ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี

<
เมื่อสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา และหม่อมเจ้าหญิง รำไพพรรณี พระชายา เสด็จฯกลับเมืองไทยนั้นแม้ไม่ทรงคาดคิดหรือคาดหวังว่าจะต้องทรงดำรงตำแหน่งพระรัชทายาท แต่สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนสุโขทัยธรรมราชาก็ทรงรับพระราชภาระงานราชการสนองพระเดชพระคุณเป็นอย่างดี ทรงได้เลื่อนพระยศเป็นนายพันเอกในตำแหน่งปลัดกรมเสนาธิการทหารบก ผู้บัญชาการกองพลทหารบกที่ ๒ ผู้บังคับการพิเศษกรมทหารบกปืนใหญ่ที่ ๒ และเลื่อนพระอิสริยยศทรงกรมขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๔๖๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๗ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๖๘ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี พระวรราชชายา ขึ้นเป็นสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เป็นการสถาปนาพระราชอิสริยยศสมเด็จพระบรมราชินีในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ ประกาศสถาปนามีความตอนหนึ่งว่า ....ตั้งแต่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอภิเษกกับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีมา ได้ทรงประจักษ์แจ้งความจงรักของหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี อันมีต่อพระองค์ ได้ตั้งพระราชหฤทัยสนองพระเดชพระคุณทั้งปฏิบัติวัฏฐากในเวลาเมื่อทรงเป็นสุขสำราญและรักษาพยาบาลในเวลาเมื่อทรงประชวร แม้เสด็จไปประทับอยู่ในทุระสถานต่างประเทศ ก็อุตสาหโดยเสด็จติดตามไปมิได้ย่อท้อต่อความลำบากควรนับว่าได้เคยเป็นคู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเป็นนิรันดร จะหาผู้อื่นมาเสมอเหมือนมิได้ เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติก็สมควรที่จะทรงสถาปนาหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีขึ้นเป็นสมเด็จพระอัครมเหสี เพราะความชอบความดีซึ่งได้มีต่อพระองค์มาแต่หนหลัง... The Investiture as Queen Upon their return to Siam, the Prince unpreparedly found himself heir to the throne. Then, on November 26, 1925, H.M. King Vajiravudh (Rama VI) passed away and H.R.H. Prince Prajadhipok, the Prince of Sukhodaya, suddenly had to ascend the throne. At the Coronation of H.M. King Prajadhipok as Rama VII of the Chakri (Bangkok) Dynasty on February 25, 1926, the King ordered an addition to the otherwise customary proceedings, namely, a part to raise M.C. Rambhai Barni, his sole consort, to sovereign rank. This was the first time in the Bangkok period for there to be an investiture of a queen at the coronation. The proceeding occurred in the afternoon of the day. The proclamation of investiture referred to the Princess’s evidently resolute and unsurpassed loyalty to His Majesty, her attendance to his wishes in sickness and in health, and also to his happiness. Such being the case, His Majesty saw it fit to proclaim her ‘Her Majesty Queen Rambhai Barni’, elevating her to full honour as Queen according to law and custom. The King then anointed Her Majesty with consecrated water from the royal conch and invested her with objects of rank. The Queen now sat beside His Majesty. From then on, she resolutely joined him in all activities, large and small, on almost all occasions. สมเด็จพระบรมราชินีคู่พระบารมีอาทรราษฎร์ ธรรมเนียมปฏิบัติซึ่งสมเด็จพระมหากษัตราธิราชโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระอัครมเหสีโดยเสด็จฯ เพื่อทรงปฏิบัติพระราชกิจอย่างเป็นทางการ เริ่มมีมาแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ได้เสด็จฯไปประกอบพระราชกรณียกิจเคียงข้างพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งในพระราชอาณาจักร และในการเสด็จฯ ไปเจริญพระราชไมตรีกับนานาประเทศ การเสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนี้ โปรดเกล้าฯ ให้ท้าวนางฝ่ายในซึ่งปฏิบัติงานในเขตพระราชฐานชั้นในได้ตามเสด็จพระราชดำเนิน รวมทั้งโปรดเกล้าฯ ให้มีตำแหน่งผู้ถวายงานสมเด็จพระบรมราชินี เมื่อมีงานพระราชพิธี งานพิธี และตามเสด็จพระราชดำเนินไปในที่ ต่างๆ อย่างเป็นทางการ ประกอบด้วย ตำแหน่งนางสนองพระโอษฐ์ และนางพระกำนัล ซึ่งทรงคัดเลือกจากเชื้อพระวงศ์และบุตรหลานข้าราชการผู้ใหญ่ที่ทรงคุ้นเคย ตลอดรัชสมัยที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำรงอยู่ในสิริราชสมบัติ สมเด็จพระบรมราชินีตามเสด็จฯไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการทั้งในพระนคร ประกอบด้วยงานพระราชพิธี งานพิธี และการเสด็จฯไปในงานต่าง ๆ เช่น กิจกรรมของสภากาชาดสยาม กิจกรรมด้านการศึกษา กิจกรรมกีฬา และโดยเสด็จพระราชดำเนินไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจในหัวเมืองต่างๆ
In His Majesty’s Footsteps Though Queens since the Fifth Reign had accompanied Kings to royal engagements, the practice became decidedly regular in the Seventh Reign. Departing from time honoured tradition, H.M. King Prajadhipok and H.M. Queen Rambhai Barni did not have separate residences. Neither did the King have other wives. He accorded her all the dignity of his one and only consort. Fusing tradition with modernity was also evident in the royal appointment of ladies–in–waiting and maids–of–honour. They were wives and daughters of princes and nobles respectively. Whereas earlier, female attendants to the Queen only served within the palace, the modern version accompanied her outside and on trips upcountry and abroad. Not only did she attend all royal ceremonies at his side, she also went with him to a variety of social activities. These were related to health, education and sport, for instance.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัย : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว - 26 พฤศจิกายน 2468   : สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนศุโขทัยธรรมราชาเสด็จขึ้นครองราชย์ - 25 กุมภาพันธ์ 2468 :  พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาพระวรชายาเป็นสมเด็จพระบรมราชินี และเสด็จไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถาน (ร.7 พระชนม์ 32 พรรษา,สมเด็จฯ 21 พรรษา) -6 มกราคม -5 กุมภาพันธ์ 2469 : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า รำไพ พรรณีฯ เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพเพื่อเยี่ยมราษฎร -16 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2470 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก -24 มกราคม - 11 กุมภาพันธ์ 2471: เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลภูเก็ต -10 เมษายน-12 เมษายน 2472 : พระราชพิธีราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุข สวนไกลกังวล -พฤษภาคม 2472  : เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลปัตตานี (ทอดพระเนตรสุริยุปราคา) -31 กรกฎาคม -11 ตุลาคม 2472 : เสด็จพระราชดำเนินเยือน สิงคโปร์ ชวา บาหลี -6 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2473 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนอินโดจีน -6 เมษายน - 9 เมษายน 2474 : เสด็จฯเยือนสหรัฐอเมริกาและญี่

ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมสมัยรัชกาลที่ 7

                                                                                                                                   ฉัตรบงกช   ศรีวัฒนสาร [1]                 องค์ประกอบสำคัญในการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของสังคมมนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยสภาวะความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงเป็นพลังสำคัญ ในทัศนะของ อริสโตเติล ( Aristotle) นักปรัชญากรีกโบราณ   ระบุว่า   ศิลปะทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นดนตรี   การแสดง   หรือ ทัศนศิลป์   ล้วนสามารถช่วยซักฟอกจิตใจให้ดีงามได้   นอกจากนี้ในทางศาสนาชาวคริสต์เชื่อว่า   ดนตรีจะช่วยโน้มน้าวจิตใจให้เกิดศรัทธาต่อศาสนาและพระเจ้าได้     การศรัทธาเชื่อมั่นต่อศาสนาและพระเจ้า คือ ความพร้อมที่จะพัฒนาการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ [2]                 ราชบัณฑิตยสถานอธิบายความหมายของศิลปะให้สามารถเข้าใจได้เป็นสังเขปว่า “ศิลปะ(น.)ฝีมือ,   ฝีมือทางการช่าง,   การแสดงออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์เห็น โดยเฉพาะหมายถึง วิจิตรศิลป์ ” [3] ในที่นี้วิจิตรศิลป์ คือ ความงามแบบหยดย้อย   ดังนั้น คำว่า “ศิลปะ” ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถานจึงหมายถึงฝีมือทางการช่างซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา

ห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพ

  ขอบคุณภาพจากพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และขอบคุณเนื้อหาจาก รศ.วุฒิชัย  มูลศิลป์ ภาคีสมาชิกสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง  ราชบัณฑิตยสถาน        พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน รศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี  พระอรรคราชเทวี (ต่อมาคือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ  และสมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ  พระบรมราชชนนี ตามลำดับ)  โดยทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ของสมเด็จพระนางเจ้าฯและองค์ที่ 76 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว     ในห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพนี้  ประเทศไทยหรือในเวลานั้นเรียกว่าประเทศสยาม หรือสยามเพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่มาได้เพียง 1 เดือน 5 วัน  คือ วิกฤตการณ์สยาม ร. ศ. 112 ที่ฝรั่งเศสใช้กำลังเรือรบตีฝ่าป้อมและเรือรบของไทยที่ปากน้ำเข้ามาที่กรุงเทพฯได้  และบีบบังคั