ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

แรกมีโรงเรียนสตรีในสยาม

สังคมไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 ก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่แล้ว แต่ด้วยค่านิยม ขนบประเพณีในสังคมที่เป็นลักษณะปิตาธิปไตย บุตรธิดาต้องอยู่ภายใต้การบังคับดูแลของบิดา มารดา และสามี ที่คาดหวังให้สตรีมีความประพฤติและจริยธรรมที่มีเป้าหมายการครองเรือนและดูแลกิจการภายในครอบครัว สตรีจึงถูกกำหนดให้ต้องเรียนรู้การวางตัวและการปรนนิบัติพ่อแม่และสามี ความรู้ของสตรีจึงมีเพียงการฝึกหัดงานบ้านและวิชาชีพจากประสบการณ์ในครอบครัวหรือไปถวายตัวในราชสำนัก จนกระทั่งการศึกษาแบบตะวันตกถูกนำเข้ามาในสยามโดยคณะมิชชันนารีอเมริกันเพรสไบทีเรียน (Presbyterianism) เผยแพร่ศาสนาไปพร้อมกับก่อตั้งโรงเรียนสตรีที่มีหลักสูตรและระบบสมัยใหม่
การเข้ามาของวัฒนธรรมตะวันตกโดยเฉพาะบทบาทและอิทธิพลของหมอสอนศาสนานิกายโปรแตสแตนท์ ที่ให้ความสำคัญแก่การศึกษาสตรีทั้งในด้านศีลธรรมจรรยา และการรู้อักขรวิธีเพื่อให้มีความรู้ด้านวิทยาการใหม่ๆจากตะวันตก เมื่อพ.ศ. 2417 มีการจัดตั้งโรงเรียนแหม่มโคล์ หรือโรงเรียนวังหลัง(Harriet M. House School for Girls) หรือวัฒนาวิทยาลัย จึงเป็นตัวแบบให้กับการศึกษาของสตรีชนชั้นสูงไทยต่อมา อย่างไรก็ตามต้องเข้าใจด้วยว่า ตามข้อเท็จจริงแล้วราชสำนักไทยเองมีการถ่ายทอดเรียนรู้ที่เป็นการศึกษาแบบขนบ รวมถึงการเรียนวิชาหนังสือมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีสตรีฝ่ายในที่รู้หนังสือดี ทำหน้าที่ผู้สอนแบบต่อหนังสือ และถึงสมัยรัชกาลที่ 5 เจ้านายสตรีชั้นสูงต่างให้มีการฝึกสอนระเบียบแบบแผนการวางตัวและการดำเนินชีวิตตามแบบแผนในราชสำนักฝ่ายใน ควบคู่กับการเรียนวิชาหนังสือ พบว่า ชนชั้นนำเองมีแนวคิดที่ตั้งสถานศึกษาสำหรับสตรีอย่างเป็นทางการตั้งแต่ก่อนพ.ศ. 2441 แต่ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ดังกล่าวต่อไปนี้ โรงเรียนที่ตั้งขึ้นช่วงทศวรรษ 2420-2440 มีรูปแบบและเนื้อหาการเรียนการสอนแตกต่างกันตามสถานภาพของผู้เรียน เป็นต้นว่าโรงเรียนสำหรับผู้เรียน ชนชั้นสูงมี 2 แห่ง คือ โรงเรียนสุนันทาลัย (พ.ศ. 2423-2445) โรงเรียนราชกุมารี (พ.ศ. 2436) จัดการเรียนการสอนเฉพาะพระราชธิดาในรัชกาลที่ 5 โรงเรียนสำหรับสามัญชนที่เป็นเอกชน โรงเลี้ยงเด็กในพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ฯ (พ.ศ. 2433-2454) ให้การช่วยเหลือเด็กกำพร้าและเด็กในครอบครัวยากจนให้ได้รับการศึกษา
โรงเรียนเสาวภาจัดตั้งโดยสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ (พระนามเดิม พระองค์เจ้าเสาวภา) (พ.ศ. 2435-2440) ตั้งอยู่ที่เกาะสีชัง จากนั้นย้ายมากรุงเทพฯถึงจนปัจจุบัน โรงเรียนสตรีบำรุงวิชาเป็นโรงเรียนสตรีของรัฐแห่งแรก (พ.ศ. 2444-2449 ซึ่งเปิดรับผู้เรียนชาย-หญิง หลังจากพ.ศ.2445 ให้มีการรวมโรงเรียนสตรีบำรุงวิชาเข้ากับโรงเรียนเสาวภา และคัดผู้เรียนชายออกไปและจัดให้เป็นโรงเรียนสตรีอย่างเดียว) โรงเรียนบำรุงวิชา (พ.ศ. 2442-2468) และโรงเรียนที่รัฐจัดขึ้นอีก ได้แก่ โรงเรียนสตรีวิทยา (พ.ศ. 2442-2449 เดิมเป็นโรงเรียนของเอกชน ต่อมายกให้กระทรวงธรรมการบริหารจัดการจนถึงปัจจุบัน) โรงเรียนศึกษานารี (พ.