ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญพระองค์แรกของสยาม

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงมีพระราชหฤทัยใฝ่ในการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระราชดำริวินิจฉัยตั้งแต่ต้นรัชกาลแล้วว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องปรับปรุงการปกครองให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในสมัยนั้น ดังข้อความที่กล่าวว่า “...กระแสความเห็นในประเทศนี้ส่งสัญญาณชัดแจ้งว่า กาลเวลาของระบอบอัตตาธิปไตยใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว หากจะให้พระราชวงศ์นี้สถิตอยู่ต่อไป จะต้องปรับให้สถานะของพระมหากษัตริย์มีความมั่นคงขึ้น จะต้องหาหลักประกันอย่าให้มีพระมหากษัตริย์พร่องในความ สุขุมรอบคอบ ในการทรงใช้พระวิจารณญาณ...” จึงได้ทรงดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอนไปสู่การปกครองท้องถิ่นแบบเทศบาลโดยผู้แทนของประชาชน และการมีรัฐสภาในระดับประเทศมุ่งสู่การเปิดโอกาสให้ประชาชนเรียนรู้การปกครองด้วยตนเองในระบอบประชาธิปไตย และโปรดเกล้าฯ ให้ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นเพื่อพิจารณา หากแต่คณะราษฎรได้เข้ายึดอำนาจเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองเสียก่อนที่จะทรงดำเนินการได้สำเร็จลุล่วง ในวาระนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชโทรเลขตอบคณะราษฎรที่กราบบังคมทูลเชิญทรงเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญว่า “...ข้าพเจ้าเห็นแก่ความเรียบร้อยของอาณาประชาราษฎร์ ไม่อยากให้เสียเลือดเนื้อกับทั้งเพื่อจัดการโดยละม่อมละมัยไม่ให้ขึ้นชื่อได้ว่าจลาจลเสียหายแก่บ้านเมือง และความจริงข้าพเจ้าก็ได้คิดอยู่แล้วที่จะเปลี่ยนแปลงตามทำนองนี้ คือ มีพระเจ้าแผ่นดินปกครองตามพระธรรมนูญ จึงยอมรับที่จะเป็นตัวเชิด เพื่อให้คุมโครงการตั้งรัฐบาลให้เป็นรูปแบบวิธีเปลี่ยนแปลงตั้งพระธรรมนูญโดยสะดวก...” การสละราชสมบัติเมื่อ ๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๗๗ หลังจากพระราชพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ แล้วไม่นาน ปรากฎมีความเห็นแย้งกันระหว่างพระองค์กับคณะราษฎรเกี่ยวกับวิธีการปกครองในหลายประเด็น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งเสด็จฯไปยังยุโรปเพื่อทรงเจริญพระราชไมตรีและทรงเข้ารับการผ่าตัดพระเนตร และได้ประทับอยู่ต่อไปที่ประเทศอังกฤษ ได้ทรงเปิดการเจรจากับทางรัฐบาลที่กรุงเทพฯ หากแต่ไม่สามารถจะตกลงกันได้ พระองค์จึงตัดสินพระทัยที่สละราชสมบัติเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ สวรรคต ณ ประเทศอังกฤษเมื่อ ๘๐ ปีที่แล้ว หลังจากทรงสละราชสมบัติแล้วประมาณ ๗ ปี ในช่วงเช้าของวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงมีพระชนมายุ ๔๘ พรรษา เสด็จสวรรคตด้วยพระหทัยวายอย่างฉับพลัน ณ พระตำหนักคอมพ์ตัน ในประเทศอังกฤษ ท้ายสุดนี้ รัชกาลที่ ๗ ทรงครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม ๙ ปี แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นแต่คงไว้ด้วยความหมาย ทรงมุ่งให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปสู่ความก้าวหน้าด้านการเมืองการปกครอง การออกกฎหมาย รวมทั้งการจัดการศึกษาและทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม รวมทั้งอำนวยประโยชน์ให้ประชาชน ได้รับข้อมูลข่าวสาร นำไป คิดวิเคราะห์ เพื่อที่จะมีความคิดเห็น และกรุยทางไปสู่การสร้างความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยในเวลาต่อมา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัย : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว - 26 พฤศจิกายน 2468   : สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนศุโขทัยธรรมราชาเสด็จขึ้นครองราชย์ - 25 กุมภาพันธ์ 2468 :  พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาพระวรชายาเป็นสมเด็จพระบรมราชินี และเสด็จไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถาน (ร.7 พระชนม์ 32 พรรษา,สมเด็จฯ 21 พรรษา) -6 มกราคม -5 กุมภาพันธ์ 2469 : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า รำไพ พรรณีฯ เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพเพื่อเยี่ยมราษฎร -16 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2470 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก -24 มกราคม - 11 กุมภาพันธ์ 2471: เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลภูเก็ต -10 เมษายน-12 เมษายน 2472 : พระราชพิธีราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุข สวนไกลกังวล -พฤษภาคม 2472  : เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลปัตตานี (ทอดพระเนตรสุริยุปราคา) -31 กรกฎาคม -11 ตุลาคม 2472 : เสด็จพระราชดำเนินเยือน สิงคโปร์ ชวา บาหลี -6 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2473 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนอินโดจีน -6 เมษายน - 9 เมษายน 2474 : เสด็จฯเยือนสหรัฐอเมริกาและญี่

ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมสมัยรัชกาลที่ 7

                                                                                                                                   ฉัตรบงกช   ศรีวัฒนสาร [1]                 องค์ประกอบสำคัญในการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของสังคมมนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยสภาวะความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงเป็นพลังสำคัญ ในทัศนะของ อริสโตเติล ( Aristotle) นักปรัชญากรีกโบราณ   ระบุว่า   ศิลปะทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นดนตรี   การแสดง   หรือ ทัศนศิลป์   ล้วนสามารถช่วยซักฟอกจิตใจให้ดีงามได้   นอกจากนี้ในทางศาสนาชาวคริสต์เชื่อว่า   ดนตรีจะช่วยโน้มน้าวจิตใจให้เกิดศรัทธาต่อศาสนาและพระเจ้าได้     การศรัทธาเชื่อมั่นต่อศาสนาและพระเจ้า คือ ความพร้อมที่จะพัฒนาการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ [2]                 ราชบัณฑิตยสถานอธิบายความหมายของศิลปะให้สามารถเข้าใจได้เป็นสังเขปว่า “ศิลปะ(น.)ฝีมือ,   ฝีมือทางการช่าง,   การแสดงออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์เห็น โดยเฉพาะหมายถึง วิจิตรศิลป์ ” [3] ในที่นี้วิจิตรศิลป์ คือ ความงามแบบหยดย้อย   ดังนั้น คำว่า “ศิลปะ” ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถานจึงหมายถึงฝีมือทางการช่างซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา

ห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพ

  ขอบคุณภาพจากพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และขอบคุณเนื้อหาจาก รศ.วุฒิชัย  มูลศิลป์ ภาคีสมาชิกสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง  ราชบัณฑิตยสถาน        พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน รศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี  พระอรรคราชเทวี (ต่อมาคือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ  และสมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ  พระบรมราชชนนี ตามลำดับ)  โดยทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ของสมเด็จพระนางเจ้าฯและองค์ที่ 76 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว     ในห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพนี้  ประเทศไทยหรือในเวลานั้นเรียกว่าประเทศสยาม หรือสยามเพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่มาได้เพียง 1 เดือน 5 วัน  คือ วิกฤตการณ์สยาม ร. ศ. 112 ที่ฝรั่งเศสใช้กำลังเรือรบตีฝ่าป้อมและเรือรบของไทยที่ปากน้ำเข้ามาที่กรุงเทพฯได้  และบีบบังคั