ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การเสด็จประพาสต่างประเทศของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยูู่หัว

 

การเสด็จประพาสต่างประเทศของรัชกาลที่ 7 และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี

          




การเสด็จพระราชดำเนินต่างประเทศ รวม 4 ครั้ง คือ

           1. เสด็จพระราชดำเนินเยือนสิงคโปร์ ชวา และบาหลี ระหว่าง วันที่ 31 กรกฎาคม -11 ตุลาคม พ.ศ. 2472

           2. เสด็จพระราชดำเนินเยือนอินโดจีนของฝรั่งเศส (เวียดนาม และกัมพูชา) ระหว่าง วันที่ 6 เมษายน - 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2473

           3. เสด็จพระราชดำเนินเยือนญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และแคนาดา ระหว่าง วันที่  6 เมษายน -28 กันยายน พ.ศ. 2474

          4. เสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรป ระหว่าง วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2476 (2477) -27 สิงหาคม พ.ศ. 2477                 







  ครั้งแรก สิงคโปร์  ชวา และบาหลี พ.ศ. 2472[1]

                      พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสสิงคโปร์  ชวา  และบาหลี ระหว่างวันที่ 31กรกฎาคม ถึง 11 ตุลาคม พ.ศ. 2472 ทอดพระเนตรโบราณสถาน  พิพิธภัณฑ์ บ้านเมือง เช่น ปัตตาเวีย  ศิลปะ  เช่น ดนตรี ระบำชวา  เกษตรกรรม  เช่น  การทำไร่ชา  สวนยาง  ไร่กาแฟ  อุตสาหกรรมการทำสบู่  โรงไฟฟ้าพลังน้ำ  โรงกลั่นยาง  โรงงานทำยาควินิน  โรงงานทำปืน  โรงพยาบาล    โรงงานทำน้ำตาล  บ่อน้ำมัน  และ  โรงงานทำผ้าบาติก

 

                                




                                      ครั้งที่สอง อินโดจีนฝรั่งเศส พ.ศ. 2473 [2]

          พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสอินโดจีนฝรั่งเศส  ได้แก่  ญวน (เวียดนาม) และ เขมร (กัมพูชา)  ระหว่างวันที่ 6 เมษายน ถึง 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2473 ทรงวางพวงมาลาที่อนุสาวรีย์ทหารผ่านศึกไซ่ง่อนและทอดพระเนตรสถานที่สำคัญของไซ่ง่อน เช่น พิพิธภัณฑ์  โรงพยาบาล  โรงเรียน  เสด็จเมืองเว้  ทอดพระเนตรภาพยนตร์ญวน  ทรงเยี่ยมชมสภาการตรวจทางทะเล  ซึ่งทำงานตรวจสอบพันธุ์ปลา  และสัตว์ทะเลที่เป็นอาหาร  ทอดพระเนตรวิธีการทำน้ำปลา  การทำแป้งจากปลา  เสด็จเมืองดาลัต  ทอดพระเนตรการแสดงของพวกมอยซึ่งเป็นชาวป่าในญวนและเสด็จฟาร์มโคนมซึ่งทำการเกษตรแบบผสมผสาน คือเลี้ยงโคและปลูกพืชผักผลไม้ต่างๆ

          หลังจากเสด็จประพาสญวน (เวียดนาม)  ได้เสด็จพระราชดำเนินต่อโดยทางรถยนต์ไปเขมร(กัมพูชา) ทอดพระเนตรโบราณสถานนครวัด  นครธม  พระองค์ทรงแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้านดนตรีโดยโปรดเกล้าฯ ให้หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ตามไปสมทบเพื่อเรียนรู้เรื่องดนตรีของเขมรและเผยแพร่ดนตรีไทย หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้พระราชนิพนธ์เพลงไทยสำเนียงเขมร ชื่อว่า เขมรละออองค์ในพ.ศ. 2473




         ครั้งที่สาม ญี่ปุ่น  สหรัฐอเมริกา  และแคนาดา พ.ศ. 2474 [3]   

