ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

จุดเริ่มต้นของความเสมอภาคทางการศึกษาระหว่างหญิงกับชายในสมัยรัชกาลที่ 7

เนตรนารีวัฒนาวิทยาลัยที่สืบเนื่องมาจากวังหลัง เป็นนักเรียนระหว่างชั้นมัธยม 3-7 พ.ศ. 2463 (ภาพจาก นิตยสารวัฒนาวิทยาลัย)
ในช่วงต้นของรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 นั้น ความเสมอภาคทางสังคมระหว่างหญิงกับชายยังไม่เท่าเทียมกันในหลายด้าน เช่น กว่าที่สตรีสยามจะได้ไปเรียนต่อต่างประเทศนั้น มีความเป็นมาที่ยากลำบากเพียงไร พบจากพระราชบันทึกของรัชกาลที่ 7 เรื่องของการที่หม่อมเจ้าผู้หญิงจะออกไปศึกษาต่อต่างประเทศนั้น รัชกาลที่ 7 ทรงให้ความสนพระทัยมากในเรื่องการดำรงรักษาพระเกียรติยศ ดังพระราชบันทึก “ความเห็นของข้าพเจ้าในเรื่องหม่อมเจ้าหญิงทูลลาไปเล่าเรียนในต่างประเทศ” มีใจความสำคัญว่า ไม่ทรงขัดข้องหากหม่อมเจ้าหญิงจะไปต่างประเทศพร้อมกับญาติผู้ใหญ่ เช่น บิดา มารดา หรือพี่ชายที่เป็นผู้ใหญ่ซึ่งพาครอบครัวไปด้วยตลอดจนญาติสนิท แต่ไม่ทรงเห็นด้วยหากจะไปอยู่ตามลำพัง เนื่องจากเหตุผลที่สะท้อนถึงจารีตของไทยหรือแม้แต่ค่านิยมในประเทศตะวันตกต่างให้ความสำคัญเรื่องการรักษาเกียรติยศเป็นอย่างยิ่ง ความว่า “ 1. ในชั้นต้นข้าพเจ้าสงสัยเสียแล้วว่า การที่ให้หม่อมเจ้าผู้หญิงไปเล่าเรียนที่ต่างประเทศนั้น จะทำให้หม่อมเจ้าหญิงผู้นั้นมีความสุขสบายมากกว่าไม่ได้ไปหรือ การไปอยู่ต่างประเทศนั้นมัก ไปอยู่อย่างสามัญ ได้สมาคมกับคนทุกชั้นฐานกันเอง ได้เที่ยวสนุกสนานต่าง ๆ อย่างที่เรียกว่า “free” ครั้นกลับเข้ามาเมืองไทยจะ“free” อย่างนั้นหาได้ไม่ ถ้าหาสามีไม่ได้ก็ต้องอยู่ในที่บีบ คั้นพอใช้ วิชาที่เรียนมาก็จะใช้ได้แต่บางอย่าง เช่น เลี้ยงเด็ก เป็นครู และการพยาบาล... 2. ผู้หญิงนั้นตามธรรมดาผู้มีตระกูลเขาย่อมสงวนอยู่บ้าง เขาไม่ยอมให้ไปคลุกคลีกับคนทุก ชั้น ยิ่งเจ้าหญิงของประเทศต่าง ๆแล้ว ไม่เคยเห็นเลยที่เขาจะไม่สงวนเกียรติยศตามสมควร ไม่เห็นเขาปล่อยให้เที่ยววิ่งหลกๆเข้ามหาวิทยาลัยโน้นนี้อย่างไร เขามักให้เรียนในบ้าน และอยู่ ในความดูแลของญาติพี่น้องอย่างกวดขัน นี่หม่อมเจ้าผู้หญิงของเราก็ไปอยู่อย่างเลวๆเที่ยววิ่ง หลกๆไปตามเรื่อง ข้าพเจ้าเห็นเป็นการเสียพระเกียรติยศ...” แม้ว่าปัจจุบันการเรียนแบบสหศึกษาเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่เมื่อย้อนกลับไปในอดีต นักเรียนชายหญิงเรียนรวมกันเฉพาะในชั้นเด็กเล็กเท่านั้น ระบบสหศึกษาของประเทศสยามเพิ่งเริ่มขึ้นในช่วงสมัยพระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปีพุทธศักราช 2470 โดยหม่อมเจ้าพูนศรีเกษม เกษมศรี คณบดีคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย และทรงเป็นคณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ในขณะนั้น ทรงมีความเห็นให้รับนักเรียนหญิงที่จบการศึกษาม.8 แผนกวิทยาศาสตร์ เข้าเรียนแพทย์ในจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยได้ ในระยะแรกไม่มีผู้เห็นด้วย เพราะกลัวจะเกิดเรื่องเสื่อมเสียไม่ดีงามขึ้น ผู้สนับสนุนมีเพียงสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรม ขุนสงขลานครินทร์เท่านั้น ดังข้อความในจดหมายที่ทรงมีโต้ตอบกันความว่า “...