ขอบคุณบทความจาก ม.ร.ว.พฤทธิสาณ ชุมพล
เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2558 สามเกลอหนึ่งชาย สองหญิงได้ไปเสวนากัน เรื่อง “สุโขทัยธรรมราชาวิถี”ให้นักเรียนมัธยมปลายราว 200 คนฟังที่ศูนย์วิทยพัฒนาของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ที่เพชรบุรี นอกจากได้รู้ว่านักเรียนก็รู้จักถามคำถามน่าถามอยู่เหมือนกันแล้ว เราได้ถือโอกาสไปเปิดหูเปิดตาตามสถานที่ 2-3 แห่ง จึงเก็บตกเรื่องราวจิปาถะ ใต้ฟ้า...ประชาธิปกมาฝาก
พระรามราชนิเวศน์
วังนี้เริ่มสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่มาเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 6 อยู่ริมแม่น้ำเพชรซึ่งน้ำใช้ผสมเป็นน้ำสรงพระกระยาสนานในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก องค์พระที่นั่งเป็นแบบคฤหาสน์เยอรมันคล้ายพระตำหนักวังบางขุนพรหมแต่เล็กกว่า เป็นรูปตัวยูกลายๆ
พบบอร์ดนิทรรศการเล็กๆให้ข้อมูลโดยสังเขปว่า วังนี้ถูกปล่อยทิ้งร้างอยู่จนใต้ฟ้าประชาธิปก จึงได้ถูกนำมาใช้งานตามพระบรมราโชบายเร่งรัดการจัดการศึกษาให้ทั่วถึงและเหมาะแก่ความจำเป็นของประเทศ เริ่มจากเป็นที่ตั้งของโรงเรียนประถมศึกษาและโรงเรียนฝึกหัดครูกสิกรรมประกาศนียบัตรมณฑลราชบุรีในพ.ศ. 2469 ครั้นในพ.ศ. 2474 เป็นโรงเรียนอบรมฝึกหัดผู้กำกับลูกเสือในพระบรมราชูปถัมภ์ จนในพ.ศ. 2477 เป็นที่ตั้งโรงเรียนปฐมวิสามัญหญิง ซึ่งต่อมาได้ย้ายออกไปตั้งเป็นโรงเรียนการช่างสตรี (วิทยาลัยอาชีวศึกษา เพชรบุรีในปัจจุบัน) หลังจากนั้นพระรามราชนิเวศน์ก็รกร้างว่างเปล่าอีก แล้วต่อมาอีกจึงเป็นที่ตั้งของค่ายทหารบก ซึ่งได้จัดการบูรณะเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ได้เข้าชมความงาม
วัดเกาะ (แก้วสุทธาราม)
วัดนี้อยู่ไม่ไกลจากพระรามราชนิเวศน์ในตำบลท่าราบ อำเภอเมือง แต่ต้องเข้าไปสุดตรอกแคบๆจึงจะถึง ซึ่งก็ดีตรงที่ยังมีความสงบร่มเย็นทัวร์ไม่ลง อนุรักษ์สิ่งปลูกสร้างนานาไว้ได้ดีพอควรทีเดียว ซึ่งสำคัญเพราะวัดนี้น่าจะมีประวัติความเป็นมายาวนานแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น หากสันนิษฐานจากใบเสมาคู่ทั้ง 8 ทิศรอบพระอุโบสถซึ่งแกะจากศิลาสีแดงเข้ม แต่หากใช้หลักฐานจากบันทึกบนจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถถึงปีที่เขียนบนปูนเฉยๆใช้ดินแดงกับเขม่าบนพื้น เป็นภาพพุทธประวัติตามความเชื่อแต่โบราณ เรียบง่ายแต่วิจิตรบรรจง บรรจุเรื่องราวมากมาย ซึ่งสาวนักวิชาการพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร ผู้จบการศึกษาปริญญาโทด้านประวัติศาสตร์ศิลปะจาก ม.ศิลปากร อธิบายให้ฟังได้เป็นฉากๆ เริ่มด้วยการชี้ให้ดูที่ผนังสกัดด้านหลังพระประธานว่ามีภาพเขียนแม่พระธรณีบีบมวยผมในท่ายืนแบบธรรมชาติต่างจากที่อื่น ซึ่งจะยืนหรือนั่งแบบเอี้ยวกาย เป็นต้น