ศ. 2444-ปัจจุบัน) โรงเรียนเหล่านี้จัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนที่มีฐานะชั้นต่างกัน บางโรงดำเนินกิจการการเรียนการสอนได้ช่วงเวลาหนึ่งก็ต้องปิดตัวเองหรือยุบรวมกับโรงเรียนอื่น เช่น โรงเรียนสุนันทาลัยและราชกุมารี โรงเลี้ยงเด็ก โรงเรียนสตรีบำรุงวิชา เป็นต้น ในกลุ่มโรงเรียนนี้มีโรงเรียนที่น่าสนใจในด้านการสร้างสัมฤทธิผลทางการศึกษา คือ โรงเรียนสุนันทาลัย แต่แรกกระทรวงธรรมการจัดตั้งขึ้นเพื่อทดลองการจัดตั้งโรงเรียนสตรีและคาดหวังให้เป็นสถานศึกษา ผลิตการฝึกหัดครูสตรีด้วย
รวมถึงอยู่ภายใต้ราชินูปถัมภ์ของสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี โดยอาศัยงบประมาณจากรัฐ โรงเรียนจึงสามารถจ้างครูใหญ่สตรีชาวอังกฤษและครูสตรีไทยประจำที่โรงเรียน ที่นี่เป็นโรงเรียนประจำรับเด็กอายุ 7-12 ปี เรียนหลักสูตร 6 ปี สอนทั้งวิชาสามัญ ภาษาไทย เลข ภูมิศาสตร์ พงศาวดาร และวิชาแม่บ้านการเรือน วาดเขียน เย็บปักถักร้อย ขณะเดียวกัน สอนธรรมเนียมการเข้าสมาคมแบบตะวันตก มารยาทโต๊ะอาหารแบบตะวันตก การทำอาหารแบบตะวันตก รวมถึงการทำงานบ้านอย่างซักรีดเสื้อผ้า ทำความสะอาดบ้านเรือน และปลูกต้นไม้ ที่สำคัญคือ ส่งเสริมการแสดงออกด้วยการทำกิจกรรม ตลอดจนให้มีการสอนภาษาอังกฤษหลังจากผู้เรียนรู้ภาษาไทยดีแล้ว หากวัดมาตรฐานการศึกษาของโรงเรียนสตรีแห่งนี้ นับได้ว่าทัดเทียมโรงเรียนนักเรียนชายของรัฐเวลานั้น เมื่อพิจารณาจากผลสอบไล่ โดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษ ผู้เรียนหลายคนทำข้อสอบได้ดีจนถึงขั้นชิงทุนเล่าเรียนหลวงได้ มีประวัติว่าในพ.ศ. 2441 นักเรียนสตรี 3 คน สามารถสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวง ได้แก่ หม่อมเจ้ามัณฑารพ กมลาศน์ ซึ่งได้ลำดับที่หนึ่ง หม่อมเจ้าจันทรนิภา เทวกุล และนางสาวชื้น ธิดาเจ้าพระยาสุรวงศ์วัฒนศักดิ์ (โต บุนนาค) ทว่ากฎเกณฑ์รัฐบาลในเวลานั้นยังไม่ให้สตรีศึกษาต่อต่างประเทศ ทั้งสามท่านได้รับพระราชทานเงินรางวัลจากรัชกาลที่ 5 เป็นเงิน 1,600 บาท และ 80 บาท ตามลำดับ แตกต่างจากกรณี โรงเลี้ยงเด็ก ที่รับเด็กกำพร้าและยากจน เข้ามาอบรมเลี้ยงดู แต่วัยเยาว์จนเรียนหนังสือ วางเป้าหมายการศึกษาให้สามารถประกอบอาชีพได้ ผู้เรียนซึ่งถนัดวิชาสามัญก็ศึกษาหนังสือได้อย่างแตกฉานเพื่อเป็นเสมียน ถ้ารักการช่างก็ให้ฝึกหัดอาชีพ หลักสูตรเบื้องต้นที่ผู้เรียนต้องศึกษา นอกจากวิชาสามัญเบื้องต้น อ่านเขียนหนังสือและทำเลขคณิตได้ เด็กเหล่านี้ต้องฝึกหัดกิริยามารยาทให้เข้าสังคมผู้ดีได้ ควบคู่กับการฝึกทำงานบ้าน อย่างทำกับข้าว เย็บปักถักร้อย ว่ายน้ำ ขึ้นต้นไม้ ปลูกพืชผักต้นไม้ และเลี้ยงสัตว์ ทำให้เข้าใจได้ว่า ผู้เรียนจบบางคนอาจประกอบอาชีพทำงานบ้านหรือคนรับใช้ในบ้านผู้มีฐานะดีได้นั่นเอง โรงเลี้ยงเด็กมีรูปแบบจัดการเรียนการสอนคล้ายกับโรงเรียนบำรุงวิชา ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณวังสมเด็จฯ กรมพระยาเทววงศ์วโรปการ ผู้ก่อตั้งและครูผู้สอนเคยรับการศึกษาจากวังนี้ เป้าหมายการสอนของโรงเรียน นอกจากวิชาสามัญ อ่านเขียนภาษาไทยแล้ว ยังสอนกิริยามารยาทชาววัง เพื่อให้สามารถรับราชการใกล้ชิดเจ้านายชั้นสูง