ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

หน้าที่พลเมืองในสมัยรัชกาลที่ 7

พลเมือง คือ บุคคลผู้เป็นกำลังของบ้านเมืองและของชาติ เพราะฉะนั้นคนทุกคนควรประพฤติตนให้สมกับที่ตนเป็นพลเมือง คือ ทำตนให้เป็นพลเมืองดี ประกอบกิจอันเป็นหน้าที่ของพลเมืองเพื่อให้ชาติและประเทศของตนรุ่งเรืองและมั่นคง สามารถดำรงอิสรภาพไว้ได้เสมอไป ถ้าผู้ใดไม่ประพฤติตนให้สมกับที่เป็นพลเมือง กล่าวคือ มีความประพฤติไม่เป็นไปเพื่อให้กำลังแก่ประเทศและชาติของตน หรือยิ่งกว่านี้กลับเป็นเพื่อประทุษร้ายอีกด้วย ผู้นั้นนับว่าเป็นเลวทรามยิ่งนัก จัดว่าเป็นเสนียดของประเทศชาติ เพราะฉะนั้นคนทุกคนพึงทำตนให้เป็นพลเมืองดี คือ ประกอบกิจอันเป็นหน้าที่ของพลเมืองตามที่ได้เลือกสรรเฉพาะข้อที่สำคัญนำมาแสดงไว้พอเป็นทางศึกษาและปฏิบัติ ดังต่อไปนี้ ก. ต้องเป็นผู้มีความพากเพียรแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพของตนโดยชอบธรรม ธรรมดาคนทั้งหลายย่อมดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยอาหาร เหตุฉะนั้นเกิดมาเป็นคนจึงจำเป็นต้องแสวงหาอาหาร เพื่อความดำรงอยู่แห่งชีวิต แต่การแสวงหาอาหารนั้น ย่อมต่างกันตามความสามารถของบุคคล ถ้าเป็นผู้มีสติปัญญาก็ย่อมหาได้โดยสะดวกง่ายดาย ถ้าเป็นผู้โง่เขลาก็ย่อมติดขัดขาดแคลนไม่บริบูรณ์เหมือนกับผู้มีสติปัญญา แต่จะเป็นคนโง่หรือคนฉลาดก็ตาม ก็ต้องอาศัยความเพียรไม่เกียจคร้าน ขยันทำกิจการด้วยกันทั้งนั้นจึงจะได้ผลที่มุ่งหมาย แต่ความเพียรที่จะหาเครื่องเลี้ยงชีพนั้นต้องให้เป็นไปในทางที่ชอบ ซึ่งเรียกว่า “สัมมาอาชีวะ” ทรัพย์ที่ได้มาจึงให้ประโยชน์สุขแก่เจ้าของจริง ตั้งต้นแต่ให้ความอิ่มใจว่าทรัพย์นี้ตนได้มาแล้วโดยชอบธรรมเป็นของบริสุทธิ์ดีไม่มีโทษ ทรัพย์ของตนมีไม่ต้องเป็นหนี้เขา ได้ใช้จ่ายบริโภค และเป็นกำลังทำความดีความงาม การแสวงหาทรัพย์ในทางผิด ย่อมยังความเดือดร้อนให้เกิดแก่ตน ทั้งแก่ผู้อื่น เช่น ประพฤติตนเป็นคนเล่นการพนัน ครั้นเสียไม่มีทุนจะแก้ตัว ไม่มีทรัพย์ใช้สอยจับจ่ายก็พยายามลักขโมยฉ้อโกง เบียดเบียนคนอื่นให้ได้ความเดือดร้อน ตนเองเล่าก็ได้รับความเดือดร้อนเหมือนกัน เพราะเมื่อประพฤติเช่นนั้นก็ต้องปกปิดซ่อนเร้น บางทีต้องทำความผิดเพิ่มขึ้นอีก ครั้นเขาจับได้ต้องรับอาญาแผ่นดินนี้มีมูลมาแต่ไม่มีความเพียรหาเลี้ยงชีพในทางที่ชอบตามสติปัญญาของตนนั้นเองจึงต้องขาดแคลนยากจน ได้รับความทุกข์มีประการต่าง ๆไม่เทียมหน้าคนอื่นที่เป็นพลเมืองด้วยกัน มีแต่จะทำให้เพื่อนร่วมชาติของตนเดือดร้อนถ่ายเดียว นับว่าเป็นผู้ที่บกพร่องไม่ทำหน้าที่ของพลเมืองดี ข. ต้องไม่ทำการเบียดเบียนคนผู้อื่นด้วยกาย วาจา หรือแม้คิดด้วยใจ ผู้ที่ทำให้คนอื่นเสียหายแต่ตนได้ประโยชน์นั้น นับว่าเป็นผู้เลวทรามยิ่งนัก บุคคลชนิดนี้จะอยู่ในคณะใดชาติใดก็ดี ย่อมเป็นที่รังเกียจของคณะนั้นและชาตินั้น เพราะเป็นผู้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ผู้ที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนนั้น