การเสด็จประพาสญี่ปุ่น  สหรัฐอเมริกา  และแคนาดาระหว่างวันที่ 6 เมษายน ถึง 12 กันยายน พ.ศ. 2474  พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนมัสการพระพุทธรูปไดบุตสุซึ่งเป็นพระพุทธรูปสำริดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ เมืองกามากุระ  และเสด็จพระราชดำเนินโดยเรือพระที่นั่งมหาจักรีไปสหรัฐอเมริกาเพื่อทรงรับการผ่าตัดพระเนตรต้อกระจกในสหรัฐอเมริกา  และประทับที่คฤหาสน์โอฟีร์ ฮอล เป็นของนางไวท์ลอรีด  ภริยาเอกอัครราชทูตอเมริกันประจำอังกฤษจัดถวายที่รัฐนิวยอร์ก  ทรงรับปริญญานิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์  มหาวิทยาลัยยอร์ช วอชิงตัน  และทอดพระเนตรความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เช่น ห้องทดลองเครื่องไฟฟ้าของบริษัทเยเนอรัล อีเลคทริก  นิวยอร์ก  กิจการทหาร และการเจริญสัมพันธไมตรี

          การเสด็จประพาสแคนาดาเป็นการส่วนพระองค์ทางรถไฟ  ทอดพระเนตรการแข่งขันตกปลาแซลมอน  การแข่งกีฬาในที่สูง  เป็นต้น 

         ครั้งที่สี่ ยุโรป 9 ประเทศ ระหว่าง พ.ศ.2476-2477[4]

          พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปเพื่อทรงรับการผ่าตัดพระเนตรครั้งที่สองที่ประเทศอังกฤษ  ตั้งแต่วันที่ 12มกราคม พ.ศ. 2476  ถึง พ.ศ. 2477  ทอดพระเนตรความเจริญก้าวหน้าในประเทศยุโรป  คือ  อังกฤษ  ฝรั่งเศส  อิตาลี เยอรมนี เช็คโกสโลวาเกีย เดนมาร์ก เปลเยี่ยม ฮังการี สวิสเซอร์แลนด์  การเสด็จประพาสครั้งนี้นับเป็นครั้งสุดท้ายในพระราชสถานภาพพระมหากษัตริย์  เพราะวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 ก็ทรงสละราชสมบัติขณะที่ประทับที่พระตำหนักโนล  ประเทศอังกฤษ  และมิได้เสด็จกลับประเทศไทยอีกจวบจนเสด็จสวรรคต

           สัมพันธไมตรีกับประเทศอังกฤษ

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นนักเรียนเก่า และนายทหารของประเทศอังกฤษทำให้ทรงรู้สึกคุ้นเคยและไว้พระทัยมากกว่าประเทศยุโรปอื่น ด้วยเหตุผลทางด้านวัฒนธรรม จึงทรงเลือกเมืองลอนดอนให้เป็นที่รักษาพระทนต์และพระเนตร และท้ายที่สุดทรงเลือกประเทศอังกฤษเป็นที่ประทับหลังจากทรงสละราชสมบัติด้วย 

ในด้านการเมืองการปกครอง เป็นที่น่าสังเกตว่าทรงสนพระทัยศึกษาระบอบการปกครองของประเทศยุโรปอย่างมาก ทั้งระบอบการปกครองที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขโดยได้เสด็จฯ ไปทอดพระเนตรห้องประชุมสภาขุนนาง (House of Lords) และที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร (House of Commons) (8 พฤษภาคม ค.ศ. 1934) ที่กรุงลอนดอน แล้วได้เสด็จฯ ประทับฟังการประชุมที่ปรึกษาข้อราชการที่สภาจนถึงเวลา 16.00 นาฬิกา