ความแตกต่างจากโรงเลี้ยงเด็ก คือ มีการเก็บค่าเล่าเรียนสำหรับผู้เรียน ชาย-หญิง เดือนละ 4 บาท แต่บำรุงวิชาต้องปิดตัวลงเนื่องจากครูผู้สอนชราภาพ ขณะที่โรงเรียนเสาวภา เริ่มแรกถือกำเนิดที่เกาะสีชัง มีเป้าหมายให้การศึกษาชาวบ้านเกาะนี้ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงต้องย้ายมาที่กรุงเทพฯ ปรับรูปแบบเป็นโรงเรียนสตรีสำหรับสามัญชน สอนอ่านเขียนและวิชาแม่บ้านการเรือนเป็นสำคัญ เมื่อมีการปรับหลักสูตรการเรียนการสอนจากชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 และมัธยมศึกษา 1 โดยสอนวิชาสามัญและวิชาช่าง เย็บปักถักร้อยและทำอาหาร เก็บค่าเล่าเรียนปีละ 10 บาท ความหลากหลายรูปแบบและมาตรฐานการศึกษาของโรงเรียนดังกล่าว รวมถึงโรงเรียนมิชชันนารี กุลสตรีวังหลัง (พ.ศ. 2417-ปัจจุบัน เปลี่ยนชื่อเป็นวัฒนาวิทยาลัย พ.ศ. 2463) แต่เรื่องที่สร้างความกังวลใจให้กับชนชั้นนำเวลานั้น โดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ การสอนในโรงเรียนมิชชันนารี ซึ่งมุ่งเน้นการสอนหลักการศาสนาคริสต์ ฝึกหัดกิริยามารยาทที่เป็นตะวันตก ในส่วนหลักวิชาแม่บ้านการเรือนยังเป็นวิถีการดำเนินชีวิตตามแบบครอบครัวตะวันตก-อเมริกัน (ต่างจากแบบชาวอังกฤษ) ทำให้มายาททางสังคมเป็นการแสดงออกด้วยความเชื่อมั่น แตกต่างจากแบบแผนกุลสตรีไทยที่ต้องประพฤติตนเรียบร้อย รักษากิริยา นอบน้อม และไม่แสดงออก ลักษณะความประพฤติแบบนักเรียนมิชชันนารีกำลังมีอิทธิพลในหมู่ครอบครัวชนชั้นกลางสยาม สมัยที่โรงเรียนกุลสตรีวังหลังอยู่ในการบริหารของแหม่มโคล์ นักเรียนต้องเสียค่าเล่าเรียนรวมทั้งค่าอาหารเป็นเงินเดือนละ 5 บาท ซึ่งทำความไม่พอใจให้บรรดาผู้ปกครองมาก เพราะตั้งแต่เริ่มแรก โรงเรียนนี้ไม่เก็บค่าเล่าเรียนเลย จนกระทั่งฐานะของโรงเรียนทรุดโทรมลงจนเกือบจะเลี้ยงตัวเองไม่ได้ แต่ต่อมาเมื่อได้เห็นคุณค่าของการศึกษา นักเรียนโรงเรียนนี้ก็มีเพิ่มจำนวนมากขึ้น รวมทั้งพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอองค์ต่าง ๆ ผู้ทรงเห็นคุณค่าของการศึกษาสตรีว่ามีความจำเป็นเท่ากับการศึกษาของบุรุษ ก็ได้เข้ามาเรียนปะปนกับเด็กสามัญทั้งหลาย นักเรียนเหล่านี้ กิน นอน เรียนและเล่นร่วมกันอย่างอิสระ โดยไม่มีใครได้อภิสิทธิ์เหนือกว่าหรือน้อยกว่ากันทำให้กุลสตรีไทยในขณะนั้น ได้รับการอบรมตามแบบประชาธิปไตยจากแหม่มโคล์โดยทางอ้อม ความแตกต่างและยังไม่ลงรอยของรูปแบบโรงเรียนสตรีสยามที่รัฐพึงประสงค์ ทำให้ชนชั้นนำขณะนั้นเห็นถึงความจำเป็นต้องจัดตั้งโรงเรียนสตรีแห่งใหม่ ที่มีหลักสูตร แผนการสอนผสมผสานระหว่างวิทยาการตะวันตก ขนบประเพณีแบบราชสำนักและระบบศีลธรรมจรรยาตามหลักการพุทธศาสนา และเชื่อมโยงวิชาแม่บ้านการเรือนแบบตะวันออก เพื่อเป้าหมายการใช้ชีวิตแม่บ้านแม่เรือน ในปีพ.