ตนเองก็ต้องเดือดร้อนด้วย เช่น ผู้คิดอาฆาตจองเวรทำร้ายคนอื่น ตนเองก็ต้องคอยระวังตัวกลัวคนอื่นเขาจะทำร้ายตอบ ต้องกระวนกระวายระแวงภัยอยู่เสมอไม่มีสุข ส่วนผู้ที่ไม่ทำอะไรให้ใครเดือดร้อนก็ไม่ต้องวิตกกลัวภัยอะไรเลย ย่อมอยู่เป็นสุขสำราญ ผู้ที่เป็นพลเมืองทุกคน ควรประพฤติตนให้เป็นพลเมืองดี ไม่ทำให้ตนและเพื่อนพลเมืองด้วยกันเดือดร้อน ค. ต้องเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนในศาสนา ที่เป็นหลักจรรยาของประเทศบ้านเมืองที่ตนเป็นพลเมืองอยู่นั้นโดยเคร่งครัด ที่เป็นหลักจรรยาของประเทศบ้านเมืองที่ตนเป็นพลเมืองอยู่นั้นโดยเคร่งครัด ธรรมดาคนที่เกิดมาย่อมอยู่เป็นหมู่เป็นคณะ เมื่อเป็นหมู่เป็นคณะก็จำเป็นจะต้องมีหลักความประพฤติที่จะต้องทำให้ถูกตามทำนองคลองธรรมเพื่อให้เกิดสุขสำราญจะต่างคนต่างประพฤติเอาแต่ใจของตนเองเป็นประมาณไม่ได้ เพราะฉะนั้นชาติที่เจริญแล้วทั้งหลายในโลก จึงต้องมีศาสนาเป็นคู่บ้านคู่เมืองเพราะศาสนาเป็นหลักแห่งความประพฤติของคนสำหรับดำเนินไปสู่ความสุขความเจริญด้วยกัน ถ้าต่างครนต่างประพฤติไม่ถือหลักธรรมในทางศาสนาเป็นเกณฑ์แล้ว ชาตินั้น หมู่นั้นก็ย่อมเสื่อมไม่มีความเจริญ ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ เช่น นักเรียน เมื่อโกรธใครขึ้นมาหรือมีจิตอาฆาตมุ่งร้ายต่อใคร ๆ ถ้าจะประพฤติไปตามใจในขณะที่มีโทสะอยู่เช่นนั้น ก็จะทำให้เกิดความวุ่นวายไม่มีความสงบสุขได้ และฝ่ายผู้ที่ได้รับความเสียหายเพราะถูกทำร้ายก็จะบันดาลโทสะ ทำการแก้คันทดแทนกัน ภัยเวรก็จะไม่มีสิ้นสุดลงได้ จะหาเวลาสงบตั้งใจศึกษาเล่าเรียนหรือดำริการงานให้เป็นคุณเป็นประโยชน์ก็ไม่ได้ เป็นหนทางแห่งความเสื่อมเสียที่จะนำภัยอันตรายมาสู่ตนและคณะส่วนเดียว เพราะฉะนั้นทุกหมู่ทุกคณะจึงต้องมีศาสนาเป็นหลักแห่งความประพฤติของคนในหมู่ในคณะ ผู้ที่เป็นพลเมืองดีจะต้องปฏิบัติและประพฤติตนให้ดำเนินไปตามหลักศาสนาที่ตนนับถือทุกคน ฆ. ต้องเป็นผู้ที่เชื่อฟังยำเกรงต่อพระราชกำหนดกฎหมายของประเทศบ้านเมืองทุกเมื่อ ผู้ที่เป็นพลเมืองอยู่ในประเทศใดเมืองใด สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องเชื่อฟังและประพฤติตนให้ถูกต้องตามกฎหมายในประเทศนั้นเมืองนั้น เพราะกฎหมายเป็นข้อบังคับห้ามปรามความประพฤติอันชั่วร้ายของบุคคล ที่จะทำให้ผู้อื่นและหมู่คณะเดือดร้อน การที่ประพฤติตนให้ถูกต้องตามพระราชกำหนดกฎหมายเป็นความประพฤติที่จะดำรงความสงบและให้เกิดความสุขสำราญ พลเมืองที่ประพฤติฝ่าฝืนต่อกฎหมายของบ้านเมือง ก็เพราะไม่รู้จักแสวงหาประโยชน์สุขให้แก่ตน และชาติของตนเป็นการเสื่อมเสีย เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นพลเมืองดีจึงไม่ควรละเมิดฝ่าฝืนต่อกฎหมายของบ้านเมือง ง. ต้องเป็นผู้มีความสัตย์ มนุษย์ทั่วไปย่อมนิยมนับถือแต่ความจริง ไม่ชอบความเท็จผู้ใดไม่ประพฤติความจริง ผู้นั้นย่อมไม่เป็นที่ไว้วางใจของผู้อื่น ผู้ที่เป็นพลเมืองอยู่ในประเทศ ที่มา : แนวสอนวิชาจรรยาในโรงเรียนนายร้อยทหารบก พ.ศ. 2470