 สัมพันธไมตรีกับสาธารณรัฐฝรั่งเศส

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรื้อฟื้นสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศสผ่านกัมพูชาและเวียดนามที่กลายเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส นับเป็นการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศเพื่อนบ้านด้วยโดยทางอ้อมในการเสด็จเยือนอินโดจีนของฝรั่งเศสในปีพ.ศ. 2473 แม้ว่าจะเกิดเหตุร้ายหลายครั้งในเวียดนาม คือ 26 เมษายน พ.ศ. 2473 เกิดเหตุรถไฟตกรางแต่เผอิญไม่ชนกับกระบวนเสด็จ คล้ายกับเป็นการก่อวินาศกรรมเพื่อประทุษร้ายรัชกาลที่ 7 โดยกลุ่มผู้ก่อการปฏิวัติญวนเพื่อเรียกร้องความสนใจและสร้างความยุ่งยากให้แก่ฝ่ายฝรั่งเศส รวมทั้งยังมีอุบัติเหตุรถยนต์ชนราวสะพาน 19 เมษายน พ.ศ. 2473  ไม่มีผู้ใดเป็นอันตราย แต่เหตุวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2473 บนเส้นทางสู่เมืองกัมปงจาม ประเทศกัมพูชา ทำให้คุณหญิงมโนปกรณ์นิติธาดาเสียชีวิต ณ ประเทศกัมพูชา

การเสด็จประพาสกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสพ.ศ. 2477 เป็นเวลา 20 วันได้รับการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติยศจาก ประธานาธิบดี Albert Lebrun แห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสและภริยา จัดงานเลี้ยงถวายพระกระยาหารกลางวัน ณ พระราชวัง Elysée  พร้อมบุคคลสำคัญมากมาย พระราชกรณียกิจด้านวัฒนธรรม ได้แก่ การทอดพระเนตรพระราชวังแวร์ซายส์ การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมชมร้านค้า พิพิธภัณฑ์ และโรงเรียนเสนาธิการ Ecole de Guerre ที่ทรงเคยศึกษาเช่นเดียวกับพระราชกรณียกิจในประเทศอังกฤษที่ทรงเสด็จเยี่ยมสถานศึกษาที่เคยเรียนและพระสหายเก่า

 สัมพันธไมตรีระหว่างประเทศอิตาลีและประเทศเยอรมนี

การเจริญสัมพันธไมตรีกับอิตาลีและ เยอรมนีในมิติใหม่ คือ การเสด็จศึกษาดูงานของฟาสซิสต์และนาซึอย่างละเอียดทั้งเวลาเช้า กลางวันและเย็น และทรงพบและวิสาสะกับคนสำคัญในราชการเป็นอันมาก  ซึ่งรัชกาลที่ 7 ทรงสนพระทัยศึกษาในลัทธิชาตินิยมในด้านการฝึกฝนเยาวชนให้มีคุณภาพ ต้องเน้นความพร้อมและความสมดุลย์ของทั้งร่างกายที่แข็งแรงและจิตใจที่เข้มแข็งซึ่งสอดคล้องกับพระราชดำริในด้านการศึกษา “สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดโดยการเตรียมการศึกษาให้พร้อมกับระบอบการปกครองอย่างใหม่ และทรงเห็นว่า “ควรเตรียมการที่จะเปลี่ยนเป็น “constitutional Monarchy” มากกว่าระบอบอื่นใด

