ป.ป.ร. และ ภ.ป.ร กับประชาธิปไตยในสยาม/ไทย
ขอบคุณบทความจาก ม.ร.ว.พฤทธิสาณ ชุมพล
ขอบคุณบทความจาก ม.ร.ว.พฤทธิสาณ ชุมพล
พระนาม "ภูมิพล" ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว |
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชมานะพยายามตลอด 9 ปีแห่งรัชกาลที่จะทรงอำนวยและดูแลให้ระบอบประชาธิปไตยมีขึ้นจริงในสยาม โดยทรงเห็นว่า ประชาธิปไตยประเภท Constitutional Monarchy หรือ “ระบบกษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญ” น่าจะเหมาะสมที่สุดเพราะสอดคล้องกับวัฒนธรรม จะได้มั่นคงยั่งยืน
ครั้นได้ทรงตรวจสอบจนแน่พระราชหฤทัยแล้วว่าไม่ทรงประสบความสำเร็จ อีกทั้งบัดนั้นไม่ทรงมีอำนาจแล้วจึงไม่อาจทรงปกป้องคุ้มครองปวงประชาได้ตามที่ทรงสัญญาไว้เมื่อทรงบรมราชาภิเษกเป็นพระราชาสมบูรณาญาสิทธิ์พระองค์จึงทรงแสดงความรับผิดชอบโดยการสละราชสมบัติมาจากประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477
ในวาระนั้น ได้รับสั่งอย่างไม่เป็นทางการแก่ผู้ใกล้ชิดว่า “ความขัดแย้งระหว่างกษัตริย์กับรัฐบาลเป็นอันตรายขัดขวางความก้าวหน้าของประเทศ ถ้าได้พระมหากษัตริย์ที่ราษฎรให้ความนับถืออย่างจริงใจ ความขัดแย้งอาจจะหมดไป ดังนั้นหากเขาเลือกสายของพี่แดง สถานการณ์อาจจะดีขึ้น เพราะพี่แดงเป็นนักประชาธิปไตยแท้ ประทานความเอื้อเฟื้อสนิทสนมเป็นกันเองกับข้าราชการและประชาชนทั่วไปอย่างไม่ถือพระองค์ ทรงเสียสละเพื่อความสุขของประชาชนทั่วไปมามาก เป็นที่รักใคร่ของชนแทบทุกชั้น ความรักนับถือพี่แดงอาจจูงใจให้รักเชื้อสายของพี่แดงด้วย จะได้เป็นผลดีแก่บ้านเมือง”
เท่ากับว่าทรงหวังว่าการสละราชสมบัตินั้น อย่างน้อยจะอำนวยให้สถาบันพระมหากษัตริย์คงอยู่คู่สยาม และพระมหากษัตริย์ผู้ทรงครองราชย์สมบัติต่อๆมาจะได้ทรงสานต่อพระราชปณิธาน
“พี่แดง” ก็คือ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกในรัชกาลที่ 8 และที่ 9 นั่นเอง
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงรับราชสมบัติใหม่ๆในพ.ศ. 2489 พระสหายชาวอเมริกันของสมเด็จพระมหิตลาฯได้มีหนังสือกราบบังคมทูลแนะนำพระองค์ให้ “ทรงดำเนินตามรอยพระวิถีแห่งทูลกระหม่อมพ่อ คือการอุทิศพระองค์อย่างไม่ทรงเห็นแก่พระองค์เอง เพื่อประเทศและประชาชนของพระองค์...หากจะทรงหลีกเลี่ยงความอับปาง เข็มทิศของพระองค์จะต้องเสถียรมั่นอยู่บนคุณความดีแท้ และความซื่อตรงแน่วแน่ในพระราชหฤทัย...”
ทรงตอบเขาไปว่า “ข้าพเจ้าจะพยายามไม่ท้อถอย...และจะพยายามทำสุดความสามารถ”
ชาวอเมริกันท่านนั้นคือ พระยากัลยาณไมตรี (ดร.ฟรานซิส บี.แซร์) อดีตที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศของรัฐบาลสยาม ผู้ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชหัตถเลขาถึง ทรงหารือเกี่ยวกับ “ปัญหาต่างๆของสยาม”เป็นที่มาของ “ร่างรัฐธรรมนูญ” ที่เขาทูลเกล้าถวายในพ.ศ. 2469
เมื่อต้นรัชกาลที่ 9 รัฐบาลในสมัยนั้นไม่ได้แยแสกับพระราชดำริใดๆ พระองค์ได้ทรงไว้ซึ่งพระขันติธรรม ทรงเลี่ยงที่จะขัดแย้งกับรัฐบาล กลับทรงใช้พระอัจฉริยภาพส่วนพระองค์ในอันที่จะทรงครองใจราษฎร์หมู่เหล่าทั้งหลายอย่างค่อยเป็นค่อยไป มีการดนตรี การวิทยุกระจายเสียง การบรรเทาทุกข์ และการทดลองการชลประทานขนาดย่อม เป็นต้น พระบารมีจึงค่อยๆเพิ่มพูนขึ้น ส่งผลให้หลายปีต่อมา รัฐบาลยอมรับฟังและนำพระราชดำริต่างๆไปสู่การปฏิบัติ จนกลายเป็นที่แซ่ซร้องกันมากในภายหลัง
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถของพระองค์มีพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2526 ว่า องค์ภูมิพลรับสั่งกับพระองค์ว่า
“เราต้องตอบแทนความรักของประชาชนด้วยการกระทำมากกว่าพูด ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ จะบำบัดความทุกข์ของเขา เพราะเขาเป็นหลักพึ่งพาของพระมหากษัตริย์ตลอดมา ประชาชนเป็นมิตรของพระมหากษัตริย์ มิตรนี้ในความหมายที่แท้จริง คือ ผู้ที่เอื้อเฟือ อย่างกว้างขวาง และพระมหากษัตริย์ไม่เป็นภัยแก่ประชาชน”
ด้วยพระราชปณิธานเช่นนี้เองที่องค์ภูมิพลได้ทรงสานต่ออย่างสร้างสรรค์พระราชประสงค์จำนง หมายของทูลกระหม่อมอาประชาธิปกของพระองค์
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น