงามยิ่ง
เมื่อช้างเผือกจะต้องเดินทางเข้าสู่กรุงเทพฯ เปลี่ยนฐานะจากลูกช้างธรรมดาขึ้นสู่ฐานะใหม่ การล่ำลาจากกันระหว่างลูกๆ ของผู้จัดการห้างบอร์เนียวกับลูกแม่พังล่าได้เป็นไปอย่างน่าสงสารและจับใจในเยื่อใยและความผูกพันระหว่างคนกับช้าง การแสดงความอาลัยอาวรณ์จากจิตใจที่รักใคร่กันมาตั้งแต่เกิดทำให้ผู้ที่ได้เห็นภาพการลาจากครั้งนี้เป็นที่ประทับใจอย่างยิ่งยวด บุตรๆ ของ นายแม็คฟีตรงเข้าไปกอดช้าง ส่วนเศวตกุญชรน้อยเล่าก็ใช้งวงไขว่คว้าและกอดรัดตอบ แม้ว่าจะพูดไม่ได้ว่าเป็นเรื่องที่เศร้าใจเพียงใด แต่ก็เป็นการลาจากที่เต็มตื้น แสดงถึงความรักอันลึกซึ้งที่มีต่อกันการพบช้างเผือกในเมืองเชียงใหม่เป็นข่าวใหญ่ที่หนังสือพิมพ์ได้ลงข่าวกันอย่างครึกโครม และบางฉบับได้เสนอความคิดเห็นว่า การนำเศวตกุญชรมายังกรุงเทพฯ ควรให้เดินทางมาพร้อมกับพังล่าผู้เป็นแม่
เป็นประเพณีมาแต่โบราณกาล เมื่อแผ่นดินของพระมหากษัตริย์พระองค์ใดได้พบช้างเผือกมาสู่พระบรมโพธิสมภารเป็นราชพาหนะเฉลิมพระเกียรติยศ เป็นมิ่งมงคลคู่บ้านคู่เมือง พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้นย่อมทรงบุญญาภินิหารเป็นที่พึ่งของไพร่ฟ้าประชาชนให้รุ่งเรืองสืบไป
ในพระบรมราชวงศ์จักรีได้ปรากฏคล้องช้างเผือกได้จากป่ามาแล้วทุกรัชกาล เพราะในป่าสูงดงดิบยังเต็มไปด้วยโขลงช้าง และเส้นทางอันเต็มไปด้วยความทุรกันดารอย่างเหลือแสนกว่าจะบุกบั่นกันเข้าไปคล้องช้างเผือกได้แต่ละเชือก พวกหมอช้าง ควาญ ต้องประกอบพิธีกรรมตามขนบธรรมเนียมอย่างเคร่งครัดกว่าจะรอนแรมออกไปคล้องช้างแต่ละครั้ง
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวครองราชย์สมบัติได้เพียงปีเดียวก็เกิดช้างเผือกขึ้น มิหนำซ้ำมิได้จากป่าหากแต่เป็นช้างในเมือง จึงเป็นเรื่องที่กล่าวขวัญถึงกันอย่างมากในลักษณะตามคชลักษณ์ของช้างเผือกซึ่งได้นามว่า พระเศวตคชเดชน์ดิลก นี้เป็นอัคนิพงศ์อย่างสมบูรณ์
ขบวนแห่ช้างเผือกในเมืองเชียงใหม่เป็นไปอย่างชื่นตาชื่นใจทั่วทุกคน เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีปรีดาดังกังวานทั่วไปตลอดเส้นทางที่ช้างเผือกย่างเยื้องผ่านไปอย่างช้าๆ ชาวเหนือทุกจังหวัดใกล้เคียงกับเชียงใหม่เดินทางมาร่วมงานสมโภชครั้งยิ่งใหญ่มโหฬารนี้เป็นประวัติการณ์ ทางเจ้านครเชียงใหม่ยังจัดสาวงามฟ้อนถวายตัวในงานสมโภชน์ครั้งนี้อีกด้วย
เจ้านครเชียงใหม่ ได้เป็นผู้นำช้างเผือกน้อยของบริษัทบอร์เนียว น้อมเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ และทรงโปรดเกล้าให้นำลงมาสมโภชขึ้นระว่างเมื่อวันพุธที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๐ พระราชทานนามว่า
“พระเศวตคชเดชน์ดิลก ประชาธิปชุมรัตนดำรี
เทวอัคนีรุฒชุบเชิด กำเนิดนภีสีฉานเฉวียง
ฉวีเยี่ยงบุษกรโกมล นขาขนขาวผ่องแผ้ว
แก้วเนตรน้ำเงินงามลึก วันวณึกบรรณาการ
คเชนทรยานยวดยิ่ง มิ่งมงคลฉนำเฉลิมฉัตร
สตตมกษัตริย์ทรงศร อมรรัตนโกสินทร์
ระบือระบินบารมีทศ ยืนพระยศธรรมราชัย
นิรามัยมนุญคุณ บุณยโกศล เลิศฟ้า"
ต่อมา พระเศวตคชเดชน์ดิลกฯ ยืนโรงอยู่ ณ โรงช้างต้น พระราชวังดุสิต (ปัจจุบันคือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ช้างต้น) คู่กับ พระเศวตวชิรพาหฯ เป็นเวลา ๑๖ ปี จึงล้มลงเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๖ หลังจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตที่ประเทศอังกฤษได้ประมาณปีเศษเท่านั้นนับเป็นช้างเผือกคู่พระบารมีโดยแท้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น