ใต้ฟ้าประชาธิปก : พระบรมฉายาลักษณ์ทรงฉายที่ชวา
ผู้ที่เคยพยายามเสาะหาพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงฉายคู่กับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีคงรู้ดีถึงความยากลำบากไม่น้อย
ข้อความต่อไปนี้จากพระราชหัตถเลขาพระราชทานพระธิดาในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงนครสวรรค์วรพินิตเมื่อเสด็จประพาสเกาะชวา (ส่วนหนึ่งของประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน) จึงพอเป็นคำอธิบาย ทรงไว้เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจเมื่อบ่ายวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ ว่า
“...ว่างไม่มีอะไรทำ เลยไปถ่ายรูป ถ่ายรูปหมู่ด้วย ฉันกับหญิงไม่เคยถ่ายด้วยกันมานานแล้ว จึงตกลงถ่ายวันนี้ เขาจัดให้ยืนกระแซะกันอย่างกับคู่ฮันนี่มูน รู้สึกเรี่ยและเปิ่นจะตายทั้งสองคน แต่รูปออกจะดี...”
ร้านสตูดิโอที่เสด็จฯไปทรงฉายนั้นชื่อว่า ฮ.โบดอม (H.Bodom) เมืองบันดุง (Bandung) เมืองซึ่งบังเอิญสมเด็จเจ้าฟ้า กรมหลวงนครสรรค์ฯเสด็จไปประทับหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองพ.ศ. ๒๔๗๕ และสิ้นพระชนม์ที่นั่น
พระรูปคู่อีกองค์หนึ่งทรงฉายที่เกาะชวาเช่นกัน เป็นพระรูปที่แปลกอยู่ตรงที่ทรงฉลองพระองค์ผ้าบาติก (Batik) แบบพื้นเมืองชวาทั้งสองพระองค์
จดหมายเหตุเสด็จประพาสชวาฯ ซึ่งหม่อมเจ้าดำรัสดำรงค์ เทวกุล ราชเลขาธิการทรงไว้มีข้อความให้พอเป็นเบาะแสว่าที่เมืองโซโล (Solo) หรือสุรการ์ตา (Surakarta) วันหนึ่งมีคนนำของมาขาย ณ ที่ประทับแรม ได้ทรงซื้อผ้าบาติก โสร่ง ผ้าห่ม ผ้าปูโต๊ะต่างๆ ซึ่งเป็นฝีมือในวังของสุสุฮูนัน(Susuhunan) เจ้าผู้ครองนครชาวพื้นเมืองเดิม จึงน่าจะได้ทรงฉายพระรูปคู่ดังกล่าวในโอกาสนั้น
คงจะพอเป็นข้อมูลเล็กๆน้อยๆช่วยพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในการ “อ่านภาพ” ที่มีอยู่มากหลายได้บ้าง โดยไม่ต้อง “ทำวิจัย” อะไรมากมาย เพียงแต่ต้องใส่ใจ แต่ทำให้คิดต่อไปได้ว่า ในระหว่างการเสด็จประพาสนั้น ได้ทรงดำเนินการทาง “การทูตสาธารณะ” (Public diplomacy) ไปด้วย ผู้สนใจศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทรงประกอบการทูตประเภทนี้ในหลายๆประเทศที่เสด็จประพาสได้ในหนังสือ “ตัวตนใหม่ของสยามในโลกา : การต่างประเทศในสมัยรัชกาลที่ ๗” ของผ.ศ.ดร.ธีระ นุชเปี่ยม ซึ่งเพิ่งวางตลาด
ที่เมืองโซโลนี้ สุสุฮูนันถวายเครื่องดนตรีกามาลัน (gamelan) ของโบราณชุดหนึ่ง และเมื่อเสด็จไปทอดพระเนตรสุสานฝังศพปฐมวงศ์ของสุสุฮูนันบนยอดเขา ทรงพบว่ามีตุ่มสุโขทัย ๔ ใบ ซึ่งสุลต่านอากุง (Sultan Agung, ค.ส. 1613-1645) ได้ไปจากกรุงสยามเมื่อ ๓๐๐ กว่าปีมาแล้ว ใช้ใส่น้ำมนต์ น่าเสียดายที่ไม่ปรากฏพระรูปทรงฉายกับตุ่มเหล่านั้น
วันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๒ ที่เมืองเดนปาสาร์ (Denpasar) เกาะบาหลี ตอนค่ำมีการแสดงโดยชายสองคนผลัดกันเต้นตามจังหวะดนตรีกามาลัน “โดยไม่ได้ยืนเลย นั่งไขว้ขา เมื่อจะเคลื่อนตัวก็กระโดดไปทั้งนั่งฉะนั้น วิธีรำนั้นมีโยกศีรษะและกาย เล่นตา ยิ้มและทำหน้าบึ้ง สุดแท้แต่จังหวะของดนตรีจะทำไป” ชะรอยจะเป็น “ลิเกฮูลู” แบบพิสดาร
ทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่างไทยกับอินโดนีเซียว่ามีมาเนิ่นนานก่อนที่จะมี “ประชาคมอาเซียน” ในปัจจุบัน และว่าได้ทรงสืบสานระหว่างการเสด็จประพาส
<<พช/พระรูปคู่/ ส.ค. 2559>>
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น