การปกครองระบอบฟาสซิสที่ประเทศอิตาลีและเยอรมนีอันเป็นระบอบการปกครองใหม่ในยุโรปช่วงนั้น ก็สนพระราชหฤทัยอย่างจริงจังเช่นกัน เมื่อเสด็จถึงกรุงโรม 12 มีนาคม -4 เมษายน พ.ศ. 2477 โดยรถไฟพระที่นั่ง (12 มีนาคม ค.ศ.2477 เวลา 9 นาฬิกา) ได้มีพระราชปฏิสันถารกับสมเด็จพระบรมโอรสมกุฎราชกุมารซึ่งเสด็จมาแทนพระเจ้าแผ่นดินอิตาลีพร้อมข้าราชการในพระราชสำนักและมุสโสลินี นายกรัฐมนตรี ระหว่างประทับที่กรุงโรม ทรงเยี่ยมทอดพระเนตรโรงเลี้ยงเด็ก ทั้งได้ทรงเยี่ยมกองบัญชาการคณะฟาสซิส ทอดพระเนตรห้องประชุมกรรมการห้องสมุด ห้องเครื่องพิมพ์และการโฆษณา ห้องวิทยาศาสตร์ สถิติ เสด็จประทับในห้องทำการของปลัดบัญชาการ รับสั่งถามข้อความเรื่องวิธีจัดกองฟาสซิสเป็นเวลานาน (13 มีนาคม พ.ศ. 2477) ทอดพระเนตรมิลิเซีย ฟาสซิสต์หรือกองอาสาสมัครรักษาดินแดนของคณะฟาสซิสต์ พิพิธภัณฑ์แสดงประวัติของคณะฟาสซิสต์ (14 มีนาคม พ.ศ.2477) รวมเวลาประทับอยู่ในประเทศอิตาลีถึงเกือบ 1 เดือน

ประเทศเยอรมนีเช่นเดียวกับที่ประเทศอิตาลี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีรำไพพรรณีฯเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศเยอรมนีนานถึง 3 สัปดาห์ ระหว่าง 2 กรกฎาคม – 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2477 โดยได้ทรงเยี่ยมประธานาธิบดีฮินเดนบวร์กที่มาเรียนบาด (Marienbad) ซึ่งเป็นเมืองพักฟื้น

 สัมพันธไมตรีกับประเทศเดนมาร์ก

ประเทศเดนมาร์ก ระหว่าง 23 มิถุนายน- 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2477 ทรงทอดพระเนตรกิจการทางด้านเกษตร ฟาร์มโคนม การทำเนยอ่อน โรงผลิตเครื่องลายครามที่มีชื่อเสียงของเดนมาร์ก โรงกลั่นเบียร์คาร์สเบิร์ก (Carlsberg) ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเบียร์แห่งแรกของประเทศเดนมาร์ก (ได้ทรงสนับสนุนให้ “บุญรอด” ตั้งโรงเบียร์ในสยามก่อนหน้านั้น) ทอดพระเนตรท่าด่านภาษี โรงงานทำไฟฟ้า โรงเก็บน้ำมันเบนซิน โรงเก็บถ่านศิลา โรงพักสินค้า และทรงประทับเรือไปตามอู่และท่าเรือใหญ่น้อยในเดนมาร์ก ซึ่งน่าจะเป็นตัวอย่างสำหรับการสร้างท่าเรือคลองเตยในประเทศสยาม กับได้ทอดพระเนตรกิจการของโรงพิมพ์บลังแตง (Musée Plantin) อันเป็นโรงพิมพ์เก่าแก่ของเดนมาร์กอยู่ในความดูแลรักษาไว้เป็นพิพิธภัณฑ์สถาน โดยเจ้าชายอักเซลและพระชายานำเสด็จพระราชดำเนิน

 สัมพันธไมตรีกับประเทศเบลเยี่ยม

ประเทศเบลเยียม กรุงบรัสเซลส์ 26 -28 กรกฎาคม พ.ศ. 2477 แม้ว่าเบลเยี่ยมจะเป็นประเทศเล็กแต่มีการค้าขายลงทุนมาก  พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จลงเรือแล่นตามท่าเรือทอดพระเนตรกิจการท่าเรือและเรือสินค้ามากมาย รวมทั้งทอดพระเนตรการสร้างอุโมงค์ลอดใต้แม่น้ำอีกด้วย