ศ. 2447 โรงเรียนราชินี จึงถือกำเนิดขึ้น หลังจากมีข้อถกเถียงถึงรูปแบบที่เหมาะสมของโรงเรียนสตรีที่จะทำหน้าที่เป็นแบบอย่างให้แก่โรงเรียนสตรีของรัฐแห่งอื่นหลังจากนี้ โรงเรียนราชินีภายใต้พระราชินูปถัมภ์ของสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ และด้วยความร่วมมือจาก เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) เสนาบดีกระทรวงธรรมการขณะนั้น จึงสามารถดำเนินการได้ ทำการเรียนการสอนทั้งวิชาสามัญและวิชาแม่บ้านการเรือนที่ตกลงเลือกใช้วิชาการเรือนแบบตะวันออกจากประเทศญี่ปุ่น สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาฯ โปรดให้ข้าหลวงส่วนพระองค์ 4 คน เดินทางไปศึกษาวิชานี้ที่ญี่ปุ่นถึง 4 ปี และทรงจ้างครูสตรีชาวญี่ปุ่น 3 คน ทำหน้าที่ครูใหญ่และครูผู้สอนวิชาการเรือน ส่วนวิชาสามัญ โปรดฯให้ข้าราชการกระทรวงธรรมการเป็นผู้อำนวยการและครูผู้สอน โรงเรียนราชินีมีทั้งระบบการเรียนแบบอยู่ประจำและแบบเช้าไปเย็นกลับ ผู้เรียนประกอบด้วยนักเรียนในพระองค์จากครอบครัวข้าราชการในวัง บุตรีข้าราชการพลเรือนทั้งในกรุงเทพฯและหัวเมือง และบุตรีข้าราชการทหาร ตำรวจ การเรียนการสอนช่วงแรกเน้นวิชาการช่างฝีมือ เย็บปักถักร้อย ทอผ้า และงานประดิษฐ์ ตลอดจนงานในครัวเรือน หลังจากครูสตรีญี่ปุ่นเดินทางกลับประเทศ โรงเรียนได้ปรับหลักสูตรเพิ่มวิชาสามัญมากขึ้น รวมถึงให้ความสำคัญกับการเรียนภาษาต่างประเทศ ถือว่าวิชาสามัญและวิชาการเรือนต้องสมดุลกันเพื่อการสร้างกุลสตรีที่อยู่ในขนบประเพณีจารีตและมีความรู้สมัยใหม่ โรงเรียนราชินีจึงเป็นตัวแบบส่งผ่านลักษณะสำคัญให้กับโรงเรียนสตรีและโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดหลายแห่ง อย่างไรก็ตาม ในปีพ.ศ. 2457 ได้แยกหลักสูตรการช่างซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรการเรือน ออกเป็นแผนกอาชีวะ ประกอบด้วย วิชาดอกไม้ประดิษฐ์ ทั้งดอกไม้สดและดอกไม้แห้ง ทอผ้า และเย็บจักร โดยคาดหวังให้ผู้จบการศึกษาแผนกนี้สามารถประกอบอาชีพได้ อย่างไรก็ตาม ผู้สำเร็จการศึกษาส่วนใหญ่มักออกไปเป็นครูการเรือนในโรงเรียนสตรีแห่งอื่น ทั้งนี้โรงเรียนสตรีที่ได้รับอิทธิพลจากหลักสูตรการเรียนการสอนจากโรงเรียนราชินี อย่างเช่น โรงเรียนสตรีวิทยา (ราวพ.ศ. 2443) โรงเรียน ศึกษานารี (พ.ศ. 2444) และโรงเรียนเบญจมราชาลัย (พ.ศ. 2456) ต่อมาโรงเรียนเบญจมราชาลัย ยังเปิดสอน หลักสูตรวิชาชีพการฝึกหัดครูสตรีขึ้นอีกด้วย สิ่งที่น่าสนใจในช่วงทศวรรษแรก การดำเนินงานของโรงเรียนสตรีเหล่านี้อาจมีความแตกต่างกันไม่มากนักในด้านเป้าหมายและเนื้อหาหลักสูตรทั้งโรงเรียนเอกชนอย่าง กุลสตรีวังหลังและโรงเรียนราชินี หรือโรงเรียนรัฐบาลอย่างสตรีวิทยา หรือเบญจมราชาลัย ยกเว้นเฉพาะวิชาพิเศษ ภาษาต่างประเทศ อย่างวิชาภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งดำเนินการสอนแต่ในโรงเรียนกุลสตรีวังหลังหรือวัฒนาวิทยาลัยเท่านั้น ช่วงแรกโรงเรียนแห่งนี้มีนักเรียนส่วนใหญ่เป็นลูกกำพร้าและเด็กยากจน แต่ด้วยความนิยมเรียนภาษาอังกฤษในหมู่ครอบครัวชนชั้นสูงและคหบดี เพื่อให้บุตรธิดามีคุณสมบัติในการ “ต้อนรับแขก” หรือเข้าสมาคมกับชาวต่างประเทศได้ จึงพาบุตรหญิงเข้ามารับการศึกษา มีผลทำให้โรงเรียนราชินีซึ่งอยู่ในพระราชินูปถัมภ์ ได้ปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาให้ทันสมัย ขยายการเรียนภาษาอังกฤษให้มากขึ้นด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น ทำให้กลุ่มผู้เรียนสตรีจากครอบครัวชนชั้นสูงและคหบดีฐานะดีจึงนิยมส่งบุตรหญิงเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนเอกชนสตรีทั้งสองแห่ง ส่วนครอบครัวชนชั้นกลางและข้าราชการทั่วไปมักนิยมให้บุตรหลานหญิงเข้าเรียนที่โรงเรียนสตรีของรัฐที่มีค่าเล่าเรียนถูกเพียงเดือนละ 1 บาท เท่านั้น ส่วนการจัดการศึกษาสตรีระดับสามัญชนยังไม่เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการจนกระทั่งปีพ.