พระอุโบสถหลังนี้ พระครูเพชโรปมคุณ (เหลื่อม) เจ้าอาวาสวัดเกาะรูปที่ 4 (พ.ศ. 2446-2470) ได้ทำการบูรณะครั้งหนึ่งจึงอาจเป็นในสมัยรัชกาลที่ 7 ส่วนอาคารที่สร้างขึ้นในสมัยนั้นแน่ๆ คือ อาคารโรงเรียนปริยัติธรรม ซึ่งจารึกไว้หน้ามุขอาคารว่าสร้างเมื่อพ.ศ. 2474 อาคารหลังย่อมนี้รูปทรงเป็นแบบตะวันตกสมัยใหม่เข้ากับยุคสมัยที่ว่านั้น ก่ออิฐถือปูน เครื่องบนเป็นไม้ทั้งหมด มุขด้านหน้าครอบด้วยจั่วใหญ่ประกอบจั่วบังตา แกะสลักลวดลายฉลุโปร่ง ซุ้มคูหาทรงโค้งทั้ง 3 ด้าน ช่องลมเหนือประตูทางเข้า แกะสลักเป็นลายกนกก้านขดใบเทศ มีลักษณะผสมผสานศิลปะตะวันตกกับศิลปะไทย “การพลิกม้วนและการซ้อนแยงของลายกนกเยี่ยมยอดทีเดียว ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของสกุลช่างเพชรบุรี” หนังสือ วัดเกาะ จ.เพชรบุรี ที่วัดจัดพิมพ์ขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2543 ว่าไว้เช่นนี้
อาคารนี้เดิมสร้างขึ้นเป็นที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพของภรรยานายครอง วาดเวียงไชย ผู้ได้บริจาคให้วัดใช้เป็นสถานที่เล่าเรียนของพระภิกษุสืบต่อมา ด้านในมีห้องๆเดียว ขนาดราว 4 เมตรx 3 เมตร มีโต๊ะและเก้าอี้ไม้อยู่ประมาณ 10 ชุด เป็นของเก่า บนโต๊ะหนึ่งมีหนังสือเก่าวางอยู่ตรวจสอบพบ ชื่อว่า “แนะการเรียนธรรมวิภาค น. ธ.ตรี” (นักธรรมตรี) ปกหลังบ่งบอกว่า “พิมพ์ที่โรงพิมพ์เฮ่งฮั่วฮง เชิงสะพานเสาชิงช้า พระนคร 21.9.77” คือเพิ่งพ้นสมัยรัชกาลที่ 7 ไปได้ไม่กี่เดือน
สถาปัตยกรรมที่โดดเด่นอีกอย่างหนึ่ง คือ เจดีย์ประธานหน้าพระอุโบสถทรงระฆังสูงเพรียวงดงามประดับด้วยพวงอุบะอ่อนช้อย จึงได้ชื่อว่าเป็น “เจดีย์ทรงเครื่อง” สะท้อนแสงเรืองๆขรึมๆจับใจคุณศิริน โรจนสโรช สาวบรรณารักษ์จากมสธ. ยิ่งนัก เจดีย์นี้พระครูเพชโรปมคุณ สร้างครอบเจดีย์องค์เล็กเพื่อบรรจุพระบรมธาตุเมื่อพ.ศ. 2468 เท่ากับว่าอยู่ช่วงรัชสมัยรัชกาลที่ 7
ส่วนศาลาท่าน้ำ ริมแม่น้ำที่เตะตาเราแต่แรก เพราะมีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ และหน้าบันไม้แกะสลักลายพุ่มข้าวบิณฑ์นั้น พบว่าบูรณะเมื่อพ.ศ. 2472 ในรัชกาลที่ 7 แน่ๆ แต่มีความเป็นมายาวนานกว่านั้น และมีชื่อว่า “ศาลามเหศวร” สร้างขึ้นในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 2400 เพื่อถวายเป็นอนุสรณ์แด่กรมหมื่นมเหศวรวิลาส ผู้ประสูติเมื่อพ.ศ. 2365 เป็นหม่อมเจ้า พระโอรสในองค์ผู้ซึ่งต่อมาทรงเป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ครั้งที่ยังไม่ได้ทรงผนวชเป็นพระภิกษุในพ.ศ. 2367 และได้ทรงอยู่ในร่มผ้ากาสาวพัสตร จนเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติในพ.ศ. 2393 ชะรอยเสด็จในกรมฯ (ต้นราชสกุล “นพวงศ์”) จะได้เสด็จมาทางนี้เพื่อมาเฝ้าทูลกระหม่อมพ่อระหว่างที่ทรงพระธุดงค์มาทรงจำวัดอยู่ในถ้ำบนเขา ซึ่งปัจจุบันคือ เขาวังเมืองเพชร ผมเดาว่าศาลานี้สร้างในพ.ศ. 2410 ซึ่งเป็นปีที่เสด็จในกรมฯสิ้นพระชนม์เป็นปีที่ 17อันเป็นปีสุดท้ายในรัชกาลที่ 4 เรื่องราวการท่องประวัติศาสตร์ของสามเกลอจึงเวียนมาบรรจบที่พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 4 ซึ่งเพิ่งได้อัญเชิญพระบรมรูปหล่อประดิษฐานเมื่อเร็วๆนี้ในบริเวณอุทยานเฉลิมพระเกียรติฯ ซึ่งสามเกลอได้ไปถวายบังคมมาเมื่อค่ำวันก่อน และไปทานอาหารอร่อยๆที่ร้านอาหารบ้านเมืองเพชร ซึ่งพบโดยบังเอิญว่ามีผู้สืบสายราชสกุลกุญชรในรัชกาลที่ 2 เป็นเป็นเจ้าของร้าน
พช/ เพชรบุรี /ก.ย. 2558
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น