สัมพันธไมตรีกับประเทศเชคโกสโลวาเกีย

ประเทศเชคโกสโลวาเกีย  29 กรกฎาคม –7 สิงหาคม พ.ศ. 2477  เสด็จพระราชดำเนินเยือนโรงงานผลิตแก้วที่มีชื่อเสียงชื่อ Bohemia-Moser ที่ Dvoryโรงบ่อน้ำแร่และน้ำร้อน ทั้งได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนโรงงานผลิตรถยนต์โกดา ที่ Plzeň ในวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2477 ซึ่งโรงงานแห่งนี้ ผลิตเครื่องเหล็กหลายอย่าง (แบบเดียวกับผลิตภัณฑ์ของโรงงานครุปป์ในเยอรมนี) รวมทั้งผลิตอาวุธและอุปกรณ์รบหลายอย่างด้วย สำหรับการผลิตอาวุธนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวต้องพระประสงค์ที่จะทอดพระเนตรและฝ่ายสยามได้แจ้งไปยังประเทศเจ้าภาพก่อนหน้าแล้วแต่พระองค์มิได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนโรงงานเครื่องหนังและรองเท้าบาจา (BAŤA) ที่โมราเวีย เมือง Zlíně และ Zbrojovka กับ Arsenal enterprise ที่ Brno ตามหมายกำหนดการเดิมในวันที่ 3 สิงหาคม เนื่องจากทรงอ่อนกำลังพระวรกายจากที่มีการเปลี่ยนหมายกำหนดการอยู่หลายต่อหลายครั้ง (บาจา ได้เข้ามาค้าขายในสยามตั้งแต่ พ.ศ. 2473) นอกจากนี้ยังมีกิจการโรงงานน้ำตาล กิจการด้านเกษตรกรรมที่ประเทศเชคโกสโลวาเกีย และที่ประเทศฮังการี 8 สิงหาคม-16 สิงหาคม พ.ศ. 2477ทอดพระเนตรงานด้านเกษตรและการผสมสัตว์ โรงมวนบุหรี่ กับกิจการของโรงงานบริษัท สแตนดาร์ด เวอร์กส์ (Standard Works) ทำเครื่องไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้า

จะเห็นได้ว่า กิจการหลายประการที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จทอดพระเนตรในยุโรปนับเป็นการศึกษาดูงานทั้งเรื่องการเมืองการปกครอง การสหกรณ์ การเกษตร การปศุสัตว์ การท่าเรือ การศึกษา การค้า รวมถึงความเจริญของโรงงานอุตสาหกรรมหลายประเภท การเสด็จประพาสยุโรปครั้งนี้จึงแสดงถึงนัยอย่างสำคัญในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างกว้างขวาง



[1] ศึกษารายละเอียดจากรายงานวิจัยเรื่อง ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เยือนสิงคโปร์ ชวา และบาหลี พ.ศ. 2472 โดย นางอิ่มทิพย์ ปัตตะโชติ ซูฮาร์โต เสนอ สถาบันพระปกเกล้า พ.ศ. 2558.

[2] ศึกษารายละเอียดจากรายงานวิจัยเรื่อง การเสด็จประพาสอินโดจีนของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2473 โดย นางฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร เสนอ สถาบันพระปกเกล้า พ.ศ. 2558.

[3] ศึกษารายละเอียดจากรายงานวิจัยเรื่อง การศึกษาเอกสารชั้นต้นภาษาต่างประเทศ สมัยรัชกาลที่ 7 ศึกษากรณี การเสด็จประพาสต่างประเทศ เรื่อง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสสหรัฐอเมริกา แคนาดา และญี่ปุ่น พ.ศ. 2474 โดย นางสาวภาพิศุทธิ์ สายจำปา เสนอ สถาบันพระปกเกล้า พ.ศ. 2558.