ศ. 2456 เมื่อเจ้าพระยาเสด็จสุเรนทราธิบดี (ม.ร.ว.เปีย มาลากุล) เสนาบดีกระทรวงธรรมการ (พ.ศ. 2454-2459) ในฐานะผู้บริหารการศึกษาคนแรกที่เห็นความสำคัญของการดำเนินนโยบายและจัดการศึกษาสตรีทั่วราชอาณาจักรเช่นเดียวกับการศึกษาของผู้ชาย ท่านมีความเห็นว่า การศึกษาตามหัวเมืองที่ใช้ วัด เป็นโรงเรียนสำหรับการเรียนการสอนเบื้องต้นระดับมูลสามัญเป็นการปิดกั้นการศึกษาของสตรี โรงเรียนควรแยกออกจากวัด และมีครูสอนเป็นฆราวาส แนวคิดนี้ได้รับการต่อยอดจาก เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดินทร ณ อยุธยา) เสนาบดีกระทรวงธรรมการยุคต่อมา (พ.ศ. 2459-2469) ผู้สามารถผลักดันให้การจัดการศึกษาสตรีบรรจุเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนการศึกษาชาติ 2462 เริ่มจากการศึกษาเบื้องต้นด้วยการจัดตั้งโรงเรียนสหศึกษาและแจากตารางการเปรียบเทียบนี้ พบว่าหากนักเรียนหญิงที่จบชั้นมัธยมบริบูรณ์ ต้องการศึกษาวิชาชีพ ก็มีให้เลือกเพียง 2 สาย คือ การพยาบาลและการฝึกหัดครู ในขณะที่นักเรียนชายที่จบชั้นมัธยมปลายสามารถเรียนต่อระดับอุดมศึกษาที่เป็นการศึกษาวิชาชีพชั้นสูง อย่าง การแพทย์ แผนที่ ป่าไม้ เกษตรกรรม ตำรวจภูธรและโลหะกิจ เป็นต้น การวางข้อกำหนดการศึกษาสตรีของรัฐบาลดังกล่าวนี้ เป็นการตีกรอบให้เกิดข้อจำกัดแก่สตรีในการประกอบวิชาชีพอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นเนื้อหาหลักสูตรรายวิชา ชั่วโมงเรียนที่กำหนดไว้ในชั้นการศึกษาประถม-มัธยม ก็ยังมีสาระความรู้ที่ต่างระดับ นั่นคือ การเรียนรู้ของนักเรียนหญิงน้อยกว่า และไม่เท่ากับของนักเรียนชายอีกด้วย กล่าวคือ ชั้นประถมศึกษา นอกจากโรงเรียนในเขตพระนคร กรุงเทพฯ ซึ่งจัดการศึกษารากฐานที่มีโรงเรียนราชินีเป็นตัวแบบแล้ว โรงเรียนนอกเขตพระนคร และตามหัวเมืองต่าง ๆ ซึ่งตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. 2464 ในสมัยรัชกาลที่ 6 นั้น ถือเป็นโรงเรียนประถมประชาบาลในลักษณะโรงเรียนสหศึกษานั้น กำหนดให้เรียนวิชาหลักเป็นวิชาสามัญเหมือนกัน คือ เลข ภาษาไทยและจรรยา เพียงแต่วิชาภาษาไทยสำหรับนักเรียนหญิงใช้ชั่วโมงเรียนน้อยกว่า ส่วนวิชาจรรยาของสตรี ครูผู้สอนต้องคัดเลือกเฉพาะหัวข้อที่เหมาะสมกับสตรี ขณะที่วิชาสามัญ นักเรียนชายกำหนดให้ต้องเรียนวิชาชีพด้านกสิกรรม งานช่างและการพาณิชย์ นักเรียนหญิงให้เรียนวิชาเย็บปักถักร้อย สำหรับวิชาลูกเสือนั้น นักเรียนหญิงสามารถเรียนร่วมกันได้ ยกเว้นเด็กหญิงให้ตัดภาคปฏิบัติออกไป ชั้นมัธยมศึกษา เนื่องจากมีการแยกโรงเรียนมัธยมชายออกจากโรงเรียนสตรี การกำหนดหลักสูตรและรายวิชาสามัญบางวิชาก็แตกต่างกันอย่างอย่างมีนัยยะสำคัญ เป็นต้นว่า วิชาภาษาไทย สำหรับโรงเรียนสตรี ไม่ต้องใช้เวลาเรียนและเนื้อหาวิชาเท่ากันกับโรงเรียนชาย อันเป็นแบบเดียวกับหลักสูตรประถมศึกษาเพราะถือว่า สตรีไม่จำเป็นต้องใช้เวลาอ่านหนังสือประเภทวรรณคดีหรือกวีนิพนธ์ หรือแม้แต่การอ่านหนังสือเพิ่มเติมจากห้องสมุด