วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน ปีมะเส็ง ร.ศ. 112 พ.ศ. 2436 สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ฯ
ประสูติเป็นพระราชโอรสพระองค์สุดท้ายในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468
สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์นั้นทรงรับราชสมบัติสืบต่อจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบรมเชษฐาธิราช ที่ประชุมเจ้านายชั้นพระบรมวงศ์
และเสนาบดีกระทรวงต่างๆปรึกษากันว่าพระบรมนามาภิไธยจะใช้อย่างไร
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช
“ทรงเห็นว่าในระหว่างที่ยังไม่ได้ทรงรับราชาภิเษกนี้
ถ้าจะใช้ว่าสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอก็เป็นคำฟั่นเฝือ คำว่า
สมเด็จพระอนุชาธิราชไม่สู้ตรงกับแบบแผน...
ส่วนการราชาภิเษกนั้นเป็นงานแผ่นดินจำต้องหาฤกษ์...เพราะฉะนั้นเห็นควรให้ใช้ว่า
“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”ไปพลางโดยมิต้องรอการราชาภิเษก... ”
ในที่สุดจึงตกลงให้ขนานพระนามาภิไธยในระหว่างนี้ว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา”...
ส่วนพระบรมนามาภิไธยซึ่งจะจารึกในพระสุพรรณบัตรเป็นอันยังไม่ตกลงเด็ดขาดทางใด”
วันรุ่งขึ้น โปรดเกล้าฯให้ประกอบพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา
พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พราหมณ์พิธีอ่านโองการแช่งน้ำ
เมื่อจบแล้วเชิญพระแสงศรชุบในน้ำพระพิพัฒน์สัตยา แล้วเชิญพระแสงต่างๆชุบน้ำ
พราหมณ์ทูลเกล้าฯถวายน้ำพระพิพัฒน์สัตยา
พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการรับพระราชทานน้ำพระพิพัฒน์สัตยา
เท่ากับว่าเสวยน้ำก่อนแล้วจึงพระราชทาน
สำหรับพระนามทรงกรมนั้นทรงได้รับพระบรมราชโองการดำรัสสั่งให้เลื่อนจากกรมขุนเป็นกรมหลวงเมื่อ
2 สัปดาห์ก่อนหน้านั้นเอง คือเมื่อวันที่ 11
พฤศจิกายนด้วยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสังเกตว่า
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนสุโขทัยธรรมราชาทรงปฏิบัติราชการ
สำเร็จราชการรักษาพระนครในเวลาเสด็จไปประทับอยู่นอกมณฑลราชธานีเป็นครั้งเป็นคราวมา
“โดยพระวิริยอุตสาหะอันแรงกล้าด้วยความจงรักภักดี..และทรงพระสติปัญญาอันสุขุมคัมภีรภาพสมควรไว้วางพระราชหฤทัย”
พระสุพรรณบัฏกรมหลวงนั้นคงจะยังจารึกไม่เสร็จในคราวนั้น ในวันที่ 13 ธันวาคม
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เจ้าฟ้ากรมหลวงสุโขทัยธรรมราชาจึงได้เสด็จฯ
จากพระที่นั่งบรมพิมาน
(ที่ประทับชั่วคราวในพระบรมมหาราชวังใกล้กับพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ซึ่งประดิษฐานพระบรมศพสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชอยู่ และมีพระราชพิธีโดยต่อเนื่อง)
ไปยังวังสุโขทัย วังส่วนพระองค์ เพื่อ “ทรงรับพระสุพรรณบัฏ
กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชาพร้อมกับพระธำมรงค์นพเก้า” แหวนนพรัตน์ อัญมณี 9
สีนั้นเป็นเครื่องแสดงว่าทรง “ได้รับพระราชทาน”
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตน์ราชวราภรณ์ วันที่ 25 กุมภาพันธ์
พ.ศ.2468 (พ.ศ. 2469 นับศักราชตามปัจจุบัน)
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเข้าพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เฉลิมพระบรมนามภิไธยว่า
“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว”
องค์ประชาธิปกราชันทรงพระราชมานะพยายามมาตลอดรัชกาลที่จะทรงปกป้องปวงประชาให้ได้รับการปกครองโดยธรรม
ครั้นเมื่อได้ทรงสละพระราชอำนาจในคราวเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 แล้ว
ทรงพบว่าการปกครองมิได้เป็นไปโดยหลักนิติธรรมหรือเป็นประชาธิปไตย
จึงทรงละอายพระราชหฤทัยที่ไม่อาจทรงปกป้องปวงประชาได้
และได้ทรงแสดงความรับผิดชอบด้วยการสละราชสมบัติ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477
(พ.ศ. 2478 นับศกตามปัจจุบัน) สถาบันพระปกเกล้า
ซึ่งมีพันธกิจในการส่งเสริมประชาธิปไตย
จึงจัดการประชุมประจำปีของสถาบันพระปกเกล้าในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี
ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว - 26 พฤศจิกายน 2468 : สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนศุโขทัยธรรมราชาเสด็จขึ้นครองราชย์ - 25 กุมภาพันธ์ 2468 : พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาพระวรชายาเป็นสมเด็จพระบรมราชินี และเสด็จไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถาน (ร.7 พระชนม์ 32 พรรษา,สมเด็จฯ 21 พรรษา) -6 มกราคม -5 กุมภาพันธ์ 2469 : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า รำไพ พรรณีฯ เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพเพื่อเยี่ยมราษฎร -16 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2470 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก -24 มกราคม - 11 กุมภาพันธ์ 2471: เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลภูเก็ต -10 เมษายน-12 เมษายน 2472 : พระราชพิธีราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุข สวนไกลกังวล -พฤษภาคม 2472 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลปัตตานี (ทอดพระเนตรสุริยุปราคา) -31 กรกฎาคม -11 ตุลาคม 2472 : เสด็จพระราชดำเนินเยือน สิงคโปร์ ชวา บาหลี -6 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2473 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนอินโดจีน -6 เมษายน - 9 เมษายน 24...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น