[4] ศึกษารายละเอียดจาก รายงานวิจัยเรื่อง การเสด็จประพาสยุโรปของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2476-2477 โดย ศาสตราจารย์ ดร. พรสรรค์ วัฒนางกูร เสนอ สถาบันพระปกเกล้า พ.ศ. 2559 และหนังสือจดหมายเหตุเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรป พ.ศ. 2476-2477 ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (2526) เรียบเรียงโดยพลโท พระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกริ(ม.ร.ว. สิทธิ์ สุทัศน์)  ผู้บันทึกรวบรวมทั้งหมด 16 ตอน  พิมพ์เป็นอนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พลตรีปชา สิริวรสาร เมื่อ 12 พฤศจิกายน 2526.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัย : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว - 26 พฤศจิกายน 2468   : สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนศุโขทัยธรรมราชาเสด็จขึ้นครองราชย์ - 25 กุมภาพันธ์ 2468 :  พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาพระวรชายาเป็นสมเด็จพระบรมราชินี และเสด็จไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถาน (ร.7 พระชนม์ 32 พรรษา,สมเด็จฯ 21 พรรษา) -6 มกราคม -5 กุมภาพันธ์ 2469 : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า รำไพ พรรณีฯ เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพเพื่อเยี่ยมราษฎร -16 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2470 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก -24 มกราคม - 11 กุมภาพันธ์ 2471: เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลภูเก็ต -10 เมษายน-12 เมษายน 2472 : พระราชพิธีราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุข สวนไกลกังวล -พฤษภาคม 2472  : เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลปัตตานี (ทอดพระเนตรสุริยุปราคา) -31 กรกฎาคม -11 ตุลาคม 2472 : เสด็จพระราชดำเนินเยือน สิงคโปร์ ชวา บาหลี -6 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2473 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนอินโดจีน -6 เมษายน - 9 เมษายน 2474 : เสด็จฯเยือนสหรัฐอเมริกาและญี่

ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมสมัยรัชกาลที่ 7

                                                                                                                                   ฉัตรบงกช   ศรีวัฒนสาร [1]                 องค์ประกอบสำคัญในการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของสังคมมนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยสภาวะความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงเป็นพลังสำคัญ ในทัศนะของ อริสโตเติล ( Aristotle) นักปรัชญากรีกโบราณ   ระบุว่า   ศิลปะทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นดนตรี   การแสดง   หรือ ทัศนศิลป์   ล้วนสามารถช่วยซักฟอกจิตใจให้ดีงามได้   นอกจากนี้ในทางศาสนาชาวคริสต์เชื่อว่า   ดนตรีจะช่วยโน้มน้าวจิตใจให้เกิดศรัทธาต่อศาสนาและพระเจ้าได้     การศรัทธาเชื่อมั่นต่อศาสนาและพระเจ้า คือ ความพร้อมที่จะพัฒนาการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ [2]                 ราชบัณฑิตยสถานอธิบายความหมายของศิลปะให้สามารถเข้าใจได้เป็นสังเขปว่า “ศิลปะ(น.)ฝีมือ,   ฝีมือทางการช่าง,   การแสดงออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์เห็น โดยเฉพาะหมายถึง วิจิตรศิลป์ ” [3] ในที่นี้วิจิตรศิลป์ คือ ความงามแบบหยดย้อย   ดังนั้น คำว่า “ศิลปะ” ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถานจึงหมายถึงฝีมือทางการช่างซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา

ห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพ

  ขอบคุณภาพจากพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และขอบคุณเนื้อหาจาก รศ.วุฒิชัย  มูลศิลป์ ภาคีสมาชิกสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง  ราชบัณฑิตยสถาน        พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน รศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี  พระอรรคราชเทวี (ต่อมาคือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ  และสมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ  พระบรมราชชนนี ตามลำดับ)  โดยทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ของสมเด็จพระนางเจ้าฯและองค์ที่ 76 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว     ในห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพนี้  ประเทศไทยหรือในเวลานั้นเรียกว่าประเทศสยาม หรือสยามเพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่มาได้เพียง 1 เดือน 5 วัน  คือ วิกฤตการณ์สยาม ร. ศ. 112 ที่ฝรั่งเศสใช้กำลังเรือรบตีฝ่าป้อมและเรือรบของไทยที่ปากน้ำเข้ามาที่กรุงเทพฯได้  และบีบบังคั