การรับผู้หญิงเข้าโรงเรียนแพทย์นั้น interest ฉันมาก เพราะเป็นความตั้งใจไว้ว่าถ้ามี โอกาสอยากจะลอง แต่ฉันเองไม่ได้นึกว่าจะได้เห็น เธอเก่งมาก สิ่งไรทั้งหมดต้องลองจึงจะรู้ว่า ทำได้หรือไม่ ...” สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกในรัชกาลที่ 9 ทรงพอพระทัยในการที่หม่อมเจ้าพูนศรีเกษมทรงรับผู้หญิงเข้าเป็นนักเรียนแพทย์ ทูลกระหม่อมฯทรงตั้งพระทัยไว้ว่าถ้ามีโอกาสก็จะทรงลองรับผู้หญิงเข้าเป็นนักเรียนแพทย์ เพราะไม่แน่พระทัยว่าจะได้เห็น เพราะว่าขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยยังไม่อยากให้ผู้หญิงออกมาได้รับการศึกษาเท่าเทียมกับผู้ชาย อาจจะกล่าวได้ว่า ห้วงเวลานั้นเป็นที่ตำหนิติเตียนกันมาก การที่หม่อมเจ้าพูนศรีเกษมกล้าทำและกล้าเสี่ยงต่อการพลิกขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยเท่ากับเป็นการพลิกประวัติศาสตร์ พระบรมราชชนกนาถในรัชกาลที่ 9 ทรงห่วงใยในเรื่องการเรียนการสอน เพราะนักเรียนมัธยมศึกษาแต่เดิมนั้นสอนให้ท่องขึ้นใจมากกว่าการใช้เหตุผล หม่อมเจ้าพูนศรีเกษม เกษมศรีนั้นทรงเป็นกำลังสำคัญในการปรับปรุงการวางรากฐาน การแพทย์ของคณะแพทย์และศิริราชพยาบาลแห่งจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย เพราะหม่อมเจ้าพูนศรีเกษมทรงเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะใช้หมอผู้หญิงเพื่อรักษาโรคของสตรีเอง ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ บิดาแห่งแพทย์แผนไทยประยุกต์ รุ่นบุกเบิกของไทยได้บันทึกไว้เช่นกันว่า ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สมเด็จพระราชบิดา เจ้าฟ้ามหิดล ทรงเจรจากับมูลนิธิรอคกี้เฟลเลอร์ (The Rockefeller Foundation มูลนิธินี้ก่อตั้งเมื่อปีพ.ศ. 2456 เพื่อให้การสนับสนุนด้านการแพทย์และการสาธารณสุขทั่วโลก) ให้เข้ามาช่วยปรับปรุงกิจการแพทย์ของโรงเรียนแพทย์ ขณะนั้นหม่อมเจ้าพูนศรีเกษม เกษมศรีทรงดำรงตำแหน่งคณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ในระยะนี้ทรงประกอบพระกรณียกิจสำคัญ คือ ทรงริเริ่มการสหศึกษาขึ้นในมหาวิทยาลัย โดยทรงรับสตรีเข้าเป็นนิสิตเตรียมแพทย์ จำนวน 7 คน ช่วงต้นปีการศึกษา 2470 ทั้ง ๆ ที่มีความขัดแย้งและคัดค้านจากรอบด้าน ตลอดจนเจ้านายฝ่ายในว่าจะเกิดความเสียหายขึ้น แต่ทรงอุตสาหะคัดเลือกผู้สมัครจากตระกูลที่ดีและมีประวัติดี และทรงเอาพระทัยใส่ดูแลอย่างใกล้ชิด ระยะแรกหม่อมเจ้าพูนศรีเกษม เกษมศรีถึงกับให้หม่อมเจ้าหญิงศุขศรีสมร เกษมศรี พระชายา ปลอมพระองค์เป็นนิสิตไปเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ด้วย เพื่อรายงานเหตุการณ์ในห้องเรียน ปรากฏว่านิสิตชายหญิงเรียนด้วยกันเป็นปกติดีไม่มีเรื่องเสื่อมเสียใด ๆ ดังนั้น สหศึกษาในสังคมไทยจึงเกิดขึ้น และทำให้สตรีไทยได้สิทธิในการศึกษาเท่ากับผู้ชาย นิสิตหญิงรุ่นแรก 7 คน เป็นหม่อมราชวงศ์ 2 คน และเป็นธิดาของข้าราชการชั้นพระยาและพระ 5 คน คือ 1. หม่อมราชวงศ์ ส่งศรี เกษมศรี 2. หม่อมราชวงศ์ นันทา ทองแถม 3.