ก็ไม่ใช้เวลามากเท่ากับการเรียนของผู้ชาย ที่สำคัญยิ่งกว่า คือ การเรียนวิชาภาษาต่างประเทศ สำหรับนักเรียนชายพวกเขาสามารถเลือกเรียนวิชาภาษาต่างประเทศ ได้ถึง 3 ภาษา คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมัน ในขณะที่โรงเรียนสตรีไม่มีการบังคับเรียนภาษาต่างประเทศ หากต้องการเรียน นักเรียนสตรีให้เรียนวิชาภาษาอังกฤษได้เพียงภาษาเดียว วิชาเลข การสอนเลขในโรงเรียนสตรี ได้ตัดทอนหลักสูตรบางเรื่องที่นักเรียนชายในโรงเรียนผู้ชายเรียน อย่าง การเงินระหว่างประเทศ และวิชาหน้าไม้ ซึ่งเป็นคณิตศาสตร์คำนวนสำหรับการค้าขายที่สตรีไม่จำเป็นต้องรู้ เนื่องจากไม่เกี่ยวข้องกัน กับการประกอบอาชีพของสตรี (ครูและพยาบาล) และการทำหน้าที่แม่บ้านแม่เรือน วิชาจรรยา สำหรับสตรีแล้ว เรื่องที่กำหนดให้เรียนวิชานี้ ต้องเป็นไปตามค่านิยมสังคมที่กำหนดคุณสมบัติความเป็นสตรีดีงาม ถือว่าวิชานี้ “จะเป็นการกล่อมเกลาสันดาน อัธยาศัยใจคอ ฝึกหัดให้สมควรแก่การ (ที่สตรี) จะมีหน้าที่เป็นแม่เรือน และเป็นมารดาต่อไป” ดังต่อไปนี้หรืออีกนัยหนึ่ง เนื้อหาวิชานี้ต้องสอนหลักการเป็นเมียและแม่ที่ดี เนื้อหาวิชาจึงควรครอบคลุมเรื่อง การครองตน ครองคน และครองสมบัติ หลักการครองตน ครองคน และครองสมบัติในวิชาจรรยาของนักเรียนหญิง ถือเป็นหัวใจของการปลูกฝังทัศนคติ และประสบการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคม ให้เป็นเป้าหมายการดำเนินชีวิตในอนาคตของสตรีผู้เรียน นั่นคือ การมีบทบาทหน้าที่แม่บ้าน-แม่เรือน สาระสำคัญของหลักการครองตน ครองคนและครองสมบัติ ดังต่อไปนี้ การครองตน คือ รักษาตัวให้ดีบริสุทธิ์ ตั้งตัวให้ได้...โดยต้องฝึกสอนด้วยตัวอย่าง...ให้เกิดธรรมะที่จะรู้รักษาตัว สงวนตัว รู้ภายในที่ควร รู้กล้าในที่ควร ใจคอหนักแน่นอดทน ไม่เป็นผู้ที่ตื่นเต้นง่าย หูเบา ปากไว ใจง่าย” ครองคน คือ ให้รู้จักผูกใจคนให้รักใคร่ ผูกใจสามี บิดามารดา และผู้ใหญ่ด้วยการปฏิบัติ ผูกใจเครือญาติและมิตรด้วยการช่วยเหลือเผื่อแผ่ ผูกในบุตรหลานและบริวารด้วยการฟูมฟักเลี้ยงดูโดยเที่ยงธรรม ประกอบด้วยความโอบอ้อมอารี เมตตากรุณา ครองสมบัติ คือ ทำให้ชอบ ใช้ให้ควร และเก็บให้อยู่...และการเก็บนั้น ถ้าควรจะให้เกิดดอกผลงอกเงยได้ เช่น ฝากแบงก์ใหญ่ๆที่เป็นหลักฐาน (หมายถึงมีความมั่นคง) แล้วได้ดอกเบี้ย ก็ดีกว่าเก็บนิ่งๆ” ส่วนการเรียนวิชาสามัญในระดับมัธยมของนักเรียนสตรีตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรการศึกษาก็เป็นแนวทางเดียวกับวิชาจรรยาในหลักสูตรสามัญศึกษา นั่นคือ ให้เรียนวิชาการเรือนในลักษณะการเรียนการสอนฝึกหัดทักษะปฏิบัติความรู้ ที่ทำให้สามารถทำหน้าที่ได้ทั้งแม่บ้านและแม่เรือน ตลอดจนการเลี้ยงดูบุตร เช่น เรียนการจัดตกแต่งรักษาบ้านเรือนให้สะอาด เรียบร้อย งดงาม เรียนรู้สุขลักษณะการจัดบ้าน ตลอดจนการจัดการและการใช้เครื่องใช้ในครัวเรือน เรียนรู้หลักการพยาบาลและการรักผาพยาบาล การเลี้ยงดูและรักษาเด็ก หัวข้อเหล่านี้ควรต้องอิงอยู่กับหลักการของสังคมขณะนั้น ครูผู้สอนต้องชี้แจงให้เห็นธรรมะอันเป็นหลักจริยธรรมหรือจรรยาที่พึงปฏิบัติต่อสามี พ่อแม่ และญาติผู้ใหญ่ ถือว่าเป็นหน้าที่ภริยาหรือบุตรหลานที่ต้องตอบแทนบุญคุณในยามพวกเขาเจ็บไข้ อธิบายให้ผู้เรียนรู้จักหลักสุขวิทยาในเรื่องยาและการให้ยาเพื่อรักษา รู้จักการป้องกันโรคติดต่อด้วย วิชาวิสามัญของสตรี ยังต้องเรียนวิชาทำกับข้าวหรือปรุงอาหารและรู้จักการเก็บรักษาและถนอมอาหาร นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการเรียนการสอนวิชา “ทำสวน” ในหลักสูตรวิชาวิสามัญของผู้เรียนมัธยมปลายของสตรีอีกด้วย น่าสนใจว่าวิชาทำสวนกำหนดจุดมุ่งหมายว่า “ให้รู้ประโยชน์และความงามของธรรมชาติ” “รู้จักนำธรรมชาติมาตกแต่งบ้านเรือน เพื่อสร้างความสำราญใจและยังเป็นการประหยัดทรัพย์ การทำสวนยังแบ่งออกเป็น ประเภทสวนไม้ดอก สวนไม้ผล และพืชผัก สาระการสอนให้รู้จักลักษณะของตันไม้ วิธีการปลูก การบำรุงรักษาและการออกแบบจัดสวน ตลอดไปจนถึงวิธีการประสมดิน การเรียนการสอนตามแบบการศึกษาสมัยใหม่ ครูผู้สอนต้องทำให้ผู้เรียนเรียนรู้จากของจริงและธรรมชาติมากที่สุด และไม่ควรเรียนแบบ “ท่องจำ” ดังเช่นการศึกษาแบบจารีต ดังนั้นการสอนนอกห้องเรียนจึงเป็นเรื่องจำเป็น อย่างไรก็ตาม การศึกษาต่อของสตรีหลังจบชั้นมัธยมศึกษา 6 ปี รัฐบาลและสังคมในทศวรรษ 2460-2470 กำหนดให้สตรีสามารถศึกษาต่อสายวิชาชีพ ได้เพียง 2 สาย คือ การฝึกหัดครูและการพยาบาล เท่านั้น
การศึกษาของสตรีเริ่มขยายตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากโรงเรียนสู่มหาวิทยาลัยในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาโรงเรียนข้าราชการพลเรือนขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อ วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2459 และอีก 1 ปีต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2460 พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นชัยนาทนเรนทร ซึ่งเป็นอธิการบดีกรมมหาวิทยาลัย ในกระทรวงธรรมการพระองค์แรก ได้ทรงตั้งคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์มุ่งสอนวิชาเตรียมแพทย์เป็นส่วนใหญ่และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2470 นับเป็นก้าวแรกที่ผู้หญิงและผู้ชายได้รับความเสมอภาคทางการศึกษาสตรีได้รับโอกาสเข้าศึกษาในระดับปริญญาตรีคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัย : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว - 26 พฤศจิกายน 2468   : สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนศุโขทัยธรรมราชาเสด็จขึ้นครองราชย์ - 25 กุมภาพันธ์ 2468 :  พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาพระวรชายาเป็นสมเด็จพระบรมราชินี และเสด็จไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถาน (ร.7 พระชนม์ 32 พรรษา,สมเด็จฯ 21 พรรษา) -6 มกราคม -5 กุมภาพันธ์ 2469 : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า รำไพ พรรณีฯ เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพเพื่อเยี่ยมราษฎร -16 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2470 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก -24 มกราคม - 11 กุมภาพันธ์ 2471: เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลภูเก็ต -10 เมษายน-12 เมษายน 2472 : พระราชพิธีราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุข สวนไกลกังวล -พฤษภาคม 2472  : เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลปัตตานี (ทอดพระเนตรสุริยุปราคา) -31 กรกฎาคม -11 ตุลาคม 2472 : เสด็จพระราชดำเนินเยือน สิงคโปร์ ชวา บาหลี -6 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2473 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนอินโดจีน -6 เมษายน - 9 เมษายน 2474 : เสด็จฯเยือนสหรัฐอเมริกาและญี่

ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมสมัยรัชกาลที่ 7

                                                                                                                                   ฉัตรบงกช   ศรีวัฒนสาร [1]                 องค์ประกอบสำคัญในการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของสังคมมนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยสภาวะความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงเป็นพลังสำคัญ ในทัศนะของ อริสโตเติล ( Aristotle) นักปรัชญากรีกโบราณ   ระบุว่า   ศิลปะทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นดนตรี   การแสดง   หรือ ทัศนศิลป์   ล้วนสามารถช่วยซักฟอกจิตใจให้ดีงามได้   นอกจากนี้ในทางศาสนาชาวคริสต์เชื่อว่า   ดนตรีจะช่วยโน้มน้าวจิตใจให้เกิดศรัทธาต่อศาสนาและพระเจ้าได้     การศรัทธาเชื่อมั่นต่อศาสนาและพระเจ้า คือ ความพร้อมที่จะพัฒนาการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ [2]                 ราชบัณฑิตยสถานอธิบายความหมายของศิลปะให้สามารถเข้าใจได้เป็นสังเขปว่า “ศิลปะ(น.)ฝีมือ,   ฝีมือทางการช่าง,   การแสดงออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์เห็น โดยเฉพาะหมายถึง วิจิตรศิลป์ ” [3] ในที่นี้วิจิตรศิลป์ คือ ความงามแบบหยดย้อย   ดังนั้น คำว่า “ศิลปะ” ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถานจึงหมายถึงฝีมือทางการช่างซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา

ห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพ

  ขอบคุณภาพจากพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และขอบคุณเนื้อหาจาก รศ.วุฒิชัย  มูลศิลป์ ภาคีสมาชิกสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง  ราชบัณฑิตยสถาน        พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน รศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี  พระอรรคราชเทวี (ต่อมาคือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ  และสมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ  พระบรมราชชนนี ตามลำดับ)  โดยทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ของสมเด็จพระนางเจ้าฯและองค์ที่ 76 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว     ในห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพนี้  ประเทศไทยหรือในเวลานั้นเรียกว่าประเทศสยาม หรือสยามเพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่มาได้เพียง 1 เดือน 5 วัน  คือ วิกฤตการณ์สยาม ร. ศ. 112 ที่ฝรั่งเศสใช้กำลังเรือรบตีฝ่าป้อมและเรือรบของไทยที่ปากน้ำเข้ามาที่กรุงเทพฯได้  และบีบบังคั