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัย : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว - 26 พฤศจิกายน 2468   : สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนศุโขทัยธรรมราชาเสด็จขึ้นครองราชย์ - 25 กุมภาพันธ์ 2468 :  พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาพระวรชายาเป็นสมเด็จพระบรมราชินี และเสด็จไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถาน (ร.7 พระชนม์ 32 พรรษา,สมเด็จฯ 21 พรรษา) -6 มกราคม -5 กุมภาพันธ์ 2469 : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า รำไพ พรรณีฯ เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพเพื่อเยี่ยมราษฎร -16 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2470 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก -24 มกราคม - 11 กุมภาพันธ์ 2471: เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลภูเก็ต -10 เมษายน-12 เมษายน 2472 : พระราชพิธีราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุข สวนไกลกังวล -พฤษภาคม 2472  : เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลปัตตานี (ทอดพระเนตรสุริยุปราคา) -31 กรกฎาคม -11 ตุลาคม 2472 : เสด็จพระราชดำเนินเยือน สิงคโปร์ ชวา บาหลี -6 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2473 : เสด็จพระราชดำเนินเยือนอินโดจีน -6 เมษายน - 9 เมษายน 2474 : เสด็จฯเยือนสหรัฐอเมริกาและญี่

ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมสมัยรัชกาลที่ 7

                                                                                                                                   ฉัตรบงกช   ศรีวัฒนสาร [1]                 องค์ประกอบสำคัญในการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของสังคมมนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยสภาวะความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงเป็นพลังสำคัญ ในทัศนะของ อริสโตเติล ( Aristotle) นักปรัชญากรีกโบราณ   ระบุว่า   ศิลปะทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นดนตรี   การแสดง   หรือ ทัศนศิลป์   ล้วนสามารถช่วยซักฟอกจิตใจให้ดีงามได้   นอกจากนี้ในทางศาสนาชาวคริสต์เชื่อว่า   ดนตรีจะช่วยโน้มน้าวจิตใจให้เกิดศรัทธาต่อศาสนาและพระเจ้าได้     การศรัทธาเชื่อมั่นต่อศาสนาและพระเจ้า คือ ความพร้อมที่จะพัฒนาการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ [2]                 ราชบัณฑิตยสถานอธิบายความหมายของศิลปะให้สามารถเข้าใจได้เป็นสังเขปว่า “ศิลปะ(น.)ฝีมือ,   ฝีมือทางการช่าง,   การแสดงออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์เห็น โดยเฉพาะหมายถึง วิจิตรศิลป์ ” [3] ในที่นี้วิจิตรศิลป์ คือ ความงามแบบหยดย้อย   ดังนั้น คำว่า “ศิลปะ” ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถานจึงหมายถึงฝีมือทางการช่างซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา

ห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพ

  ขอบคุณภาพจากพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และขอบคุณเนื้อหาจาก รศ.วุฒิชัย  มูลศิลป์ ภาคีสมาชิกสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง  ราชบัณฑิตยสถาน        พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน รศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี  พระอรรคราชเทวี (ต่อมาคือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ  และสมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ  พระบรมราชชนนี ตามลำดับ)  โดยทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ของสมเด็จพระนางเจ้าฯและองค์ที่ 76 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว     ในห้วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพนี้  ประเทศไทยหรือในเวลานั้นเรียกว่าประเทศสยาม หรือสยามเพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่มาได้เพียง 1 เดือน 5 วัน  คือ วิกฤตการณ์สยาม ร. ศ. 112 ที่ฝรั่งเศสใช้กำลังเรือรบตีฝ่าป้อมและเรือรบของไทยที่ปากน้ำเข้ามาที่กรุงเทพฯได้  และบีบบังคั