นางสาวฉลอง ไกรจิตติ 4.นางสาว ชด นิธิประภา 5. นางสาวไทยเชียง อรุณลักษณ์ 6. นางสาว เต็มดวง บุนนาค 7. นางสาวอำภา ยุกตะนันท์ลาออกไป 2 คน เหลือ 5 คน ในที่สุดได้ศึกษาสำเร็จออกเป็นแพทย์หญิงรุ่นแรก ในปีพ.ศ. 2475 ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจำนวน 3 คน คือ ศาสตราจารย์ แพทย์หญิง ม.ร.ว. ส่งศรี เกตุสิงห์ (เกษมศรี) อดีตหัวหน้าภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา เป็นสตรีคนสำคัญในเรื่องของประวัติการศึกษาและสิทธิเสมอภาคของสตรีไทย เพราะท่านเป็นสตรีไทยรุ่นแรกที่ได้ปริญญาแพทย์ศาสตร์บัณฑิตในประเทศไทย และเป็นสตรีไทยคนแรกที่ได้รับปริญญาเอก Doctor of Medicine จากประเทศเยอรมนี ศาสตราจารย์ แพทย์หญิง ท่านผู้หญิงเฉิดฉลอง เนตรศิริ (พญ. ฉลอง ไกรจิตติ) อดีตหัวหน้าภาควิชากุมาเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล แพทย์หญิงไทยเชียง ธรรมารักษ์ (พญ. ไทยเชียง อรุณรักษ์) และอีก 2 คนในปีพ.ศ. 2476 ได้แก่ แพทย์หญิงชด นิธิประภา และแพทย์หญิง ม.ร.ว.นันทา ชูติกร (ทองแถม) ทั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงและผู้ชายได้รับความเสมอภาคทางการศึกษาให้มีโอกาสเข้ารับการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะแพทย์ศาสตร์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกรณีของการทำให้สตรีมีโอกาสศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย คือ พ.ศ. 2470 โดยหม่อมเจ้าพูนศรีเกษม เกษมศรี ทรงสนับสนุนสตรีที่สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยม จำนวน 7 คน ให้เข้าเรียนต่อในชั้นเตรียมแพทย์ ที่คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นิสิตหญิงเข้าเรียนเตรียมแพทย์พร้อมชาย เมื่อ พ.ศ. 2470 และปรับปรุงโครงการศึกษาของชาติในทุกระดับทั้งชายและหญิงได้รับความเสมอภาคทางการศึกษา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัย : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว - 26 พฤศจิกายน 2468   : สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนศุโขทัยธรรมราชาเสด็จขึ้นครองราชย์ - 25 กุมภาพันธ์ 2468 :  พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาพระวรชายาเป็นสมเด็จพระบรมราชินี และเสด็จไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถาน (ร.7 พระชนม์ 32 พรรษา,สมเด็จฯ 21 พรรษา) -6 มกราคม -5 กุมภาพันธ์ 2469 : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า รำไพ พรรณีฯ เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพเพื่อเยี่ยมราษฎร -16 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2470 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก -24 มกราคม - 11 กุมภาพันธ์ 2471: เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลภูเก็ต -10 เมษายน-12 เมษายน 2472 : พระราชพิธีราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุข สวนไกลกังวล -พฤษภาคม 2472  : เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลปัตตานี (ทอดพระเนตรสุริยุปราคา) -31 กรกฎาคม -11 ตุลาคม 2472 : เสด็จพระราชดำเนินเยือน สิงคโปร์ ชวา บาหลี -6 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2473 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนอินโดจีน -6 เมษายน - 9 เมษายน 2474 : เสด็จฯเยือนสหรัฐอเมริกาและญี่

ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมสมัยรัชกาลที่ 7

                                                                                                                                   ฉัตรบงกช   ศรีวัฒนสาร [1]                 องค์ประกอบสำคัญในการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของสังคมมนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยสภาวะความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงเป็นพลังสำคัญ ในทัศนะของ อริสโตเติล ( Aristotle) นักปรัชญากรีกโบราณ   ระบุว่า   ศิลปะทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นดนตรี   การแสดง   หรือ ทัศนศิลป์   ล้วนสามารถช่วยซักฟอกจิตใจให้ดีงามได้   นอกจากนี้ในทางศาสนาชาวคริสต์เชื่อว่า   ดนตรีจะช่วยโน้มน้าวจิตใจให้เกิดศรัทธาต่อศาสนาและพระเจ้าได้     การศรัทธาเชื่อมั่นต่อศาสนาและพระเจ้า คือ ความพร้อมที่จะพัฒนาการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ [2]                 ราชบัณฑิตยสถานอธิบายความหมายของศิลปะให้สามารถเข้าใจได้เป็นสังเขปว่า “ศิลปะ(น.)ฝีมือ,   ฝีมือทางการช่าง,   การแสดงออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์เห็น โดยเฉพาะหมายถึง วิจิตรศิลป์ ” [3] ในที่นี้วิจิตรศิลป์ คือ ความงามแบบหยดย้อย   ดังนั้น คำว่า “ศิลปะ” ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถานจึงหมายถึงฝีมือทางการช่างซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา

ห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพ

  ขอบคุณภาพจากพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และขอบคุณเนื้อหาจาก รศ.วุฒิชัย  มูลศิลป์ ภาคีสมาชิกสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง  ราชบัณฑิตยสถาน        พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน รศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี  พระอรรคราชเทวี (ต่อมาคือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ  และสมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ  พระบรมราชชนนี ตามลำดับ)  โดยทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ของสมเด็จพระนางเจ้าฯและองค์ที่ 76 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว     ในห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพนี้  ประเทศไทยหรือในเวลานั้นเรียกว่าประเทศสยาม หรือสยามเพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่มาได้เพียง 1 เดือน 5 วัน  คือ วิกฤตการณ์สยาม ร. ศ. 112 ที่ฝรั่งเศสใช้กำลังเรือรบตีฝ่าป้อมและเรือรบของไทยที่ปากน้ำเข้ามาที่กรุงเทพฯได้  และบีบบังคั